EP.7 ฝันร้ายที่ไม่อาจลืม
การเดินทางเสี่ยงตายเพราะความโลภของบิดาทำให้ผู้คนมากมายล้มตายจากความยากลำบากในการเดินทาง แล้วก็พบว่าในถ้ำไม่มีทอง แต่กลับเป็นกับดักของชีคอินติซาร์ หลานชายแท้ๆ ของนาฟาซัส ซึ่งบัดนี้ชีคอินติซาร์ได้กลายเป็นน้องเขยของเขาเรียบร้อยแล้ว แม้จะไม่ค่อยชอบหน้านัก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อน้องสาวรักผู้ชายคนนั้น เขาก็ทำได้เพียงยินดีที่บาลาซานมีความสุข
จุดจบของนาฟาซัสคือการกระโดดลงหุบเหวเพื่อปลิดชีวิต เศรษฐีผู้ยิ่งใหญ่ต้องตายอย่างน่าอนาถ เพียงเพราะความริษยา จงเกลียดจงชังผู้ที่มีสายเลือดผสม มิใช่อาหรับแท้ ความเกลียดสั่งสมจนกลายเป็นความเลวระยำถึงขนาดพรากเด็กจากอกผู้ให้กำเนิด นำมาเลี้ยงดูให้เป็นโจร กดขี่ข่มเหงทำร้ายจิตใจเรื่อยมา
เขาควรดีใจที่ไม่ต้องเรียกคนเลวทรามอย่างนาฟาซัสว่าพ่ออีกต่อไป แต่เหตุใดเขากลับฝันร้ายถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ ทั้งที่เวลาผ่านมานับสิบปี
เขาและน้องๆ ต่างออกตามหาผู้ให้กำเนิดที่แท้จริง เขาเป็นคนหนึ่งที่หวังว่าครอบครัวที่แท้จริงจะอ้าแขนต้อนรับเขาด้วยความเต็มใจ ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้น ทันทีที่เขาไปปรากฏตัวขึ้นที่คฤหาสน์วาจดาห์ เพื่อบอกกับสุลต่านเชอร์กีว่าเขาคือบุตรชายที่หายสาบสูญ ทว่าผู้เป็นบิดากลับเพียงแค่จ้องมองใบหน้าเขา ก่อนจะเดินออกไปจากห้องรับแขกโดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว
โอซาฟาร์ น้องชายต่างมารดาเดินตามบิดาเข้าไปเพื่อเกลี้ยกล่อมให้สุลต่านเชอร์กีออกมาพบและพูดคุยกับเขา
เขายินดีที่จะตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันสายสัมพันธ์ และพร้อมจะให้คำมั่นว่าการมาปรากฏตัวของเขาไม่ได้ต้องการมาเรียกร้องสมบัติ หรือแม้แต่ตำแหน่งทายาทสุลต่านผู้ปกครองประเทศเตอร์ฮานเลยแม้แต่น้อย
‘ท่านพ่อไม่ยอมออกมาครับ ท่านไม่อยากพบหน้าท่านพี่’
‘ทำไม’ เขาจำได้ชัดว่าเสียงของเขาช่างแหบแห้งและอ่อนแรง เหมือนคนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุ โหยหาโอเอซิสเพื่อประทังชีวิต รอนแรมอ้างว้างเดียวดายโดยปราศจากครอบครัวร่วมเดินทาง แล้ววันหนึ่งเขาก็ได้พบกับโอเอซิสล้ำค่า แต่กลับพบว่ามันเป็นเพียงแค่...
มิราจ! ภาพลวงตาที่ไม่มีจริง
‘ท่านพ่อบอกว่าเพราะท่านพี่หายไป ท่านแม่ถึงได้ตรอมใจตาย ท่านเลยไม่ต้องการเห็นหน้าพี่ ท่านยังพูดอีกว่า...’ โอซาฟาร์มีสีหน้าลำบากใจที่จะพูดออกไป
‘พูดออกมาเถอะ’ ชีคหนุ่มขบกรามเข้าหากันเป็นสันนูน
‘ท่านพ่อบอกว่าลูกชายคนโตของท่านได้ตายจากใจท่านไปนานแล้วครับ’
ชีคฮัยฟาอ์ปัดความทรงจำเลวร้ายทิ้งราวไม่ยี่หระ บอกตนเองว่าเขาไม่สนใจ ที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตโดยไม่มีครอบครัว นับจากนี้เขาก็จะใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเช่นเดิมตราบจนกว่าแผ่นดินจะกลบหน้า ทว่าเหตุการณ์ทั้งสองครั้งกลับสร้างบาดแผลเหวอะหวะที่หัวใจ สาหัสจนยากเกินจะเยียวยา
“หึ! ฮัยฟาอ์...แกมันน่าสมเพชสิ้นดี”
ชายหนุ่มเหยียดยิ้มอย่างดูแคลนโชคชะตาของตนเอง ก่อนจะเดินไปหยุดยืนอยู่หน้ากระจก
ใบหน้าซีกขวาปราศจากแผ่นหนังปกปิด แผ่นอก ท้อง ต้นขา และแขนมีรอยแผลเป็นที่เกิดจากระเบิด ไม่ว่าจะมองมุมไหนเขาก็เป็นได้แค่อสูรร้ายที่ใครๆ ต่างก็หวาดกลัว
