แม้จะไม่ได้ยุ่งวุ่นวายกับใครมากนัก แม้จะมีเวลาน้อย แม้จะเดินทางบ่อย และแม้จะเป็นผู้ชาย แต่ความเป็นไปของคนในบ้านมักจะไม่เคยรอดพ้นสายตาประมุขไปได้ รวมทั้งพฤติกรรมของสะใภ้ที่เขาเห็นแล้วไม่เข้าตาด้วยเช่นกัน
แต่เลือกที่จะไม่พูดถ้าไม่ถึงที่สุด หรือพูดแล้วไม่ทำให้อะไรดีขึ้นมาก็อย่าพูดดีกว่า แต่คราวนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องหยิบยกขึ้นมา เพื่อให้เป็นประโยชน์กับฝ่ายตัวเองมากที่สุด
“ป๊ารู้ได้ยังไงครับ”
ปาลินอดสงสัยไม่ได้
“ป๊าเป็นป๊าแก เป็นผู้นำ เป็นคนทำให้ครอบครัวมีเงินงอกเงยเยอะแยะมากมาย จนพวกแกได้ใช้สอยอย่างสบายๆ มาตั้งแต่เกิด ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความทุกข์ยากมาทุกรูปแบบ กับอีแค่จะดูท่าทีเมียแก ทำไมป๊าจะดูไม่ออก”
“...”
ปาลินพูดอะไรไม่ออก แก้ตัวให้เมียไม่ถูก เมื่อพ่อรู้แจ้งเห็นจริงเกินกว่าจะปกปิดเอาไว้ได้ เลยต้องปล่อยให้พ่อวิเคราะห์วิจารย์ได้ตามสบาย ในเมื่อเมียเองก็ไม่ได้คิดจะแคร์ใครอยู่แล้ว
“พูดไม่ออกล่ะสิ” พ่อเลยดักคอไว้ ใช่! เขาพูดไม่ออกจริงๆ
“...”
“ป๊าบอกแกแล้ว ว่าเมียแกก็ไม่ได้คิดจะแต่งงานกับแกเพราะความรักหรอก แต่เพราะอยากได้เงินเราไปช่วยพ่อก็เท่านั้น”
“...”
เขาเถียงไม่ออกเช่นเดิม แม้จะแอบเชื่อว่าเมียรัก ‘นายลินผู้ต่ำต้อย’ อยู่บ้างก็ตาม แต่มาถึงวินาทีนี้ ชักจะไม่เข้าใจเมีย ชักจะไม่เชื่อใจเมียเข้าให้แล้ว ว่ายังคงเป็น ‘คุณแจมผู้น่าสงสารคนเดิม’ ของไอ้ลินอีกต่อไปหรือไม่
“แกดูน้องต่างแม่เมียแกสิ ที่ต้องแต่งงานไปเพราะพ่อตาแกอยากได้เงิน แต่ทางนั้นไม่ให้ เลยต้องเอาลูกอีกคนมาขายไงล่ะ โชคดีที่ป๊าอยากได้บริษัทนั้นพอดี ไม่งั้นป่านนี้เมียแกคงไปเป็นเมียคนอื่นเรียบร้อยแล้วล่ะ”
“...”
นี่ก็จริงอีกเช่นกัน เพราะเธอนั้นไม่คิดจะแคร์ด้วยซ้ำ ว่าจะต้องเดินเข้าสู่ประตูวิวาห์กับใคร รักหรือไม่รักเธอยังไง
“ทีนี้แกก็ไม่ต้องมาคิดมากกับความผิดเล็กๆ น้อยๆ ที่ผู้ชายทั้งโลกก็ทำกันเป็นเรื่องปกติหรอก เปลืองเวลา เปลืองสมอง สู้มาคิดว่าทำยังไงกิจการถึงจะเดินหน้าต่อไปดีกว่า ถ้าลองเราไม่มีเงิน ก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนมามองมาดูดำดูดีด้วยหรอก ไม่เชื่อแกลองมีแต่ตัวดูสิ รับรองเมียแกเผ่นหนีทันทีเลยล่ะ”
“ป๊าก็พูดเกินไป”
ถ้าเป็นพี่ชายได้ยินประโยคนี้ของพ่อ เขามั่นใจว่าคงได้วงแตกไปแล้ว ดีที่เป็นเขาถึงได้ใจเย็นอยู่ได้ อีกทั้งคำพ่อก็มีส่วนถูก แม้เงินจะไม่ได้สำคัญกับ
‘คุณแจมผู้น่าสงสารของไอ้ลินผู้ต่ำต้อย’
แต่มันก็มีความสำคัญกับคนรอบข้างเธอไม่น้อย โดยเฉพาะผู้พ่อ ที่ต้องเอาลูกมาขายกรายๆ เพื่อให้ได้เงินก้อนโตไปต่อชีวิตนั่นเอง
“ไม่เกินไปหรอก ป๊าจะคอยดูว่าถ้าวันหนึ่งแกไม่มีอะไรนอกจากตัว เมียจะอยู่กับแกหรือเปล่า อย่าว่าแต่เมียเลย อีพวกผู้หญิงคนอื่นๆ ที่แกเคยคั่วมาก็เหอะ ถ้าลองแกไม่ยื่นเงินให้ แกคงได้เห็นขาอ่อนหรอก จริงมั้ยล่ะมาลา”
“...”
