"เจ้าเอยลูก ตื่นได้แล้วไม่ไปสอนหรือลูก" จิตตราขึ้นมาตามลูกสาวถึงห้องนอนเมื่อยังไม่เห็นเธอลงไปข้างล่างเสียที
"สายแล้วนะลูก" ผู้เป็นแม่เรียกอีกครั้งแต่ที่นอนไม่ขยับ
"อุ้ย ตัวร้อนจี๋เลย" เธอเอามือไปอังที่หน้าผาก แต่ต้องดึงมือกลับมาด้วยความตกใจ
"นอนพักไปนะเดี๋ยวแม่เอาข้าวเอายามาให้หนูทานบนนี้" จิตตรากลับลงไปเตรียมอาหารและยาให้กับลูกสาว
"ลูกไม่ไปทำงานหรือแม่"เกรียงไกรที่นั่งดื่มกาแฟอยู่ถามภรรยาที่เดินลงมาคนเดียว
"ไม่สบายน่ะสิพ่อ ตัวร้อนจี๋เชียว นี่ว่าจะเอายาเอาข้าวขึ้นไปให้แล้วเช็ดตัวลดไข้หน่อย"
"ยังไงแม่มีเบอร์ติดต่อโรงเรียนใช่ไหมแจ้งเขาหน่อยก็ดีนะ" เกรียงไกรบอกภรรยากลัวว่าโรงเรียนจะไม่มีใครทราบเรื่องและไม่มีคนช่วยดูแลเด็กๆ
"ได้จ้ะพ่อ แม่มีเบอร์ครูนารีผู้ช่วยของเจ้าเอยอยู่" จิตตราพูดไปเตรียมของไป
"เมื่อวานฝนไม่ได้ตก กลับบ้านมาตัวไม่เปียกทำไมเป็นไข้ได้นะ ตายแล้ว! ยัยเจ้าเอยทำไมข้อเท้าบวมขนาดนี้เนี่ย" ขณะที่จิตตรากำลังเช็ดตัวให้จันทร์เจ้าเอยก็เห็นข้อเท้าเธอบวมขึ้นอย่างมาก
"เจ้าเอยลูก แม่ว่าหนูไปหาหมอดีกว่า"
"อือออ" จันทร์เจ้าเอยมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ไม่ตอบคำถามมีเพียงเสียงครางด้วยพิษไข้
"มาพ่อช่วยกันหน่อยเร็วพาลูกไปโรงพยาบาล" จิตตราลงไปตามสามีให้ขึ้นมาช่วยกันอุ้มลูกสาวไปส่งโรงพยาบาล
...............
"คงต้องนอนให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 1-2 คืนนะครับ เห็นว่าที่ข้อเท้ามีอาการบวมด้วยหมออยากขอตรวจให้ละเอียดว่าเป็นสาเหตุอาการไข้นี้หรือไม่ครับ" หลังจากตรวจอาการเบื้องต้นคุณหมอได้แจ้งกับจิตตราและเกรียงไกรให้ทราบถึงการนอนพักเพื่อตรวจติดตามต่อไป
"ค่ะคุณหมอ ขอบคุณค่ะ" จิตตรามีสีหน้ากังวลเล็กน้อย นานมากแล้วที่จันทร์เจ้าเอยไม่ได้ล้มหมอนนอนเสื่อแบบนี้ อย่างมากทานยาก็หาย
"ไม่ต้องกังวลน่าแม่ ถึงมือหมอแล้ว น่าจะเป็นแค่ไข้ทั่วไปไม่ก็อาการข้างเคียงจากที่ข้อเท้าบวมนั่นแหล่ะมันเกิดขึ้นได้ วัคซีนกันบาดทะยักลูกก็ฉีดมาแล้ว" เกรียงไกรปลอบใจภรรยา
"หวังจะเป็นแค่นั้น" จิตตราอดห่วงไม่ได้อยู่ดี
"พ่อกลับไปก่อนเถอะ แม่จะอยู่เฝ้าเจ้าเอยเอง"
"ได้ แล้วพ่อจะมาหาใหม่พรุ่งนี้"
................
"คุณหนู คุณหนูของบ่าว" เสียงหญิงคนหนึ่งตะโกนร้องลั่น
"ช่วยบ่าวด้วย คุณหนู" เสียงที่โหยหวนและสายตาที่สิ้นหวังยังตะโกนออกมาไม่หยุด
หญิงคนหนึ่งถูกจับตัวคุมขังไว้ภายในกรงที่ทำขึ้นจากไม้ไผ่ลำใหญ่แข็งแรง รูปร่างเป็นสี่เหลียมจัตุรัสขนาดเกือบพอดีตัว หญิงสาวในลักษณะนั่งคดคู้ตัวงอไม่สามารถยืนได้ด้วยความแคบของกรงไม้นั้น มือและเท้ายังถูกมัดด้วยเชือกที่เหนียวแน่นอยากที่จะแกะให้คลายได้
สิ้นเสียงเรียกสุดท้าย มือคู่นั้นเกาะที่กรงพร้อมหลั่งน้ำตาออกมาดุจใจแตกสลายรู้ชะตากรรม
"อือ อือ อือออ" เสียงครางเบาแต่ไม่รู้สึกตัวของของจันทร์เจ้าเอย ร่างกายกระสับกระส่ายแต่ยังไม่หลุดออกจากภาพนิมิตนั้น
"กรุ๊ง กริ๊ง กรุ๊ง กริ๊ง" เสียงกระพรวนดังไกลมาจากทางเดินหน้าห้องพยาบาล
"ใครเอาสัตว์เลี้ยงเข้ามาในโรงพยาบาล" พยาบาลเวรลุกขึ้นยืนชะโหงกหน้าออกมาดูนอกเคาน์เตอร์
"หูแว่วอีกแล้วเรา" เธอนั่งลงตามเดิมเมื่อไม่เห็นอะไร
"แอ๊ดดดด" เสียงประตูห้องดังเหมือนมีคนเปิดเข้ามาช้าๆแต่ไม่อาจเห็นตัวตนของอาคันตุกะยามค่ำคืน มีเพียงหยดน้ำหยดเป็นทางตามพื้นทางเดินภายในห้อง น้ำหนึ่งหยดแทนการเดินหนึ่งก้าว
"แค่นี้ไกลยังหัวใจนัก ส่วนกูเจ็บช้ำทั้งกายและใจ เจ็บจนฝังลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ" ริมฝีปากไร้สีเลือดก้มลงมาเปล่งเสียงเยือกเย็นข้างหูของจันทร์เจ้าเอย
"เกิดมาเป็นกูมันผิดมากนักรึ" มือขาวราวกระดาษเปล่า เอื้อมมาจับข้อเท้าเธอ
"มึงออกไปเสีย!" เสียงมีอำนาจตวาดก้อง
เจ้าของมือขาวเงยหน้ามองตามเสียง แววตาโหยหาความรักที่แสนเจ็บปวด
"การรอคอยของกูใกล้สิ้นสุดลงแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ" จากอารมณ์เศร้ากลายเป็นเสียงหัวเราะที่ดังสะใจ แขกลึกลับผู้มาเยือนหายวับไปกับตา
"หลับเสียเถิด ข้าจักปัดเป่าอันตรายให้เจ้าเอง" ฝ่ามือใหญ่วางเหนือหน้าผากของจันทร์เจ้าเอยและค่อยเลื่อนผ่านลงมายังข้อเท้าของเธออย่างอ่อนโยน ทำให้จันทร์เจ้าเอยหายจากอาการสั่นเทิ้มและครางละเมอโดยพลัน
...........................
"ขออุทิศผลบุญกุศลที่เกิดจากเจริญภาวนาบำเพ็ญเพียรนี้ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรไม่ว่าจะอยู่ในภพชาติใด ขอให้ท่านหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงเถิด" พระภิกษุวัยห้าสิบปลายตั้งจิตอุทิศบุญขณะที่นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในกลด
"สาธุ พระคุณเจ้า" ร่างหนึ่งในชุดโจงกระเบนลายไทยพนมมือกล่าวอนุโมทนา
"ขอบใจท่านมากที่ไม่ลืมข้า แท้จริงแล้วข้าหาได้มีจิตอาฆาตแค้นต่อท่านไม่"
"สัญญาณของความผูกพันธ์เมื่อรู้แล้ว ระลึกได้แล้ว อาตมามิอาจนิ่งดูดาย" เสียงนั้นเปี่ยมด้วยเมตตา
"อย่างไรเสียขอให้ท่านจักวางใจ เราทั้งสองมิได้มีความติดค้างสิ่งใดต่อกัน อันเหตุที่ผ่านมาแล้วไซร้ข้าขออโหสิกรรมทั้งสิ้น"
"อย่างไรอาตมาก็จำเป็นต้องเป็นตัวกลางซึ่งวัฏฏะแห่งเวรนี้ บ่วงแห่งวิบากกรรมจึงจะจบสิ้นต่อกันแล้วอย่างแท้จริง"
"เข้าใจได้ด้วยเหตุประการนั้น เยี่ยงนั้นข้าขอลา" ชายผู้นั้นก้มลงกราบลาและหายไป
......................