หลังจากฉันและน้องสาวตัวแสบ ช่วยแม่เตรียมร้านขายข้าวแกงหน้าบ้านเสร็จแล้ว ก็กลับเข้ามาทานข้าวในครัว หลังจากพ่อเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง พวกเราก็เหลือกันเพียงสามคนแม่ลูก อาศัยอยู่ในบ้านไม้สองชั้นหลังเก่า ๆ ในชุมชนแออัดแห่งหนึ่งใจกลางเมืองหลวง
ภาระอันหนักอึ้งของฉันกับแม่ก็คือ ส่งเสียยัยอิงฟ้าเข้าเรียนในโรงเรียนเอกชนมีชื่อแห่งหนึ่ง เพราะอยากให้มันได้มีสังคมดี ๆ จะได้มีอนาคตไกลกว่าการเป็นพนักงานบัญชีต๊อกต๋อย และแม่ค้าขายข้าวแกงอย่างพวกเราในตอนนี้
แม่หวังอยากให้ฉันมีสามีรวย ๆ เพื่อจะได้มาช่วยพยุงฐานะทางบ้าน ส่วนสิ่งที่แม่หวังกับ ‘อิงฟ้า’ ก็คืออยากให้มันเรียนสูง ๆ จะได้ทำงานดี ๆ เงินเดือนสูง ๆ ช่างต่างกันลิบลับเลยทีเดียว
“เรียนเป็นไงบ้างยะตอนนี้” ฉันเอ่ยถามน้องสาวขณะนั่งทานข้าวต้มอยู่ในครัว
“ก็ดี” มันตอบสั้น ๆ อย่างไม่ใส่ใจฉันเลยสักนิด เอาแต่จ้องหน้าจอมือถืออยู่นั่นล่ะ
“ถ้าเกรดไม่ถึงสามฉันจะให้แกกลับมาเรียนโรงเรียนวัดคอยดู”
“ถึงอยู่แล้วน่า อย่างฉันเก่งกว่าพี่ตั้งหลายเท่า ไม่ต้องห่วงหรอก”
“แล้วโทรศัพท์น่ะอย่าเล่นให้มันมากนัก”
“พี่ไม่ต้องมายุ่งกับฉันหรอก เอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ถ้าหาผัวรวย ๆ มาเป็นลูกเขยแม่ไม่ได้มีหวังโดนเชือดแน่” ทำไมมันพูดแทงใจดำฉันอย่างนี้เนี่ย อิน้องเลว! ทำเอาซะเถียงไม่ออก
“หาได้อยู่แล้วย่ะระดับนี้”
“แหม ๆ ๆ ดูตัวเองหน่อยสิแต่งตัวก็เชย หน้าก็จืดชืดอย่างนี้ผู้ชายที่ไหนเขาจะมาชอบ อย่าฝันถึงผู้ชายรวย ๆ เลยแค่แฟนสักคนพี่ยังไม่มีเลย ถ้าไม่อยากขึ้นคานฉันแนะนำให้พี่เปลี่ยนตัวเองใหม่ ก่อนที่อะไรมันจะสายไป” พูดจบมันก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ หยิบมือถือแล้วเดินออกไป ปล่อยให้ฉันนั่งเอ๋อแดกอยู่คนเดียว
“ไม่สวยตรงไหนเนี่ย” ฉันพูดกับตัวเองเบา ๆ พลางจ้องมองดูตัวเองแล้วยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
ก่อนออกไปทำงานในทุก ๆ วันไม่ลืมที่จะไหว้ผู้หญิงคนนี้ ‘คุณนายพิมวดี’ หรือที่ลูกค้าเรียกเจ้พิม นางมีความฝันอยากเป็นคุณนายนั่งนับเงินกับเขาบ้าง เพราะอาศัยในบ้านไม้หลังเก่า ๆ นี้มาเกือบทั้งชีวิต
“หนูไปทำงานแล้วนะจ๊ะแม่” ฉันเอ่ยพร้อมกับยกมือไหว้ ในขณะที่แม่กำลังนั่งรอลูกค้าอยู่หน้าร้าน
“เออ ๆ โชคดีมีชัย รีบหาผัวรวย ๆ มาให้ฉันได้ชื่นใจเร็ว ๆ ทำงานงก ๆ จนเหงื่อท่วมตัวหมดแล้วเนี่ย” นี่คือคำอวยพรในทุก ๆ วันที่ฉันได้รับจากแม่ คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมฉันถึงได้กล้าเข้าไปอ่อยบอสถึงในห้อง
“เลิกกดดันหนูแบบนี้สักทีเถอะแม่”
“ฉันจะพูดไปเรื่อย ๆ จนกว่าแกจะหาลูกเขยรวย ๆ มาให้ฉันได้ ถ้าแกไม่อยากได้ยินก็รีบหามาซะฉันจะได้เลิกขายข้าวแกงซะที”
“หนูไม่พูดกับแม่แล้วไปล่ะ”
ฉันรีบเดินสะพายกระเป๋าออกมาจากหน้าบ้าน เพื่อเดินไปขึ้นรถเมล์หน้าปากซอยเหมือนเช่นทุกวัน ต้องนั่งรถสองต่อกว่าจะถึงบริษัท บางทีมันก็เบื่อกับชีวิตมนุษย์เงินเดือน ตื่นนอน ไปทำงาน กลับบ้าน วนเวียนอยู่อย่างนี้ทุกวันแทบไม่มีเวลาให้กับตัวเองเลยสักนิด
ชีวิตในเมืองหลวงช่างมีแต่ความวุ่นวายแท้ แต่ฉันก็ชินซะแล้วล่ะเพราะเจออย่างนี้มาตั้งแต่เด็กจนโต เวลารถเมล์มาทีก็ต้องแย่งกันขึ้น ผู้โดยสารบนรถแน่นไม่ต่างจากปลากระป๋อง ส่วนคนที่แพ้อย่างฉันก็ต้องยืนรอรถคันต่อไปอย่างเซ็ง ๆ
“จะทันสแกนนิ้วไหมเนี่ย” ฉันยืนร้อนใจอยู่ป้ายรถเมล์ จ้องมองเวลาที่นาฬิกาข้อมืออยู่บ่อยครั้ง ปกติแล้วหากได้ขึ้นรถรอบนี้จะไปทันเวลาเข้างาน แต่ทว่าวันนี้คนเยอะผิดปกติ จนขึ้นไม่ทันจึงต้องรอคันต่อไปซึ่งไม่รู้ว่าจะมาอีกตอนไหนน่ะสิ
แป๊นๆ
จู่ ๆ รถหรูสัญชาติยุโรปก็ขับมาจอดเทียบริมฟุตบาทตรงหน้า ฉันขมวดคิ้วมองด้วยความสงสัยรู้สึกคุ้น ๆ กับรถสีดำคันนี้ซะเหลือเกิน แต่พออีกฝ่ายลดกระจกลงมาทุกอย่างก็ถูกเฉลย เป็นบอสสุดหล่อของฉันนั่นเอง กรี๊ดดดด!!!
“สวัสดีค่ะบอส” ฉันยกมือไหว้ส่งยิ้มทักทายเมื่อรู้ว่าเป็นเขา หัวใจเต้นแรงตึกตักตื่นเต้นมากเหลือเกิน เพราะกำลังคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาจะรับขึ้นรถไปทำงานด้วย
“เธอมารอที่ป้ายนี้ทุกวันเลยเหรอ” เขาถามหน้านิ่ง
“ค่ะบอส” ฉันยังคงยิ้มอย่างมีความหวัง พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อให้เขาเอ่ยปากชวนขึ้นไปนั่งบนรถด้วยกัน
“ไปให้ทันเวลาล่ะเดี๋ยวจะสายเอา” พูดจบเขาก็ปิดกระจกรถแล้วขับออกไป
เพล้ง!!!!
ฉันรู้สึกหน้าแตกเป็นร้อยล้านชิ้น รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ จางหายไปอย่างช้า ๆ โลกทั้งใบหยุดเคลื่อนไหว มีเสียงหัวเราะเยาะของคนรอบข้างดังระงม
“ไม่มีน้ำใจเอาซะเลย ถ้าไม่ติดว่าหล่อรวยฉันจะด่าซะให้เข็ด”
ฉันถอนหายใจเสียงดังหลายครั้งติดต่อกันอย่างอารมณ์เสีย จากนั้นจึงโบกแท็กซี่เพราะกลัวว่าจะเข้างานสายจนเสียเบี้ยขยันอีก ยิ่งโดนแกล้งอย่างนี้ฉันยิ่งจะหาทางจับบอสให้ได้เลยคอยดู
@ บริษัท Elvira Cosmetic
มาถึงบริษัทแล้วฉันก็เห็นเขากำลังยืนคุยกับหมิว เธอเป็นสาวสวยประชาสัมพันธ์ของบริษัท เนื้อหอมมากจนผู้ชายเกือบทั้งบริษัทต่างก็วิ่งกรูเข้ามารุมจีบ และเธอนั่นเองคือคู่แข่งที่น่ากลัวของฉัน เพราะได้ยินข่าวว่านางเองก็กำลังตะล่อม ๆ บอสด้วยอีกคน
“วันนี้บอสจะออกไปทำธุระข้างนอกไหมคะ”
“ไม่นะ...ทำไมเหรอ”
“พอดีหนูมีเรื่องจะปรึกษานะค่ะ ถ้าบอสอยู่ห้องหนูจะได้ขึ้นไปหา”
“ก็ขึ้นไปสิ ฉันไปล่ะ”
“ค่ะบอส”
นั่นคือบทสนทนาระหว่างบอสและหมิว ซึ่งฉันแอบซุ่มฟังอยู่อีกมุมหนึ่ง รอให้คนทั้งสองแยกย้ายกันแล้ว จึงออกจากที่มืดรีบวิ่งแจ้นไปยังเครื่องสแกนนิ้ว
เจ็ดโมงห้าสิบเก้านาที สี่สิบวินาที...
ตี๊ด!
“เฮ้อ!! นึกว่าจะไม่ทันซะแล้ว” เมื่อสแกนนิ้วได้ทันเวลาฉันจึงหายใจโล่งขึ้นมาหน่อย
“อ้าว! ฉันนึกว่าเธอจะมาไม่ทันซะอีก” เขามาอยู่ข้างหลังตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้
“บอส!”
“โทษทีนะที่ฉันไม่ได้รับเธอมาด้วย เห็นว่าชอบนั่งรถเมล์เลยกลัวว่าจะรู้สึกอึดอัด” เขาเอ่ยกับฉันด้วยสีหน้ากวน ๆ ราวกับเมื่อเช้ามันเป็นแค่เรื่องขำขันเท่านั้นเอง
“ไม่เป็นไรค่ะ ถึงชวนหนูก็ไม่ไปด้วยหรอกเพราะถ้าได้นั่งใกล้บอสขนาดนั้น คงใจละลายตายอย่างสงบศพสีชมพูแน่ ๆ” ฉันส่งยิ้มให้บอสเหมือนไม่ได้รู้สึกน้อยใจอะไรเลย แต่ทว่าในใจกลับมีแต่คำก่นด่า
“สรุปที่เธอบอกว่าชอบฉันเมื่อวานไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม”
“ทำไมบอสคิดว่าหนูพูดเล่นล่ะคะ”
“ก็ดูจากสภาพเธอแล้วมันไม่น่าใช่ไง ฉันเข้าใจนะว่าผู้หญิงส่วนมากในบริษัทอยากจะเป็นแฟนกับคนหล่อ ๆ รวย ๆ อย่างฉัน แต่ฉันเข้าใจว่าเธอเป็นคนเรียบร้อยมาตลอด ไม่นึกว่าจะกล้าทำถึงขนาดนี้ ถ้าเป็นอย่างหมิวมันก็น่าจะพอมีลุ้นหน่อย” เขาแค่นหัวเราะออกมาเบา ๆ ราวกับฉันเป็นตัวตลกซะอย่างนั้น
“หมิวสวยกว่าหนูมากขนาดนั้นเลยเหรอคะบอส”
“ห๊ะ! เธอกล้าพูดออกมาได้ยังไงกัน ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีผู้หญิงมั่นหน้าอย่างนี้บนโลกด้วย เอาเป็นว่าขึ้นไปทำงานเถอะฉันไม่มีอะไรจะคุยกับเธอแล้ว” เขาปัดมือไล่ฉันราวกับเป็นตัวอะไรสักอย่าง จากนั้นจึงเดินนำหน้าขึ้นไปก่อน
“มั่นหน้าตรงไหนเนี่ย ฉันก็สวยในแบบของฉันนี่นา” ฉันเอ่ยออกมาเบา ๆ จากนั้นจึงเดินตามหลังบอสสุดหล่อขึ้นไปที่ออฟฟิศชั้นสอง