พลั่ก !
“มาร์ไม่ใช่พี่” มาลีวัลย์ผลักอกคนตรงหน้าออกเมื่อได้ยินคำพูดร้ายกาจ
“มาร์ !” เสียงทุ้มเข้มขึ้นเมื่อเห็นว่าคนตัวเล็กออกอาการดื้อดึงอย่างที่ไม่เคยเป็น
“ก็มาร์พูดจริง ๆ มาร์ว่าเราออกไปกันดีกว่าค่ะ เดี๋ยวคนของพี่เขาจะรอนาน” มาลีวัลย์เอ่ยประชดประชันก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเมื่อนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เจ้าป่าควงคู่มากับใครอีกคน
ทั้งที่เธอไม่เคยแม้แต่จะคิดไปนอนหรือทำเรื่องอย่างว่ากับใครทั้งนั้น เพราะทั้งใจมีแค่เจ้าป่าคนเดียว แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงคิดว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนตัวเอง
ร่างเล็กหมุนตัวเพื่อจะกลับออกไปทางเดิม เพราะกลัวว่าถ้าคุยกันไปมากกว่านี้จะเป็นเธอที่ต้องเจ็บช้ำน้ำใจเสียเปล่า ๆ แต่ไม่ทันที่ขาเรียวจะได้ออกไปตามที่คิดต้นแขนก็ถูกมือหนาของอีกคนรั้งไว้ก่อน
“จะหนีไปไหน”
“ปล่อย มาร์จะไปกินข้าว โอ๊ย พี่ป่า !!” มือใหญ่กระชากจนมาลีวัลย์ตัวปลิวลอยแปะอกแกร่ง
“อย่าดื้อมาร์”
“มาร์ไม่ได้ดื้อ” มาลีวัลย์เถียงคอเป็นเอ็นเพราะเจ้าป่าเอาแต่ต่อว่าเธอ ยิ่งเมื่อคิดว่าก่อนมาที่นี่เขาไปอยู่กับคนอื่นมาลีวัลย์ก็ยิ่งไม่อยากไปกับเขา
ร่างเล็กขืนตัวออกจากมือหนาราวกับรังเกียจและต้องการหลุดพ้นจากพันธนาการ แต่หารู้ไม่ว่าท่าทางอย่างนั้นมันทำให้เจ้าป่าไม่พอใจเป็นอย่างมาก
มือใหญ่ผลักมาลีวัลย์ออกอย่างแรงจนแผ่นหลังเล็กกระแทกกำแพงแข็ง
“เออ ! ไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป” คนตัวสูงพูดเสียงแข็งพร้อมกับปัดมือทั้งสองข้างราวกับต้องการปัดสัมผัสของเธอทิ้ง
หญิงสาวที่เคยอ่อนโอนต่อเขา แต่วันนี้กลับเล่นตัวทั้งที่เธอไม่ได้มีความสำคัญพอที่จะทำอย่างนั้นทำให้เจ้าป่าไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจถึงขนาดจะตามหรือง้อเธอให้กลับมา
ในเมื่อมาลีวัลย์ไม่อยากนอนกับเขา เจ้าป่าก็แค่หาคนอื่นมาแทนเท่านั้นเอง...
...
มาลีวัลย์กลับมาอยู่บ้านได้สามวันแล้ว และเป็นสามวันที่เจ้าป่าไม่ติดต่อหาเธอเลยแม้แต่น้อย
สามวันก่อนที่ทั้งสองบังเอิญเจอกันที่ร้านอาหารและแยกย้ายกันด้วยการที่เจ้าป่าไม่พอใจเธอ ในวันนั้นมาลีวัลย์ก็โกรธอีกฝ่ายไม่น้อยเหมือนกันจึงไม่ได้ติดต่อเขาไป
หลังจากแยกกันที่ห้องน้ำเจ้าป่าก็กลับมานั่งที่โต๊ะอาหารด้วยท่าทางไม่สบอารมณ์ และมาลีวัลย์ก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนที่เขาจะขอตัวออกไปกับหญิงสาวที่ควงแขนมาด้วยกัน และไม่ต้องเดาเธอก็รู้ว่าทั้งสองจะไปทำอะไรกันต่อ
“เฮ้อ”
“มาร์ เสร็จยัง” เสียงหวานของน้องสาวตะโกนจากด้านล่าง วันนี้เรามีนัดไปทานอาหารร่วมกันทั้งครอบครัวซึ่งครอบครัวเราทำแบบนี้เป็นประจำทุกสัปดาห์อยู่แล้ว
“เสร็จแล้ว ๆ”
มาลีวัลย์หยิบต่างหูเพชรที่มารดาซื้อให้มาสวมพร้อมตอบกลับน้องสาว ปกติเธอแต่งตัวเรียบง่ายชนิดที่ว่าแค่เดรสตัวเดียวก็ออกจากบ้านได้ แต่ทว่าวันนี้เป็นวันเกิดของมารดาจึงต้องแต่งองค์ทรงเครื่องให้ดูดีและหรูหรามากกว่าปกติหน่อย
ขาเรียวรีบร้อนออกจากห้องนอนส่วนตัวเมื่อทุกคนต่างเรียบร้อยกันหมดแล้ว
“ค่อย ๆ ก็ได้ลูก” บิดาเอ่ยเตือนเมื่อเห็นเธอรีบวิ่งลงจากบันได
“กระโดกกระเดกจริง”
“แหม ก็คนมันรีบนี่ค่ะ” มาลีวัลย์แสร้งบีบเสียงเล็กเสียงน้อยเมื่อได้ยินเสียงบ่นจากมารดาที่นั่งรอกันอยู่ก่อนแล้ว ทำเอาคนที่เหลือได้แต่ส่ายหน้าให้กับท่าทางน่าหมั่นไส้ของเธอ
“เฮ้อ มิน่าล่ะถึงไม่ได้แต่งงานเหมือนเพื่อนสักที”
“นั่นสิ” นภาลัยสมทบคำพูดมารดาทันทีทำเอาพี่สาวที่กำลังรีบขึ้นไปจับจ้องที่นั่งบนรถของครอบครัวหันกลับไปมองตาเขียว
เพื่อนแต่งงานแล้วเธอต้องแต่งตามหรืออย่างไร ใช่ว่าในชีวิตจะไม่มีคนเข้าหา ยิ่งฐานะทางครอบครัวและชาติตระกูลเธอก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าใครในสังคมเดียวกัน แต่เพราะมาลีวัลย์มีคนในใจอยู่แล้ว ทำให้เธอไม่คิดจะเปิดโอกาสให้ใครต่างหาก
ใช้เวลาไม่นานเราทั้งสี่คนก็มาถึงร้านอาหารประจำ แต่ไม่ทันที่จะได้เข้าไปยังห้อง VVIP ที่จองไว้ก็มีเสียงเรียกทักทายมารดาของเธอเสียก่อน และคนนั้นก็คือคุณป้าจันทร์เจ้าแม่ของเจ้าป่า
แม่ของเจ้าป่างั้นเหรอ อย่าบอกนะว่า...
“ป่ามาทักทายน้าผกาสิลูก”
“!!!”
ดวงหน้าเรียวหันไปตามเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาเรื่อย ๆ ก่อนที่ดวงตาสีสวยจะเห็นใบหน้าของคนที่เธอคิดถึงมาตลอดสามวัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของอีกคนก็ทำให้เธอก้มงุดไม่กล้าสบตาคนมาใหม่ กว่าจะรู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่คนข้างตัวสะกิดแขนยิก ๆ
“ฮะ อะ สวัสดีค่ะ”
“ว้าว หนูมาร์โตขึ้นเยอะเลยนะลูก”
“ค่ะ คุณป้าก็ยังสาวยังสวยเหมือนเดิมเลย” มาลีวัลย์ยิ้มหวานให้คนตรงหน้าเพราะเมื่อครู่เธอเอาแต่เหม่อลอยจนเสียมารยาทต่อผู้ใหญ่ อีกทั้งในช่วงวัยเด็กจันทร์เจ้าก็ใจดีกับเธอมาก
“นาน ๆ เจอกันอย่างนี้เรามานั่งด้วยกันดีไหม” จันทร์เจ้าเสนอขึ้นเมื่อนาน ๆ ทีทั้งสองครอบครัวจะได้เจอกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา
“คะ !?”
