เวลา 12.00 น. @โรงอาหาร
เมื่อถึงเวลาทานมื้อเที่ยงฉันกับพรรคพวกในแผนก ต่างก็เดินเกาะกลุ่มมายังโรงอาหารของบริษัท พนักงานที่นี่มีหลายร้อยชีวิต ทำให้ตอนเที่ยง ๆ อย่างนี้มีผู้คนพลุกพล่านมากเป็นพิเศษ
โต๊ะนั่งทานข้าวเต็มพื้นที่ถูกจับจองไว้จนเกือบหมด แต่ทว่าที่ประจำของพวกเราทั้งห้าชีวิตซึ่งประกอบไปด้วย พี่นุช พี่ต๋อย พี่ออย พี่เมย์ และคนสุดท้ายก็คือฉันเอง ยังคงเป็นพื้นที่ปลอดภัยไม่มีใครจับจอง
“ยัยดาวแกรู้สึกแปลก ๆ ไหม” เมื่อนั่งลงที่โต๊ะแล้วพี่นุชก็ชะโงกหน้า มาเอ่ยกับฉันด้วยสีหน้าสงสัย มองซ้ายมองขวาเพื่อสังเกตพฤติกรรมคนรอบตัว
“หนูก็คิดว่ามันแปลก ๆ ตั้งแต่เดินมาแล้วอ่ะพี่” ที่เป็นอย่างนั้นเพราะพนักงานคนอื่น ๆ ต่างก็มองมาที่ฉันแล้วหัวเราะคิกคัก สนทนากันแล้วมองมาราวกับกำลังนินทาว่าร้ายซะอย่างนั้น
“ฉันนึกว่าคิดไปเองคนเดียวซะอีก” พี่ต๋อยเอ่ยสมทบอีกคน
“แกไปทำอะไรไว้หรือเปล่ายัยดาว คนถึงได้มองทั้งบริษัทอย่างนี้” พี่เมย์เอ่ยถาม
“เปล่านะพี่วัน ๆ หนูก็อยู่แค่ในแผนกพวกพี่ก็เห็นนี่นา”
“เออ...ก็ใช่นะ” พี่เมย์พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดฉัน
“ช่างเถอะเดี๋ยวก็รู้เองล่ะไปซื้อข้าวกันเถอะ” พี่ออยว่า
จากนั้นเราทั้งหมดก็เดินไปเลือกซื้ออาหาร ในระหว่างยืนรอเข้าคิวอยู่นั้น ก็มีสาว ๆ กลุ่มที่ยืนข้างหลังซุบซิบเสียงเบาแต่ทว่าฉันกลับได้ยินถนัดหู
“สภาพอย่างนี้นะกล้าไปบอกชอบบอส”
“ฉันก็ว่างั้นล่ะ ฉันสวยกว่าตั้งเยอะยังไม่มั่นหน้าขนาดนั้นเลย”
“ยังโชคดีที่ไม่โดนไล่ออก”
ได้ยินอย่างนั้นฉันก็เบิกตาโพลงด้วยความตกใจ คนทั้งบริษัทรู้เรื่องนี้ได้ยังไงกัน เพราะตอนนั้นก็มีแค่ฉันกับเขาเพียงสองคนที่อยู่ในห้อง ถ้าจะมีใครเป็นคนพูดคงไม่พ้นบอสแน่นอน เขาทำอย่างนี้ทำไม หรือต้องการแกล้งให้ฉันอับอายขายขี้หน้าจนอยู่ไม่ได้งั้นเหรอ คิดจะบีบให้ฉันลาออกทางอ้อมสินะ
ไม่มีทาง!
ฉันหันขวับกลับไปมองผู้หญิงพวกนั้นด้วยสายตาดันดุดัน เจ้าหล่อนทั้งหลายปิดปากเงียบสนิท ลอยหน้าลอยตาหันไปมองทางอื่นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ด้านได้อายอดเคยได้ยินคำนี้ไหม”
หลายคนอาจจะมองว่าฉันเป็นผู้หญิงเรียบร้อย แต่ทว่าพอได้โมโหแล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย ฉันเป็นพวกไม่ยอมคน อยากได้อะไรก็ต้องได้ ซึ่งมันขัดกับบุคลิกที่คนอื่น ๆ มองมา แต่ถ้าคิดแล้วก็คงไม่แปลกที่คนอื่นจะมองฉันแบบนั้น
ฉันถือจานข้าวมานั่งทำหน้างองุ้มที่โต๊ะตัวเดิม พวกพี่ ๆ ต่างก็จ้องมองมาราวกับมีคำถามมากมายในใจ
“หนูรู้แล้วว่าเรื่องอะไร”
“เรื่องอะไรว่ามาเร็ว ๆ พวกฉันรอฟังอยู่” พี่นุชเจ้าเก่าชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ ราวกับอยากฟังซะเต็มประดา
“เมื่อวานที่พี่นุชให้หนูเอาเอกสารไปให้บอส หนู...บอกชอบเขาด้วยอ่ะ” ฉันสารภาพให้ทุกคนฟัง แม้ว่าพวกนางจะรู้อยู่แล้วว่าฉันชอบบอส แต่คงไม่มีใครคาดคิดว่าจะใจกล้าถึงขนาดนี้
“ห๊ะ! / ห๊ะ! / ห๊ะ! / ห๊ะ!”
สาวโสดทั้งสี่อุทานขึ้นพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย
“เบา ๆ สิคะคนมองกันใหญ่แล้ว”
“อย่างนี้สิน้องฉันรุกให้เต็มที่เลย ได้ไม่ได้ค่อยว่ากันอีกที” หลังจากปรับสภาพสีหน้าได้แล้วพี่นุชก็นำทีมยกนิ้วให้ฉัน ยกย่องให้กับความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว(ที่ค่อนข้างจะบ้าบิ่น)
“หนูทำดีแล้วใช่ไหมคะ”
“แน่นอนใครจะว่ายังไงก็ช่างอย่าได้สน เพราะพวกหล่อน ๆ เองก็อยากได้บอสจนตัวสั่นเหมือนกันนั่นล่ะ” พี่ต๋อยสนับสนุนอย่างเต็มที่
“แกต้องเป็นตัวแทนลบล้างคำสาปของสาวบัญชีนะ ห้ามขึ้นคานเด็ดขาด!” พี่นุชผู้จัดการเอ่ยกับฉันด้วยสีหน้าจริงจัง
“ค่ะ...ยิ่งได้เสียงสนับสนุนจากพวกพี่หนูยิ่งมีแรงฮึดสู้ แต่ว่า...”
“แต่อะไรยะยัยดาว” พี่เมย์ขมวดคิ้วถามอย่างสงสัย
“ทำไมบอสต้องเอาเรื่องนี้มาประจานหนูด้วยอ่ะ ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ เขาเกลียดหนูถึงขั้นนี้เลยเหรอ”
“แกแน่ใจนะว่าบอสเป็นคนทำ”
“ถ้าไม่ใช่บอสจะใครล่ะคะ ก็วันนั้นมีหนูกับเขาอยู่ในห้องแค่สองคน”
“คนอย่างบอสเนี่ยนะจะมาเล่นอะไรบ้า ๆ อย่างนี้ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย” สีหน้าของพี่นุชดูก็รู้ว่าไม่มีทางเชื่อ ว่าเรื่องพวกนี้จะออกมาจากปากบอส แต่ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ
“แต่หนูมั่นใจว่าต้องเป็นบอส พี่นุชคิดว่าหนูจะเป็นคนพูดเองเหรอคะมันเป็นไปไม่ได้”
“ก็จริงของแกอ่ะ แต่ก็ช่างมันเถอะรีบกินดีกว่ากับข้าวเย็นหมดแล้ว”
ฉันนั่งทานข้าวไปในหัวก็คิดเรื่องบอสไปด้วย ฉันมั่นใจว่าต้องเป็นเขาแน่นอน ยืนยัน นอนยัน นั่งยัน ไม่มีทางผิดไปจากนี้แน่นอน และฉันต้องถามให้รู้เรื่องว่าเขาทำไปทำไมกัน
เลิกงานแล้วฉันก็รีบเก็บของเข้ากระเป๋าแล้วเดินลงไปที่โรงจอดรถ วันนี้จะต้องหาทางคุยกับบอสให้รู้เรื่องให้ได้ว่าเขาทำอย่างนั้นทำไม แต่อีกหนึ่งจุดประสงค์ก็เพื่อจะได้อยู่ใกล้เขา มันคือหนึ่งในแผนตีสนิทกับเจ้านายสุดหล่อนั่นเอง
ฉันแอบซุ่มอยู่ข้างรถบอส เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเปิดประตูรถแล้วจึงรีบเปิดประตูเข้าไปนั่งฝั่งข้างคนขับทันที โชคดีที่ไม่มีใครอยู่แถวนั้น
“เฮ๊ย! เธอเข้ามานั่งในรถฉันทำไมเนี่ย” เมื่อเห็นฉันเขาก็สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ จู่ ๆ ก็มีแขกไม่ได้รับเชิญมานั่งในรถด้วยก็คงจะตกใจเป็นธรรมดา
“หนูมีเรื่องจะคุยกับบอสค่ะ” ฉันไม่ยอมลงจากรถแถมยังคาดเข็มขัดนิรภัยอีกด้วย
เขาชักสีหน้าใส่จ้องเขม็งมาราวกับต้องการขับไล่ฉันซะเต็มประดา
“ลง-ไป-เดี๋ยว-นี้ มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ ฉันไม่ได้ใจดีตลอดหรอกนะ” เขาเอ่ยเสียงเข้มเพื่อกดดันให้ฉันลงไป
“ก็หนูบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับบอสยังไงล่ะคะ หนูไม่ลงจนกว่าจะได้คุยให้รู้เรื่อง”
“ฉันไม่เคยพบเคยเจอผู้หญิงหน้าด้านอย่างเธอมาก่อนเลย ไม่ลงใช่ไหมเดี๋ยวได้เห็นดีกัน”
สีหน้าของบอสดูน่ากลัวขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นเขาก็เร่งเครื่องเสียงดังก่อนจะขับออกไปจากรั้วบริษัท
ฉันได้แต่นั่งเงียบอยู่อย่างนั้นยังไม่กล้าเอ่ยอะไร เพราะกลัวว่าจะไปกระตุกต่อมโมโหเขาให้ปะทุขึ้นอีก กลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุ เขาขับรถด้วยความเร็วราวกับกำลังแข่งในสนามก็ไม่ปาน
“บอสลดความเร็วหน่อยได้ไหมคะหนูกลัว” ฉันนั่งหลับตาพนมมือภาวนาในใจขออย่าให้รถไปชนกับอะไรเลย
“อยากนั่งนักไม่ใช่เหรอฉันจะจัดให้” เขายังไม่ยอมลดดีกรีความโมโหร้ายลงเลยสักนิด นี่ฉันทำเกินไปหรือเปล่าเนี่ย ตั้งใจจะมาอ่อยกลายเป็นว่ามายั่วโมโหเขาซะงั้น
“หนูลงก็ได้ค่ะจะ...จอดให้หนูเถอะนะ” ฉันพยายามเอ่ยขอร้องเขา ขับรถเร็วขนาดนี้ใครไม่กลัวก็บ้าแล้ว
“อ้าว! กลัวเป็นด้วยเหรอ จำเอาไว้ว่าคราวหลังอย่ามาถือวิสาสะปฏิบัติตัวอย่างนี้กับฉันอีกหึ ๆ”
เอี๊ยดดดด!!!
ปึก!
“โอ๊ยยย!!!! จะจอดทำไม่บอกกันก่อนเนี่ย”