บ่ายคล้อยฝนเริ่มตั้งเค้ามา เมฆสีเทาดำลอยต่ำก่อตัวหนามืดจนบดบังดวงอาทิตย์ไปทั่ว เธอมองท้องฟ้าแล้วได้แต่ภาวนา ทั้งสองไปจ่ายตลาดด้วยกันเพื่อดูทางหนีทีไล่ จากนั้นก็กลับมาทำอาหารช่วยกัน ป้าแดงหยิบธนบัตรสีเทาที่เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อชั้นในแล้วส่งให้กรรวีสามใบ
“อะไรหรือคะป้า หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ” กรรวีพูดเพราะรู้สึกเกรงใจพร้อมผลักมือป้าแดงออก
“เอาติดตัวไว้ กว่าหนูจะหางานทำได้ป้าช่วยหนูได้แค่นี้แหละ มีเมื่อไหร่ค่อยคืนป้าก็ได้” ป้าแดงยัดเงินใส่ในมือเธอแล้วกำมันไว้แน่น ป้าแดงรู้ว่าเด็กคนนี้ไม่ค่อยมีเงินติดตัวมากนัก ดวงตาดำขลับรื้นขึ้นมาน้ำใสๆไหลออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เธอซึ้งน้ำใจที่คนอื่น ยังเมตตาเธอมากกว่าป้าแท้ๆของเธอเสียอีก
“หนูขอบคุณป้ามากนะคะ” กรรวีเช็ดน้ำหูน้ำตาแล้วจึงยกอาหารไปตั้งโต๊ะให้เสี่ยซ้ง เดินออกมาก็ต้องตกใจเพราะพายุฝนกำลังจะมา เธออยากจะร้องไห้แต่ก็ต้องกลั้นเอาไว้ คืนนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเธอจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้ หลังจากทานข้าวเย็นเสร็จเสี่ยซ้งก็ออกไปหาบ้านเล็กคนอื่นๆ เพราะวันนี้เขารู้ว่าจะมาหวังอะไรกับเธอไม่ได้ จึงเป็นโอกาสดีที่เธอจะออกไปจากบ้านหลังนี้
‘เอาเฉพาะของที่จำเป็นติดตัวไป คืนนี้ป้าจะลืมล็อคประตูเล็ก หน้าปากชอยมีรถมอเตอร์ไซด์รับจ้าง หนูต้องทำเวลา รถตู้เที่ยวสุดท้ายที่ไปกรุงเทพฯคือรอบสองทุ่มครึ่ง’
ป้าแดงบอกกับเธอก่อนที่จะแยกย้ายกันเมื่อตอนทานข้าวเย็นเสร็จ อีกห้านาทีจะสองทุ่ม ระยะทางจากหน้าปากซอยไปถึงคิวรถตู้ใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาทีก็ถึงออกไปตอนนี้ยังไงก็ทัน ถ้าไปยืนรอนานคนของเสี่ยซ้งอาจจะเห็นเธอก่อนก็เป็นได้
ร่างเล็กเดินออกจากห้องแล้วมองซ้ายขวา ตอนนี้ทุกอย่างอยู่ในความมืด แสงไฟสว่างจากภายนอกและแสงจากฟ้าแลบกระทบเข้ากับร่างกำยำที่นอนหลับอยู่ที่โซฟากลางห้องรับแขก เขาคือลูกน้องของเสี่ยซ้ง วันนี้ฝนตกเขาจึงหลับเร็วกว่าปกติ
กรรวีพยายามย่องเท้าให้เสียงเบาที่สุด เธอแทบกลั้นหายใจพอเปิดประตูได้ก็รีบวิ่งสาวท้าวออกจากบ้านทันที ร่มที่ใช้กางออกมาก็เหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ถึงลมจะไม่แรงมากแต่ฝนที่กำลังตกลงมาอย่างหนักก็ทำให้คนตัวเล็กเสียการทรงตัวอยู่เหมือนกัน
กำลังจะข้ามถนนทันใดนั้นก็มีแสงไฟจากรถสาดมาใส่หน้าเธอพอดี
“คุณวสุระวัง!!” น่านฟ้าตะโกนขึ้นสุดสียงเมื่อมองเห็นคนวิ่งออกมาจากบ้านหลังใหญ่กำลังจะข้ามถนนท่ามกลางสายฝน
เอี๊ยดดดดด!! วสุเหยียบเบรกรถกะทันหันมองผู้หญิงที่ล้มลงกลางถนนด้วยความตกใจสุดขีด นัยน์ตาเบิกโพลงหัวใจเต้นโครมครามกลัวว่าเด็กคนนั้นจะได้รับบาดเจ็บ
“เดินยังไงไม่ดูรถ ออกมาทำไมป่านนี้ ฝนก็ตก” คนตัวโตที่นั่งอยู่ฝั่งคนนั่งบ่นอย่างหัวเสีย หิวข้าวก็หิวเปิดประตูแล้วเดินลงจากรถไปดูคนที่เกือบจะโดนรถชน วันนี้เขาอุตส่าห์มาทางลัดหวังว่าจะถึงบ้านเร็วขึ้นแต่กลับต้องมาเสียเวลามากกว่าเดิมอีก
