ชะเง้อมองดูนาฬิกาในร้านที่กำลังเดินผ่าน ก็ต้องรีบวิ่งสุดฝีเท้าไปที่ท่ารถ แต่แล้วก็ไปไม่ทัน รถเที่ยวสุดท้ายคันที่ผ่านไปยังละแวกบ้านเพิ่งออกไปได้ครึ่งชั่วโมงก่อนนี่เอง
ยืนคิดอยู่ครู่ นึกได้ว่ามีรถประจำทางที่น่าจะวิ่งผ่านทางเส้นนั้น จึงเดินหิ้วถุงของไปรอยังศาลาริมถนน ตอนที่ไปถึงมีคนรออยู่ราว ๆ หกคน ไม่นานฝนเริ่มลงเม็ด คนที่นั่งคอยทยอยขึ้นรถหายไปทีละคนสองคน จนตอนนี้เหลือเธอเพียงคนเดียวที่ในศาลา จากไม่กลัวอะไรเลย ตอนนี้เด็กสาวเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมาบ้างแล้ว
และแล้วก็มีคนวิ่งฝ่าฝนเข้ามานั่งรอในศาลาด้วย
คนมาใหม่เป็นผู้ชายเหมือนจะเป็นวัยทำงานแล้ว เขาอยู่ใส่ชุดคล้ายยูนิฟอร์มของสำนักงานอะไรสักอย่าง ที่เธอไม่กล้าจ้องมองเขามากนัก แม้อีกฝ่ายจะมองมาที่เธอบ่อย ๆ ก็ตามที
เธอเป็นคนไม่ชอบผูกมิตรกับคนไม่รู้จัก จึงทำเฉยเอาไว้
ไม่นานชายที่นั่งร่วมศาลารอรถก็ขยับเข้ามานั่งใกล้เธอมากขึ้นเรื่อย ๆ จากเดิมที่เขานั่งห่างกันคนละฝั่ง ตอนนี้อีกฝ่ายขยับเข้าหาจนแทบจะย้ายมานั่งบนแผ่นที่นั่งเดียวกับเธอแล้วด้วย
ภัทรวรินทร์กอดถุงของบนตักแน่นคล้ายจะให้มันเป็นตัวช่วยกันคนแปลกหน้า แล้วก็ขยับตัวหนีห่างออกจากเขา แต่แล้วทางนั้นก็ยังขยับเข้าหาเธออยู่อีก บอกตัวเองว่าคราวหน้าถ้าต้องออกมาซื้อของอีกจะไม่ออกมาหลังเที่ยงวันเป็นอันขาด
เด็กสาวผุดตัวลุกขึ้นยืน ทำทีเป็นเดินไปชะเง้อมองดูรถว่าเมื่อไรจะมาเสียที จังหวะที่ชะเง้อมองอยู่นั่นเอง ชายคนนั้นลุกขึ้นแล้วเดินพุ่งตรงเข้ามาหาเธอ เด็กสาวตกใจมาก วิ่งเลยเตลิดจนออกจากศาลาไปด้วยความกลัว แล้วก็ลื่นไถลตรงนั้นเองทำให้ร่างเล็ก ๆ ถลาลงไปยังพื้นของถนน
นาทีนั้นเองที่เสียงเบรกพร้อมแสงไฟจ้าสาดเข้ามาที่ตรงใบหน้าของเธอ เคราะห์ยังดีที่รถคันนั้นเบรกทัน แม้จะส่ายสะบัดเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เสียหลักจนล้ม
ภัทรวรินทร์มองไปยังทางแสงไฟพบว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่คนขับก็ตัวสูงใหญ่ไม่แพ้กัน เขาหาที่จอดรถไม่ไกลจากศาลารอรถ เรียบร้อยแล้วก็ค่อยเดินตรงมาที่เธอ
เด็กสาวมองทางคนนั้นทีคนนี้ทีด้วยอาการตกใจ
ไม่ใช่ว่าเขาจะมาเอาเรื่องเธอหรอกหรือ ที่พรวดพราดลงไปที่ถนนจนทำให้เขาเกือบขับรถชนเธอเข้าน่ะ
ภัทรวรินทร์กอดถุงของแน่นกว่าเดิม พึมพำเบา ๆ ว่าทำไมตนเองถึงได้ซวยขนาดนี้ก็ไม่รู้
ชายเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่คนนั้นเดินจนมาประจันหน้ากับเธอแล้ว เขาก็ค่อยถอดหมวกของเขาออก ภัทรวรินทร์ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองเขา กอดถุงของแน่น ยืนตัวเปียกอยู่ตรงด้านนอกของศาลาอยู่นั่นเอง
“เราเองหรือ”
เสียงทักจากคนที่เธอเพิ่งทำให้เกือบจะเกิดอุบัติเหตุรถล้ม
เงยหน้าไปมองที่เขา แล้วหัวใจของเด็กสาวก็ค่อย ๆ สั่นไหวเบา ๆ ในทีแรกก่อนจะเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ภัทรวรินทร์ทำหน้าไม่ถูก ได้แต่ผงกหัว ตอบหน้าเจื่อนกลับไปว่า “ค่ะ”
เขามองของในอ้อมกอดเธอ มองไปยังคนที่มองอยู่ในศาลาแล้วถามต่ออีกว่า “มาซื้ออะไร”
ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้คุยกับเขา จึงลนลานตอบไปว่า
“มาซื้อ...ซื้อของค่ะ”
ฐิรดลเลิกคิ้วเมื่อได้คำตอบแบบกำปั้นทุบดินเช่นนั้น พยักหน้าเบา ๆ พร้อมกับหัวเราะออกมาน้อย ๆ เขาเงียบไปไม่นานก็ค่อยถามอีกประโยค
“แล้วกลับยังไง ใครมารับ”
“ไม่มีค่ะ พราวเอ่อ พราวมารอรถค่ะ กลับเองค่ะ”
ตอบออกไปแล้วก็ก้มหน้างุด ๆ อารมณ์สารพัดทำให้เด็กสาวไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไรนัก เมื่อกี้ตนพูดอะไรออกไป แล้วทำไมพูดจาไม่รู้เรื่องได้ถึงขนาดนี้ ตั้งสติหน่อยได้ไหมยายพราว ภัทรวรินทร์บ่นตัวเองในใจ
ฐิรดลเงียบอีกครั้ง ก่อนบอกขึ้นว่า
“ฝนซาแล้วนี่ ก็น่าจะกลับได้แล้ว นี่เรารออะไร”
“คะ?” ร้องถามเขาออกไปด้วยไม่รู้จะตอบไปว่าอย่างไรดี
ฐิรดลส่งสายตามองไปยังชายคนในศาลา “แล้วคนนั้นใคร มาด้วยกันกับเราหรือเปล่า”
“ปะ เปล่าค่ะ พราวมาคนเดียว”
“ก็นั่นสิ แล้วเราจะรอรถยังไงคนเดียว ฝนซาก็ไปขึ้นรถ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”
ได้ยินอย่างนั้นก็ยืนกะพริบตาปริบ ๆ ไม่เคยคิด ไม่เคยฝันมาก่อนเลยสักครั้งว่าตัวเองจะมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับชายที่แอบชื่นชอบมากถึงขนาดนี้ ทุกทีเธอได้แค่แอบมอง ไม่ต้องอยู่ใกล้กันขนาดนี้ เธอก็ดีใจมากอยู่แล้ว แต่นี่ได้คุย แถมเขายังอาสาจะไปส่งเธอที่บ้านอีกด้วยก็ทำให้ตกใจไปใหญ่
ฐิรดลพยักหน้าให้ขึ้นรถเมื่อเห็นว่าฝนหยุดตกแล้ว
“บ้านเรา ใช่ร้านที่รับซ่อมผ้าตรงท้ายซอย...ใช่ไหม”
เขาเอ่ยชื่อซอยที่เธออยู่อีกด้วย
เลยตกใจเล็กน้อยที่เขารู้ ตอบไปว่า “ใช่ค่ะ”
“พี่เอากางเกงไปซ่อมบ่อยเลย แล้วทำไมไม่เคยเห็นเราก็ไม่รู้”
“พราวอยู่แต่ในห้องมั้งคะ” ตอบเขาไปแล้วก็บอกตัวเองว่าหลังจากวันนี้จะต้องไปขอวิชาตัดเย็บซ่อมผ้าจากสมสมรบ้างแล้ว
“เดี๋ยวพราวให้น้าลดค่าซ่อมให้นะคะ”
“ลดทำไม” ฐิรดลถามยิ้ม ๆ