ผลที่ออกมามันเลวร้ายมากกว่าที่คิดไว้
คำสัญญาที่สิโรจน์ให้ไว้กับชเนตตีเกิดขึ้นเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นเธอเรียนอยู่ประถมศึกษาปีที่สาม ชเนตตีเดินมาหาบิดาที่บ้านเพื่อนำสมุดพกมาให้อีกฝ่ายดู แต่พอเธอเดินมาถึงก็ได้ยินว่า ชนกนันท์สอบได้ที่สามของห้อง สิโรจน์ดีใจกอดและหอมน้องสาวของเธอหลายฟอด และบอกว่าจะให้รางวัลที่อยากได้ คำพูดนั้นเองจุดประกายความคิดของเด็กหญิง
ชเนตตีจึงเดินเข้าไปหาบิดาแล้วต่อรองกับสิโรจน์ว่า หากตนสอบได้ที่หนึ่งสิโรจน์ต้องให้รางวัลที่เธอต้องการ ความเป็นพ่อทำให้เขารับปากไปส่งๆ และรู้ดีว่าชเนตตีคงทำไม่ได้ เนื่องจากลูกสาวคนนี้เรียนไม่เก่ง สู้ลูกที่เกิดจากภรรยาน้อยของเขาไม่ได้
เธอตั้งใจเรียนตั้งแต่นั้นมา ท่องหนังสือและทบทวนบทเรียนอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ปีแรกเธอสอบได้ที่สิบห้า ปีที่สองเธอสอบได้ที่เจ็ดและปีที่สามเธอก็ทำได้สำเร็จ คว้าที่หนึ่งของห้องมาอยู่ในมือ แล้วพอรู้ว่าตนเองสอบได้ที่เท่าไหร่ ชเนตตีก็รีบมาหาสิโรจน์เป็นคนแรกเมื่อถึงบ้าน มาขอรางวัลจากบิดา
“เนยอยากให้คุณพ่อกอดและหอมเนยค่ะ อยากให้คุณพ่อภูมิใจในตัวเนย” นี่คือรางวัลที่ชเนตตีอยากจะได้
ลูกที่ไม่มีใครเหลียวแลลุกขึ้นยืน เพื่อหนีภาพบาดความรู้สึกที่นับวันจะยิ่งโถมทับเป็นหินปูน เกาะกินในจิตใจและความรู้สึกของเธอ ก่อนจะเดินออกจากห้องรับแขกอย่างเงียบๆ โดยไม่มีใครสนใจ ไม่คิดแม้แต่จะมองร่างเล็กๆ ของเธอด้วยซ้ำไป
ชเนตตีเป็นเพียงอากาศธาตุที่ไม่มีตัวตนสำหรับทุกคนในบ้านหลังนี้ เธอกอดสมุดพกไว้แนบอก เดินร้องไห้กลับไปยังบ้านที่เต็มไปด้วยความว้าเหว่และเงียบเหงา คงไม่มีใครชื่นชม ดีใจและภูมิใจกับความสำเร็จของเธอในวันนี้ แล้วยังหวั่นๆ ว่าสุภัทรามารดาสุดที่รักจะชื่นชมกับผลการเรียนของตนในครั้งนี้หรือไม่
สามทุ่มเศษวันเดียวกัน
เสียงรถยนต์ที่แล่นมาจอดหน้าบ้าน ทำให้ชเนตตีที่เอนตัวนอนอยู่บนโซฟารีบดีดตัวลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบสมุดพกที่วางอยูบนโต๊ะเข้าชุดกับโซฟามากอดไว้
“แม่คะ แม่” ชเนตตีลุกขึ้นยืนแล้วเดินแกมวิ่งไปหาสุภัทราที่เดินหน้าบูดบึ้งเข้ามาในบ้าน
“แหกปากเรียกอะไรกันนักหนา อยู่กันแค่นี้” สุภัทราแหวใส่ลูกสาวที่หน้าเจื่อนลงทันที “แล้วนี่ทำไมยังไม่นอนพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียนไม่ใช่เหรอ”
“เนยรอแม่ค่ะ” เด็กหญิงตอบผู้ให้กำเนิด
“รอทำไม ดึกดื่นแล้วไม่รู้จักนอน” สุภัทรากระชากเสียงถาม ก่อนจะเดินไปนั่งบนโซฟา “มีอะไรล่ะ”
“เนยสอบได้ที่หนึ่งค่ะแม่ เนยเลยเอามาอวดแม่ค่ะ” ชเนตตียื่นสมุดพกส่งให้มารดาที่ปรายตามองสมุดเล่มนั้นอย่างชั่งใจและใช้ความคิด
“เก่งมากเลยลูก เนยของแม่เก่งที่สุด” อันที่จริงแล้ว สุภัทราไม่ได้ชื่นชมหรือดีใจกับความสำเร็จของลูกสาวในครั้งนี้สักเท่าไหร่ แต่ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะนางจะต้องยืมมือลูกสาวทำบางอย่าง “เนยไม่ทำให้แม่ผิดหวังเลยนะลูก”
สุภัทรารั้งร่างลูกสาวมากอดและหอมแก้มทั้งสองข้างประหนึ่งว่าภูมิใจในตัวชเนตตีนักหนา ทั้งที่ในใจไม่ได้ยินดียินร้ายเลยแม้สักนิดเดียว
“แม่จะให้รางวัลอะไรเนยคะ”
เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่สุภัทรากอดและหอมเธอ ใบหน้าของเด็กหญิงจึงเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้มและความสุข แต่ถ้าหากเธอมองเห็นสีหน้าของมารดาเวลานี้ บางทีความสุขของชเนตตีอาจจะหายไปในพริบตาก็เป็นได้
“แล้วเนยอยากได้อะไรล่ะลูก บอกแม่มาเลย แม่จะจัดการให้”
จะว่าไป ฐานะทางบ้านของสุภัทราก็ไม่ธรรมดา มีความร่ำรวยมิใช่น้อย ทั้งจากสมบัติเก่าของตระกูลแล้วยังจะธุรกิจของครอบครัวที่เจริญรุ่งเรือง ชเนตตีอยากได้อะไร ขอเพียงแค่เอ่ยปากบอกมารดา ของที่ต้องการก็จะมากองอยู่ตรงหน้า ทว่ามีเพียงอย่างเดียวที่เงินไม่สามารถซื้อได้ สิ่งนั้นคือ ความสุขและครอบครัวที่อบอุ่น ที่เธอโหยหามาตั้งแต่เกิด แต่ก็รู้ว่ายากนักที่จะได้ในสิ่งที่ต้องการ
“เนยอยากให้แม่รักเนย กอดเนยและหอมเนยทุกวันค่ะ”
ชเนตตีจึงขอในสิ่งที่เป็นไปได้ หากจะถามว่าใจจริงแล้วต้องการอะไร สิ่งที่เธอต้องการคือ การได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก ทานข้าวด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกันเหมือนกับที่สิโรจน์ทำต่ออีกครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวที่เขาหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่ด้วยหลังจากที่เธออายุได้หนึ่งขวบ ไปๆ มาๆ อยู่ร่วมสองปี จากนั้นก็ย้ายไปอยู่บ้านหลังนั้นเป็นการถาวร จะมาบ้านหลังนี้บ้างหากนับได้ก็ปีละไม่เกินสามหน
“ได้สิลูก แม่ทำให้เนยลูกรักของแม่ได้เสมอ”
พูดจบ สุภัทราก็หอมแก้มของลูกสาวทั้งซ้ายและขวา ข้างละหลายครั้งติดต่อกัน ก่อนจะสวมกอดร่างเล็กราวกับว่ารักปานดวงใจ ทำตามที่ชเนตตีต้องการ
คนถูกกอดและหอมกอดร่างสุภัทราแน่น แนบใบหน้ากับอกอบอุ่นของผู้เป็นแม่ ซึมซับไออุ่นที่หาโอกาสอย่างนี้ไม่ได้ง่ายๆ แม้ว่าจะอยู่ร่วมบ้านเดียวกัน ไว้ให้มากที่สุดแล้ววาดหวังว่า เธอจะได้กระทำเช่นนี้กับมารดาทุกวัน และนั่นก็ทำให้เธอนึกถึงบิดาขึ้นมาทันใด
เธอได้กอดมารดาแล้วก็อยากจะได้กอดได้หอมสิโรจน์บ้าง แต่ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสนั้นหรือไม่ มันดูเหมือนว่า ความฝันของตนช่างห่างไกลมือน้อยๆ เหลือเกิน ไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง