11

1188 Words
“แกรู้ตัวว่าแพ้ตั้งแต่แรกน่ะดีแล้ว แกจะได้หยุด ถ้าขืนดันทุรังทำอะไรลงไปแล้วผลคือแพ้ราบคาบ แกจะเสียใจหนักขึ้นหลายเท่านะ แกบอกฉันเองว่า วันนี้พี่เจย์จะพาผู้ใหญ่ไปสู่ขอนก นั่นก็หมายความว่า พี่เจย์ได้เลือกคู่ครองแล้ว เขาจะมาสนใจแกเหรอ ฉันไม่อยากเห็นแกเสียใจ ไม่อยากเห็นแกร้องไห้ และขี้เกียจเช็ดน้ำตาให้แก ฉันก็เตือน ฉันพูด พูดมากก็เมื่อยปาก พูดไปก็เท่านั้นเพราะรู้ว่าแกไม่ฟัง” บัณฑิตาเตือนเพื่อนรักต่อ แม้ว่าคำพูดของเธอจะไม่ซึมเข้าไปอยู่ในความคิดของชเนตตีก็ตาม แต่เธอก็จะพูด จะเตือนต่อไปตามประสาเพื่อนที่หวังดีกับเพื่อน และเธอก็รักเพื่อนคนนี้ของเธอมาก “พูดจบยัง จบแล้วก็กินซะ” ชเนตตีรู้ดีว่าบัณฑิตาหวังดี แต่เรื่องนี้เธอคิดจะทำตามความตั้งใจ และไม่เปลี่ยนใจจนกว่าจะสำเร็จ “อะ กินสิ ฉันป้อนแก” บัณฑิตามองหน้าเพื่อนสนิทที่ฉีกยิ้มกว้าง แล้วยังจะตักอาหารมาจ่อตรงปากของตน “แกทำอย่างกับฉันเป็นเด็กตะกละไปได้” พูดจบก็อ้าปากรับอาหารในช้อนอย่างเสียมิได้ คนป้อนยิ้มร่าตักอาหารทานต่อไป และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อไม่ให้เพื่อนสนิทเสียอารมณ์ “เนย ฉันต้องไปฮ่องกงกับป๋าสามวันนะ แกไปกับฉันไหม” บัณฑิตากล่าวชวน “แกไปทำไม ไปเรื่องงานหรือไปเที่ยว” คนถูกชวนย้อนถาม “ไปเรื่องงาน แต่ก็มีเวลาเที่ยวกับแกนะ” “งั้นไม่ไป ฉันนั่งๆ นอนๆ อยู่ที่บ้านดีกว่า” “ไปทำงานกับคุณป้าสิ แกจะได้ไม่เหงา หาเรื่องยุ่งๆ ใส่หัวบ้างจะได้ไม่เอาสมองไปคิดเรื่องไร้สาระ” บัณฑิตาพยายามชักจูงให้ชเนตตีทำงาน หรือหาอะไรทำที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่หายใจทิ้งไปวันๆ อย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ “โอ๊ย ไม่เอาหรอก” ชเนตตีปฏิเสธโดยไม่คิด “ฉันยังไม่อยากทำงาน ทำงานแล้วปวดหัว มีแต่อะไรก็ไม่รู้ น่าเบื่อจะตาย ขอเที่ยวอีกสักปีสองปีค่อยทำก็ได้” “แกยังไม่ทำเลย แกจะรู้ได้ยังไงว่าปวดหัว” “รู้สิ ฉันนั่งทางในมองเห็นภาพเลยแหละ” คนขี้เกียจตัวเป็นขนเถียงข้างๆ คูๆ “ย่ะ แม่หมอ แม่หมอที่ขยันขันแข็งที่สุดในโลก” บัณฑิตาพูดประชด “แล้วแม่หมอคนนี้ก็นั่งทางในมองเห็นว่า แผนของแม่หมอสำเร็จอย่างสวยงาม แกคอยดูนะ พี่เจย์จะต้องเป็นของฉันเร็วๆ นี้” ชเนตตีพูดอย่างมาดมั่นว่าตนจะต้องทำสำเร็จ แต่อีกใจก็ยังแอบหวั่น “แกจะทำยังไง” บัณฑิตาคร้านจะพูดเตือน ก็เลยเปลี่ยนเป็นถามถึงแผน “ไม่รู้สิ ยังไม่ได้คิด” แม่หมอตอบทันที “อ้าว แล้วอย่างนี้จะสำเร็จได้ยังไง ยิ่งพี่เจย์ไปสู่ขอนกด้วยแล้ว นั่นก็หมายความว่างานแต่งงานก็จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ แกยังไม่ได้นั่งทางในคิดแผน แล้วแกจะได้พี่เจย์ได้ยังไง” “ก็เดี๋ยวค่อยคิด” ชเนตตีตอบปัด “แกก็เห็นว่าฉันไม่ว่างคิดเพราะต้องเลือกซื้อเสื้อผ้า ซื้อรองเท้า ซื้อนั่นซื้อนี่ สมองของฉันก็ต้องประมวลเรื่องพวกนี้ว่า อันไหนถูกใจ อันไหนไม่ถูกใจ และตอนนี้ฉันก็ไม่ว่างเช่นกันเพราะกำลังกินอยู่ เอาไว้ฉันไม่ได้ทำอะไรแล้วค่อยคิดก็ได้” ชเนตตีแก้ตัว อันที่จริงแล้วเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มต้นตรงไหนดี แผนก็คิดไม่ออก สมองก็ดันมาตันอีก เธอจึงวางเรื่องนี้เอาไว้ก่อน คิดว่าประเดี๋ยวแผนก็วิ่งเข้าในสมองเอง “ถ้าคิดไม่ออกก็ไม่ต้องคิดนะ ฉันสงสารสมองน้อยๆ ของแก กลัวว่าจะทำงานมากเกินไป พานไม่สบายขึ้นมา ฉันขี้เกียจไปเฝ้าไข้แก” บัณฑิตาพูดประชด “แกพูดประชดฉันนี่” คนพูดทำเสียงงอน “แต่มันก็จริงของแกนะ ฉันคิดมากไม่ได้ เดี๋ยวสมองจะทำงานหนักเกินไป พอฉันเครียดมากก็จะไม่สบาย พอฉันไม่สบาย ฉันก็จะอดช็อปปิ้ง ไม่ได้กินของอร่อยๆ ไม่ได้แล้วไม่ได้ ฉันคิดอะไรมากไม่ได้ กินดีกว่า” คนที่ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่า กิน ช็อป เที่ยว รีบปัดทุกอย่างที่จะทำให้สมองของตนทำงานหนักเกินไป ก่อนจะลงมือรับประทานอาหารต่อไป บัณฑิตาส่ายศีรษะอย่างปลงอนิจจัง ระอาจิตกับนิสัยของเพื่อนรักที่มีเพียงเธอเท่านั้นที่ทนได้ เพื่อนคนอื่นก็คบกันในระดับหนึ่ง นัดสังสรรกันบ้างตามประสา แต่จะมีเธอคนเดียวที่ไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะเป็นกิน ช็อปปิ้งและเที่ยวกับชเนตตีตลอดหลายปี แต่ถึงแม้ว่าชเนตตีจะมีนิสัยเกียจคร้าน สุรุ่ยสุร่าย หนักไม่เอาเบาไม่สู้ เธอก็จะไม่ทิ้ง จะอยู่เตียงข้างเพื่อนคนนี้เสมอ และยินดีจะปากเปียกปากแฉะพูดเตือนชเนตตีไปตลอดชีวิตด้วย เพราะนิสัยลึกๆ ของชเนตตีเป็นคนดี ตรงไปตรงมา ไม่เคยคิดร้ายต่อใคร เพิ่งจะมาคิดนอกลู่ก็เรื่องไอศูรย์นี่แหละ หนึ่งสัปดาห์ต่อมา สุภัทราเดินทางกลับมาถึงบ้านในเวลาเกือบสี่ทุ่ม วันนี้นางกลับบ้านช้ากว่าทุกวัน เนื่องจากมีลูกค้ารายสำคัญเดินทางมาจากต่างประเทศ นางจึงพาไปทานอาหารยังร้านหรู กว่าจะเสร็จสิ้นเวลาก็ล่วงเลยมากว่าสองทุ่มครึ่ง เมื่อเดินเข้ามาในบ้านก็พบกับร่างของลูกสาวสุดที่รัก นั่งดูทีวีอยู่ในห้องรับแขก “อ้าวเนย ยังไม่นอนอีกเหรอลูก” สุภัทราทักลูกสาว “ยังค่ะ เนยดูซีรีส์เกาหลีอยู่ค่ะ” ชเนตตีตอบ “ทำไมวันนี้แม่กลับบ้านช้าจังคะ” “แม่พาลูกค้าไปทานข้าวน่ะ ลูกค้าคนนี้มาจากเมืองจีน เราก็ต้องต้อนรับขับสู้” “แม่เหนื่อยไหมคะ” คนถามสวมกอดร่างของมารดาที่เธอมองเห็นริ้วรอยความเหนื่อยล้า และนั่นทำให้คนเป็นลูกรู้สึกผิดไม่น้อย “เนยไม่เคยช่วยแม่เลย” “แม่ไม่เหนื่อยหรอกลูก คุณตาคุณยายสร้างรากฐานบริษัทมาดี มั่นคงและแข็งแรง แม่แค่มาสานต่อเท่านั้นเอง แล้วต่อไปในอนาคตเนยก็ต้องเข้ามานั่งทำงานแทนแม่ ส่วนเรื่องที่เนยไม่เคยช่วยแม่ แม่คอยได้ แม่คอยให้เนยพร้อมแล้วค่อยมาลุยงานด้วยกันนะ” สุภัทรารู้นิสัยชเนตตีดีว่าเป็นอย่างไร จะบังคับให้มานั่งทำงาน คิดได้แต่อย่าหวังว่าจะทำสำเร็จ ซึ่งนางเองก็ไม่รีบร้อนในเรื่องนี้ รอให้ลูกสาวพร้อมเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น และนั่นทำให้ชเนตตีนิสัยเสีย เมื่อแม่ไม่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องทำ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD