ครืนนนน ครืนนนนน~
BAIMAI
"เออ ว่าไงแก" ฉันรับสายเพื่อนรักด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว และขอให้แนะนำให้รู้จักเลยแล้วกัน คนที่โทรมาชื่อใบไม้ เธอเป็นเพื่อนสนิทของฉันตั้งแต่สมัยเรียนประถม เก่ง ฉลาด เป็นผู้บริหารบริษัทซอฟแวร์
เรื่องงานใบไม้ไม่มีปัญหาเหมือนฉันหรอกค่ะ เธอจัดการได้ เก่งไปหมด
แต่เรื่องเดียวที่มีปัญหาคือ...
เรื่องผู้ชาย
(ไคล์มันว่าฉันว่าฉันหน้าตาย ไร้อารมณ์) เฮ้อ ฉันถอนหายใจออกมากอย่างเหนื่อยหน่าย มิวายเรื่องกัปตันไคล์อีกแล้ว
"แกก็บอกไคล์ไปสิ ว่าแกไม่ได้อยากเป็นแบบนี้"
(ฉันไม่อยากอธิบายอะไรทั้งนั้น ไม่ง้างมือตบปากมันก็บุญหัวมันแล้ว ฉันจะเปลี่ยนตัวเอง จะเอาให้ไอ้เด็กเวรนั่นคลั่งตาย)
พอได้ยินใบไม้กัดฟันพูดอย่างแน่วแน่ ฉันก็รู้สึกฮึกเหิมตาม เงยหน้าขึ้นกระตุกยิ้มที่มุมปากช้าๆ เอ้อ! ให้มันได้แบบนี้สิ ใบไม้ผู้สตรองของทิชา ไม่เคยทำให้ผิดหวังเลย
"แกเก่งมาก ว่าแต่แกจะเปลี่ยนตัวเองยังไง?"
(ไม่รู้ แกคิดว่าฉันควรเปลี่ยนอะไรก่อนดี) อ้าว?!
"ไม่รู้สิ แกต้องไปฝึกทำสีหน้าท่าทางกับตัวเองในกระจกรึเปล่า?"
(เฮ้อ งั้นขอคิดก่อน แล้วนี่แกอยู่ไหน?)
"อยู่ห้างแถวสยาม ฉันโดนลูกค้าเทอีกแล้ว เขาบอกว่าฉันสมาธิสั้น ไม่มีความหน้าเชื่อถือ "
(หึ ทำไมแกไม่ตอบไปล่ะ ปากแบบนี้ระวังอายุมึงจะสั้นด้วย )
"ฉันพูดไม่ทันน่ะสิ แต่ฉันก็เป็นแบบนั้นจริงๆนะ เบื่อจัง เมื่อไหร่จะหายก็ไม่รู้" ฉันตอบเพื่อนเสียงอ่อย น้อยใจตัวเองที่แก้อาการบ้าๆนี้ไม่หายสักที
(เอาเถอะอย่าคิดมาก แต่คราวหลังแกอย่าปล่อยให้ใครว่าแกแบบนี้อีกนะ ชิงตบปากมันไปก่อนเลย)
"โหดไปเพื่อน"
(ไม่โหดหรอก งั้นฉันทำงานก่อนแล้วกัน ไว้โทรหาใหม่)
"อื้ม "
ฉันกดวางสายใบไม้แล้วนั่งห่อเหี่ยวที่ร้านกาแฟต่อเพราะยังไม่พร้อมที่จะลากสังขารกับเข่าที่ระบมกลับบริษัท
ก่อนที่สักพัก...จะกวักมือเรียกพนักงานสั่งกาแฟดำกับเค้กมะพร้าวมากินพลางๆ และดึงวรสารใต้โต๊ะขึ้นมาอ่านเล่น
'พบจิตแพทย์ ไม่ใช่เรื่องน่าอาย'
หัวข้อน่าสนใจดีแหะ... ลองอ่านหน่อยแล้วกัน
คุณไม่ควรรู้สึกอายเมื่อต้องเข้ารับการบำบัด
ทุกคนล้วนต้องเคยประสบกับความทุกข์หรือความเครียด แต่เมื่อความรู้สึกเหล่านั้นเริ่มมากเกินไป การบำบัดจะทำให้คุณสามารถกลับไปควบคุมมันได้ ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลยกับการขอความช่วยเหลือ หรือเล่าปัญหาให้ผู้เชี่ยวชาญฟัง นับว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญจะเข้าใจอารมณ์และช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้
ไม่ใช่ทุกคนที่เข้ารับการบำบัด จะมีอาการป่วยทางจิต
การบำบัดคือการช่วยเหลือผู้คนที่กำลังประสบปัญหาต่างๆ เช่น ความเครียดจากการทำงาน การทะเลาะกันภายในครอบครัว ปัญหาชีวิตคู่ และความกดดันในการเรียน ดังนั้นไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่คุณสามารถนำไปขอคำปรึกษาได้ทั้งหมด
กว่าจะเจอนักบำบัดที่ใช่ต้องใช้เวลา...