“จะเสียงดังทำไมล่ะเนี่ย” พวงผกาเอ็ดลูกสาวเสียงเข้มพลางผงกศีรษะขอโทษจันทร์เจ้าไปพลาง และอีกฝ่ายก็ทำเพียงส่งรอยยิ้มอ่อนโยนกลับมาเท่านั้น
“ปะ...เปล่าค่ะ ช่วงนี้มาร์เบลอ ๆ” เสียงหวานเอ่ยแผ่วเบาเมื่อสักครู่เธอเสียงดังจนทุกคนหันขวับมามองเป็นตาเดียว
“จริง ๆ เลยยัยลูกคนนี้” มารดาส่ายหน้าเนือย ก่อนที่เราทั้งหมดจะเข้าไปในห้องอาหารที่ทางครอบครัวเธอจองไว้ และเพราะห้องส่วนตัวของทางร้านใหญ่โตมาก ฉะนั้นการเพิ่มจำนวนอีกแค่สามคนจึงไม่ใช่ปัญหาอะไร
การรับประทานอาหารเป็นไปด้วยความครึกครื้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นแม่เธอและแม่เจ้าป่าสนทนาเรื่องราวต่าง ๆ และไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคนที่ปิดปากเงียบที่สุดก็คงไม่พ้นชายที่ได้นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ
ทั้งที่เธออุตส่าห์รีบรุดเข้ามาเป็นคนแรกเพื่อเลี่ยงเขาแต่เจ้าป่าดันมานั่งตรงข้ามเธอเสียนี่ เรียกได้ว่าทุกครั้งที่มาลีวัลย์เงยหน้าก็ต้องได้สบประสานกับดวงตาคู่นั้นทุกครั้งจนเธอตัวเกร็งไปหมดแล้ว
“เพื่อนตาป่าก็แต่งงานไปหมดแล้ว”
“นั่นสิ ลูกฉันก็เหมือนกัน เห็นว่าแต่งงานกับเพื่อนตาป่าใช่ไหม” พวงผกาเห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนสนิทพูดก่อนจะหันมาถามลูกสาวที่นั่งอยู่ข้างกัน
“คะ ? อ่า…ค่ะ”
“เป็นไรไป” นภาลัยที่นั่งอยู่อีกข้างทักท้วงเสียงเบาเพราะตั้งแต่เข้ามาในร้านอาหารพี่สาวเธอดูใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวจนน่าเป็นห่วง
“ปะ...เปล่าหรอก”
“ถ้าเราได้ดองกันคงดี ว่าไหมป่า” จันทร์เจ้าทำทีเป็นเอ่ยลูกชาย เพราะครอบครัวเราสนิทสนมกันอีกทั้งเธอก็เห็นและถูกตาต้องใจมาลีวัลย์มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว ไหนจะแววตาที่ลูกสาวเพื่อนสนิทมองลูกชายเธอยังเต็มไปด้วยความรักไม่ต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด
ถ้าเจ้าป่าได้แต่งงานกับมาลีวัลย์จริง ๆ ล่ะก็เธอคงมีความสุขและหมดห่วงเรื่องพวกนี้เสียที
“ผมยังไม่คิดเรื่องแต่งงานหรอกครับ” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน แต่เหมือนคำตอบของเขาจะเป็นที่เบื่อหน่ายของจันทร์เจ้าเสียเหลือเกิน
“พูดอย่างนี้ตลอด”
“ก็จริงนี่ครับ”
“ป้าล่ะเหนื่อยใจจริง ๆ หนูมาร์ ถ้าป้าได้หนูมาร์เป็นลูกสะใภ้คงดี” เมื่อไม่ได้คำตอบที่ต้องการจากลูกชาย จันทร์เจ้าก็หันมาถามเอากับหญิงสาวหน้าหวานที่เธอนึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อย ซึ่งคนถูกพูดถึงก็ทำได้เพียงส่งยิ้มแผ่วเบา ก่อนจะลอบมองสีหน้าคนตรงข้ามและพบว่าเขามองกันอยู่ก่อนจนมาลีวัลย์ต้องรีบหลบสายตา
‘อะไรกัน ทำไมต้องมองดุขนาดนั้นด้วย’