มณีมาลาไม่รู้จะตอบอะไรออกไป ได้แต่เงยไปมองสามีที่คุยอยู่คนเดียวในวงข้าว ครั้นพอเห็นสามีไม่ได้ต้องการคำตอบจริงๆ จังๆ แต่มองไปยังหลานสาวที่นั่งเงียบไม่ต่างจากหน้าเลยไม่คิดจะเปล่งคำใด
“ว่าไงล่ะอีฟ! อยากให้ฉันทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นบ้าง”
ประมุขจ้องมองสาวปัญญาชนหมาดๆ ที่ยังไม่ได้เข้าพิธีรับปริญญาเลยด้วยซ้ำ เพราะเดาได้ว่าทั้งเมียและหลานเมียคงอยากได้คำตอบกับเหตุการณ์เมื่อคืนเป็นแน่ และเมื่อทั้งสองรวมทั้งลูกชายเขาเงียบ ประมุขเลยยิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ย
“...”
“ฉันคงจะทำอะไรได้ไม่มากหรอกนะ ในเมื่ออาตี๋เล็กยังมีเมียอยู่ทั้งคน ต่อให้สองคนไม่ได้รักกันแต่ก็มีเรื่องกิจการเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่อให้ฐานะทางนั้นจะไม่ล่ำซำเท่าทางเรา แต่ก็ไม่ได้ถือว่าเมียอาตี๋เล็กเป็นคนมีแต่ตัวหรอก โรงงานสองที่ถ้าขายถูกๆ ก็ได้เป็นร้อยๆ ล้าน”
“...”
กระบวนการจี้จุดด้อย จี้ใจดำให้คนเจ็บช้ำนี้ถือเป็นงานถนัดของประมุขก็ว่าได้ สองน้าหลานก็พูดไม่ออกบอกไม่ถูกตามเคย หรือถ้าพูดได้ก็ไม่อาจจะชนะความตั้งใจของประมุขที่จะกำหนดให้ทุกคนในบ้านก้าวเดินไปทางไหนแน่
“การจะให้อาตี๋เล็กหย่าขาดจากเมียแล้วมารับผิดชอบเธอ คงเป็นเรื่องที่ไกลเกินฝันอยู่มาก”
“...”
“เอาเป็นว่าถ้าเธอชอบพออาตี๋เล็ก และอาตี๋เล็กไม่ขัดข้องอะไร ก็ให้รู้ๆ กันในหมู่เราแล้วกันนะว่าเธอจะต้องเป็นเบอร์สองรองจากเมียอาตี๋เล็ก แต่ถ้าไม่ได้ติดใจอะไรกัน ก็ให้ต่างคนต่างจบเรื่องนี้ลง ฉันจะให้เงินปลอบขวัญสักล้านสองล้านเป็นอันว่าสองคนมีอิสระซึ่งกันและกัน”
“...”
“แค่นี้คงจะพอใจนะ ถ้ามองอีกแง่ ได้นอนกับอาตี๋เล็กก็คงจะดีกว่านอนกับพวกหนุ่มนักศึกษาด้วยกันที่นอกจากจะไม่ได้เงินแล้ว เธออาจจะต้องจ่ายให้มันอีกด้วยซ้ำ”
“...”
มณีมาลาเงยไปมองหน้าผัวชั่วครู่ แล้วก็ก้มลงไปมองอาหารในจานด้วยท่าทีนิ่งเงียบ แต่ในใจนั้นกลับไม่เป็นอย่างภายนอก เพราะมันมีความเสียอกเสียใจในคำพูดนี้มากมาย
“...”
อนัญญาเองก็มีสภาพไม่แพ้น้านัก และพูดหรือเรียกร้องอะไรไม่ได้นอกจากนิ่งเงียบเท่านั้น เพราะตัวเองไม่มีภาษีอะไรจะไปต่อรองนั่นเอง