การบำบัดก็เหมือนกับการเดท
การเจอกันครั้งแรก ไม่จำเป็นต้องเข้ากันได้เสมอไป
การบำบัดก็เหมือนการเดท ? ฉันสะดุดกับคำนี้จนต้องรีบถ่ายหน้าวรสารเล่มนั้นส่งให้ใบไม้ เพราะไม่กี่หัวข้อมันก็ทำให้ฉันเข้าใจความหมายของการบำบัดใหม่ ซึ่งฉันยอมรับว่าก่อนหน้านี้ ฉันก็เคยหาวิธีรักษาอาการประหม่าและพูดไม่รู้เรื่องมาแล้ว แต่สุดท้ายฉันก็ท้อและรู้สึกอาย
คิดว่าการพบจิตแพทย์ต้องเป็นบ้า สติฟั่นเฟือนเท่านั้นถึงจะเข้าพบได้ ฉันจึงลองปล่อยไว้...เผื่อว่าสักวันที่ฉันโตเป็นผู้ใหญ่มันจะหายไปเอง
แต่มันไม่หาย...และนับวันอาการมันยิ่งมากขึ้น
วรสารเล่มนี้เปิดโลกฉันมาก แถมคนเขียนก็เขียนชวนหน้าติดตาม
"ขอโทษนะคะ วรสารเล่มนี้ขายที่ไหนบ้างคะ?" ฉันยกวรสารถามพนักงานที่เดินผ่าน จนเธอผายมือไปที่ชั้นหนังสือแจกฟรี และมีวรสารพวกนี้กองเป็นปึก
"เป็นวรสารแจกฟรีค่ะ ลูกค้าสามารถนำกลับบ้านได้เลยค่ะ"
"อ๋อ ขอบคุณค่ะ^^"
และแล้วฉันก็ได้วรสารเล่มนั้นกลับมาอ่านที่บริษัท ซึ่งบทความของจิตแพทย์ผู้เขียน ทำให้ฉันถึงกับวางมันไม่ลง นพ.ธันวา ธนศาสตร์เวชสกุล เขาได้เขียนเล่าเคสน่ารักๆที่คนไข้อนุญาตให้เผยแพร่
คนแรกเป็นริสสีดวงทวาร แต่จิตใจห่อเหี่ยวขอพบจิตแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา เขาบอกเป็นเคสฮาที่สุดในศตวรรษที่เขาต้องบอกให้คนไข้คุยกับตูดของตัวเองทุกวัน เพื่อให้คนไข้ระลึกถึงความสำคัญของช่องทวารหนัก
คนที่สองเป็นสูตินรีแพทย์ที่เห็นของผู้หญิงบ่อยจนนกเขาไม่ขัน คนไข้เป็นเพื่อนหมอด้วยกัน กว่าจะลบเล้าขอเอาเรื่องนี้มาเผยแพร่ก็ยากพอตัว แต่แล้ว...หมอสูติก็อนุญาต เขาแนะนำให้ใช้หัวใจบำบัด ให้ลองมีความรักและลองสัมผัสด้วยหัวใจ เน่าใช่มั้ย? เน่าจริงๆแต่วิธีนี้ช่วยได้ กามตายด้านมาจากการเห็นอะไรที่จำเจ ย้ำคิดย้ำทำ ฉะนั้นต้องใช้ความรู้สึกเข้ามากระตุ้น
หลังจากนั้นก็เป็นเคสจิปาถะเป็นเรื่องเรียนของเด็กๆ ไปจนถึงเรื่องการแสดงออกที่ไม่มั่นใจคล้ายกับเคสฉัน ซึ่งคุณหมอบอกว่าในสภาพสังคมที่มีการ hate speech หรือ toxic นี้ คนไข้เป็นค่อนข้างมาก อยากให้ลองเข้ามาปรึกษาและคุยกัน อย่างน้อยๆคิดว่าเขาเป็นเพื่อนคนนึงก็ได้
ลงท้าย...
แล้วจะรอนะครับ... นพ.ธันวา ธนศาสตร์เวชสกุล
ฉันยิ้ม...แล้วปิดวรสารเล่มนั้นลงด้วยกำลังใจมหาศาล ไม่รู้เกิดอะไรขึ้นกับฉัน แค่ได้อ่านบทความที่คุณหมอเขียนฉันก็มีแรงฮึดขึ้นมา
เออ...ฉันต้องหายสิ ทุกปัญหามีทางออกเสมอ คุณพ่ออุตส่าห์ยกบริษัทที่ท่านสร้างกับมือให้ฉันดูแล ฉันไม่ควรทำให้ท่านผิดหวัง
และที่สำคัญไม่ควรท้อเพราะคำพูดของลูกค้าปากหมาคนนั้นคนเดียว
แต่แปลกจัง...กลับมานั่งที่บริษัทตั้งนาน เลขาไม่ถามฉันสักคำว่าลูกค้ารายนั้นรับข้อเสนอหรือไม่ เหอะ! ก็นะ...นัตตี้คงรู้ดีแก่ใจเพราะนี่มันไม่ใช่รายแรกที่ปฏิเสธฉัน ฉันโดนมาสิบคนแล้วค่ะ เหมือนจะชินแต่ก็ไม่ชินสักที รู้สึกแย่ทุกครั้งที่ผิดหวังกลับมา
และยิ่งตอนนี้ฉันกลับบ้านเห็นหน้าคุณพ่อ และพี่ไทม์นะ ฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมันไม่เอาไหนมากๆ พี่ไทม์บริหารโรงแรมอนันธาราหุ้นเด้งขึ้นเกือบสุดกราฟ
แต่ของฉัน...ต่ำเตี้ยเรี่ยดินจะแดงวันนี้วันพรุ่งก็ไม่รู้
บ้านอนันธารากุล
"ทิชากลับเร็วนะวันนี้" คุณพ่อหันมาเห็นฉันคนแรกก็วางไอแพดลงทันที ก่อนที่พี่ไทม์จะมองตามแล้วหยุดจ้องที่หัวเข่าฉัน
"เข่าไปโดนอะไร? ใครทำ?"
"เอ่อ คือ...คือ...ไม่มีค่ะ ไม่มีใครทำ หกล้ม"
"มาหาพ่อมา" ฉันพยักหน้าน้อยๆแล้วเดินไปนั่งข้างๆคุณพ่อ จนท่านยกมือใหญ่ลูบหัวเบาๆ และมองฉันด้วยรอยยิ้ม
"ไม่เป็นไรนะลูก ค่อยๆฝึก" ?
"คุณพ่อรู้เหรอคะ? ว่าทิชาคุยงานไม่ได้" ฉันถามคุณพ่อตกใจ
"รู้ แต่พ่อกับพี่ไทม์เป็นกำลังใจให้ทิชานะลูก ใครไม่ไว้ใจให้เราดูแลก็ช่างมัน" เท่านั้นแหละ ฉันก็โผเข้าไปกอดคุณพ่อทันที ช่างมันไม่ได้สิ...ฉันต้องรักษาเมย์ลินไทม์ให้มันอยู่รอดให้ได้
"ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ แต่ทิชาหาทางออกได้แล้ว คุณพ่อกับพี่ไทม์ รอดูทิชาประสบความสำเร็จได้เลย"
ฉันพูดอู้อี้ในอ้อมอกคุณพ่อ
แต่คุณพ่อไม่ตอบ...ท่านเอาแต่ลูบหัวฉันเบาๆอยู่อย่างนั้น จนฉันเงยขึ้นมองท่านสลับกับพี่ไทม์งุนงง
"อะไรกันคะ? ทำไมพี่ไทม์ทำหน้าแบบนั้น" คราวนี้เป็นพี่ไทม์ที่ทำหน้าลำบากใจ จนสุดท้ายฉันตัดสินใจคลายกอด และนั่งมองคุณพ่อกับพี่ไทม์นิ่งๆ
"ช่วงนี้ พ่อจะให้ไทม์เข้าไปดูแลเมย์ลินไทม์ชั่วคราว ทิชาจะว่าอะไรมั้ยลูก?"
"คะ?...ละ แล้วทิชาล่ะ?" ฉันถามตกใจ ไหนบอกช่างมันไง ทำไมถึงให้พี่ไทม์มาบริหารแทนล่ะ
"ทิชาก็พักผ่อน อยู่บ้านกับคุณแม่ไง"
?!!
______________________
คอมเมนท์ = กำลังใจนะเจ้าคะ