“ฉันขอโทษคุณทั้งสองด้วยนะคะ” กรรวีช้อนตาขึ้นมองทั้งคู่พร้อมยกมือไหว้ เธอพยายามพยุงร่างตัวเองลุกขึ้นอย่างลำบาก ขาเธอคงเพลียเนื่องจากมีรอบเดือนและวันนี้ทำงานทั้งวันก็เลยเกิดอาการล้า จึงทำให้เดินสะดุดขาตัวเองล้ม วสุเห็นหน้าเธอแวบแรกแววตาดูตกใจ ก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติ น่านฟ้ายื่นมือไปช่วย แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับความช่วยเหลือ เขาจึงดึงมือกลับ
“หนูเป็นอะไรมากมั้ย เจ็บตรงไหนหรือเปล่า” วสุเอ่ยขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง ถึงเขาจะไม่ได้ขับรถชนเธอแต่ก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี
“มะ ไม่เป็นไรค่ะ” พูดจบเธอเดินไปหยิบร่มแล้วรีบเดินออกจากตรงนั้นทันที เธอกำลังเสียเวลานานมากแล้วกว่าจะเดินไปถึงคิวรถรับจ้างก็หลายนาที
เธอเดินไปตามถนนท่าทางเร่งรีบโดยไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเขาทั้งสองเลยแม้แต่น้อย ไม่มีคำโอดครวญหรือแสดงท่าทีว่าได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
สองหนุ่มมองหน้ากันด้วยความแปลกใจว่าเธอจะเดินไปไหนมืดค่ำป่านนี้แถมยังฝนตกอีก ด้วยหน้าตาเธอยังดูเด็กมากดูแล้วคงจะไม่ปลอดภัยสำหรับเธอหากต้องเดินตากฝนไปแบบนี้เพียงลำพัง
“ทำไมไม่เข้าบ้าน ออกมาทำไมมืดค่ำ” คิ้วหนาของน่านฟ้าเลิกสูงขึ้น พ่นคำออกมาหลังจากเข้าไปนั่งในรถ มองดูร่างเล็กที่กำลังเดินเร็วออกไปหน้าปากซอยอย่างรีบร้อน
“ถ้าไม่เรียกร้องความสนใจจากเสี่ยซ้งก็คงโดนเสี่ยซ้งไล่ออกจากบ้านครับ” วสุสันนิษฐานเพราะเห็นเด็กคนนี้วิ่งออกมาจากบ้านเสี่ยซ้ง เท่าที่รู้จักเสี่ยซ้ง ถึงเขาจะเป็นคนเจ้าชู้แต่ก็ไม่เคยบังคับให้เด็กคนไหนต้องมาอยู่ด้วย ถ้าเด็กคนนั้นไม่ได้ยินยอม เว้นเสียแต่ว่าเด็กคนนั้นจะทำผิดกับเสี่ยซ้งร้ายแรงจริงๆ
“งั้นเหรอ? ลองจอดถามซิว่าเธอจะไปไหน” ถ้าเป็นแบบที่วสุพูดจริงๆเขาก็แค่อยากไปส่งเธอที่บ้านก็แค่นั้น ถึงเขาจะไม่ถูกชะตากับเด็กผู้หญิงที่ทำตัวแบบนี้ แต่อย่างน้อยความเป็นมนุษย์ของเขาก็ยังหลงเหลืออยู่
“ครับ”
วสุรับคำแล้วขับรถตามก่อนจะชะลอรถและจอดด้านข้างเธอ ร่างเล็กจึงชะงักเท้าให้หยุดเดิน ไม่เข้าใจว่าสองคนนี้ต้องการอะไรจากเธอ ในใจทั้งรีบทั้งกลัว
“ขึ้นรถ ฉันจะไปส่งที่บ้าน” เขาเลื่อนกระจกลงแล้วตะเบ็งเสียงแข่งกับเสียงฝน
“ไม่ค่ะ พวกคุณไปเถอะฉันจะเดินไปเอง” เธอตะโกนตอบกลับไปพร้อมโบกมือ เธอไม่รู้ว่าสองคนนี้เป็นใครและไว้ใจได้มากแค่ไหน
น่านฟ้ารู้สึกหงุดหงิดกับท่าทางอวดเก่งของเด็กคนนี้จนทนไม่ไหว เปิดประตูลงจากรถดึงร่มในมือเธอแล้วหุบมันไว้ จากนั้นอุ้มร่างอรชรลอยสูงขึ้นท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาอย่างหนักราวกับพระพิรุณทรงโกรธกริ้วมวลหมู่มนุษย์ ร่างที่เปียกอยู่แล้วก็ยิ่งเปียกหนักขึ้นทั้งคู่
“ว้าย! คุณปล่อยฉันนะ” กรรวีดิ้นสุดแรงเกิดในอ้อมแขนแข็งแรงของเขา มือหนารีบเปิดประตูรถแล้วทิ้งร่างเล็กลงบนเบาะหลังอย่างแรง จากนั้นร่างสูงก็ก้าวขึ้นไปนั่งด้านข้างเธอโดยเร็ว วสุมองเจ้านายหนุ่มด้วยความแปลกใจ แต่น่านฟ้าคงเหนื่อยจากการทำงานจึงไม่อยากจะพูดให้มากความ และถ้าปล่อยเด็กคนนี้ให้เดินไปตามถนนมันก็อันตรายเกินไป