“ออกแรงขัดให้มากกว่านี้อีก ไอ้พวกเครื่องทองเหลืองแบบนี้ต้องขัดให้ขึ้นเงา คราบดำๆ ต้องเอาออกให้หมด อย่าให้เหลือ เข้าใจมั้ย”
“เข้าใจค่ะป้า” ภัครติรับคำด้วยเสียงอ่อนแรง เหลือบตามองถ้วยชามทองเหลืองที่วางกองสูงท่วมหัวด้วยความท้อแท้ใจ เธอขัดมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าจนตอนนี้สิบโมงกว่าแล้ว แต่เครื่องทองเหลืองยังถูกยกมากองเรื่อยๆ โดยไม่มีวี่แววว่าจะลดน้อยลงเลย
“เข้าใจก็รีบเร่งมือเร็วเข้า ป้ามีงานอื่นให้เราช่วยทำอีกเยอะ” สั่งเสร็จก็ก้าวยาวๆ กลับเข้าไปในครัว เพราะต้องจัดเตรียมตั้งโต๊ะอาหารเที่ยงให้ประมุขของคฤหาสน์
จังหวะนั้นบอดีการ์ดอาเหม็ดเดินเข้ามาพร้อมกับน้ำส้มเย็นจัด ชายหน้าโหดหนวดเครารุงรังไม่ต่างจากโจรยื่นแก้วน้ำส่งให้หญิงสาว
ภัครติเงยหน้าขึ้นสะดุ้งเล็กน้อย ด้วยรูปลักษณ์ภายนอกของเขาทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่าเขาดูเหมือนโจรเสียเองมากกว่าจะเป็นบอดีการ์ด
“อะไรหรือคะพี่อาเหม็ด”
“พี่เห็นหนูภัคขัดเครื่องทองเหลืองมาตั้งแต่เช้า เลยเอาน้ำมาให้ครับ” บอดีการ์ดหนุ่มเรียกภัครติว่า ‘หนูภัค’ ตามที่จันทร์เพ็ญเรียก ส่วนภัครติก็เรียกเขาว่าพี่เพราะเขาอายุมากกว่าเธอนับสิบปี
“อ๋อ” ภัครติรับแก้วมาถือไว้แล้วยกขึ้นดื่มด้วยความกระหาย เพียงชั่วพริบตาเดียวน้ำส้มก็หมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว หญิงสาวยิ้มกว้างให้ชายหน้าโหดแต่ใจดี “ขอบคุณมากนะคะพี่อาเหม็ด”
อาเหม็ดเก้อเขินเล็กน้อย เขาพยายามบังคับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “เราเป็นคนของท่านชีคเหมือนกัน มีอะไรก็ต้องช่วยเหลือดูแลกัน หนูภัคเพิ่งมาอยู่ใหม่ ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกพี่ได้เลยนะครับ” อาเหม็ดเสนอตัว นั่นเพราะเขาตกหลุมรักหญิงสาวผู้มีรอยยิ้มสดใสตั้งแต่ครั้งแรกที่พบหน้า เขาได้รับมอบหมายให้ไปรับเธอที่สนามบินแทนคนขับรถที่ไม่ว่างเพราะต้องไปทำธุระที่รัฐรามานให้ชีคฮัยฟาอ์ และนั่นทำให้หัวใจของคนตัวโตอย่างเขาหวั่นไหวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“ขอบคุณมากค่ะ ภัคคงได้พึ่งพาพี่อาเหม็ดบ่อยๆ ถ้ายังไงฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ” หญิงสาวยิ้มกว้างก่อนจะค้อมศีรษะลงเล็กน้อย
“ด้วยความยินดีและความเต็มใจครับ”
อาเหม็ดยิ้มตอบจนตาหยี ยิ่งมองใบหน้าสวยหวานของหญิงสาว หัวใจของเขาก็ยิ่งเต้นแรง เขาไม่เคยรู้สึกกับผู้หญิงคนไหนแบบนี้มาก่อน เขาจึงค่อนข้างมั่นใจว่านี่คงเป็นชะตาฟ้าลิขิต ขีดเส้นให้เขาและเธอได้มาพบกัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธออาศัยอยู่อีกฝั่งฟ้า เมื่อพรหมลิขิตชักพา เขาก็ตั้งใจว่าจะต้องเดินหน้าจีบเธอให้ถึงที่สุด
“ถ้าขาดเหลืออะไรหรืออยากไปซื้อของ บอกพี่ได้เลยนะครับ เดี๋ยวพี่พาไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้า”
“จริงเหรอคะ!” หญิงสาวตาวาว แค่ได้ยินว่าจะออกไปข้างนอกเธอก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ ไม่รู้ว่าป้าจะพาเธอไปเที่ยวหมู่บ้านเจมินเมื่อไร แต่ถ้าได้ออกไปเดินเที่ยวห้างคงทำให้หายเบื่อได้บ้าง”