เพราะความรู้สึกผิดที่เรื่องส่วนตัวของเธอทำให้เสียงาน ปานมาศจึงเปลี่ยนวันลาป่วยเป็นการลาพักร้อนเพื่อทำใจอยู่สามวัน
แต่ในวันหยุดหญิงสาวก็ไม่ได้อยู่นิ่ง เธอรับจ็อบงานบัญชีของบริษัทที่นำเข้าผ้าจากฮ่องกงมาทำจนได้เงินก้อนในจำนวนที่พอจะสู้หน้านาวินไหว อีกอย่างรอบเดือนก็หมดแล้วถ้าลาเกินกว่านี้เพื่อนร่วมงานอาจจะคิดว่าเธอเลือดไหลหมดตัวจนตายคาห้องก็ได้
ปานมาศคิดว่าเธอคงหลบหน้านาวินตลอดไปไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม
ในวันที่กลับมาทำงานเธอเดินเข้าด้านหลังของอาคารที่เป็นฝั่งออฟฟิศของพนักงานเดอะวนาด้วยท่าทางแบบคนจริง
หน้าสวยเฉี่ยวเชิดเล็กน้อย ดวงตาคมกริบของเธอมีแววมุ่งมั่น
ทว่าพอเจอเงาของนาวินสะท้อนหน้ากระจกอยู่อีกมุม เธอก็วิ่งไปหลบที่หลังเสาราวกับกำลังหนีเจ้าหนี้
เธอไม่ได้กลัวเขาทวงเงินหรอก เพราะตอนนี้ก็พอมีเสนอให้ แต่ที่หลบเพราะเอาเข้าจริงเรื่องนั้นก็ทำให้เขินจนมองหน้าเขาไม่ติด ถึงจะบอกให้เขาทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตามทีเถอะ
“คุณปาน” เสียงทุ้มเรียกคนที่กำลังทำตัวลับๆ ล่อๆ
“ว้าย” ปานมาศร้องอุทานเมื่อหันมาเห็นคนที่เธอหลบหน้ายืนอยู่ด้านหลัง
เพราะเธอมัวแต่หลบเขาจากเงาในกระจก เลยลืมว่าตัวจริงเขาไม่ได้อยู่ในนั้นแต่อยู่ข้างๆ เธอยังไงล่ะ
“อะ เอ่อ คุณนาวิน สวัสดีค่ะ” เธอเสียงสั่น หมดมาดคนจริงเมื่อครู่เลย
เขาทำให้เธอเสียอาการจริงๆ
นาวินใช้สายตาเรียบนิ่งคู่นั้นของเขาทอดมองเธอ ท่าทางเหมือนไม้ใหญ่ไม่ไหวติงทำให้ปานมาศตั้งสติแล้วตีสีหน้าให้ดูปกติเหมือนเดิม
“ตอนเดินมาเหมือนเหรียญหล่นแถวนี้” เธอว่าแล้วก็มองหา “พอดีมองแล้วยังไงก็เจอ แต่ช่างมันค่ะ ปานต้องรีบไปเข้างานแล้ว” เธอบอกเองตอบเอง ไม่สนว่าคนที่มองอยู่จะคิดอย่างไร
ในใจแอบบ่นเล็กน้อยเรื่องที่รู้สึกว่านาวินเป็นผู้ใหญ่กว่าทั้งที่เธอเคยมองเขาเป็นน้องเป็นนุ่ง คงเป็นเพราะตำแหน่งงานและรูปร่างของเขาที่ทำให้เธอรู้สึกตัวเล็กตัวน้อยยามยืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม
“เดี๋ยวก่อนครับ”
“มะ มีอะไรเหรอคะ” นาวินจะเรียกร้องค่าเสียหายหรือเปล่า เธอคิดเล่นๆ แต่เขาจะเอาจริงไม่ได้นะ
“คุณรู้ไหมว่าวีน่าเป็นอะไร ช่วงนี้ผมเห็นยัยนั่นเซื่องซึม แปลกๆ”
อ้อ ถามถึงพี่สาวเท่านั้นเอง เธอถอนหายใจ
“สำหรับปานก็ไม่แปลกนะคะ ก็เห็นตอบแชตปกติดี ถึงจะช้าหน่อยเพราะช่วงนี้นางติดซีรีส์จีน สงสัยว่าจะดูละครเศร้าๆ แล้วอินมั้งคะ” ปานมาศบอกเพราะพี่สาวนาวินเป็นคนสดใส มองโลกในแง่ดีตลอด ช่วงนี้เธอไม่เห็นว่าอีเจ๊จะมีเรื่องกลุ้มเลย
“แต่ผมเห็นวีน่าร้องไห้ตอนดูฉากคอเมดี้นะ”
“คงดูเรื่องอื่นแล้วเศร้าตกค้างมั้งคะ” เธอวิเคราะห์เพราะช่วงนี้วีน่าไม่ไปทำงานที่เลานจ์แล้วดูซีรีส์ที่บ้าน อาจจะดูหลายเรื่อง
“อ้อ เป็นแบบนี้ก็ได้เหรอ”
นาวินพึมพำ แม้สีหน้ายังดูเหมือนไม่เข้าใจ แต่เสียงโทรศัพท์ของเขาดังขึ้นชายหนุ่มเลยยังไม่ทันได้พูด
นาวินกดรับสายทั้งที่ตายังมองเธอ ปานมาศค้อมหัวให้เขาและโบกมือลาเงียบๆ แต่เขาลดโทรศัพท์ลงแล้วพูดกับเธอเบาๆ ก่อนที่เธอจะเดินไป
“จริงๆ แล้วผมจะคุยเรื่องของเรา ไว้ตอนเลิกงานค่อยคุยกันนะ”
เขาสั่งความก่อนจะเดินออกไป ทิ้งให้ปานมาศยืนอึ้ง
“ระ เรื่องของเรา ฉันฟังผิดรึเปล่าเนี่ย”
หญิงสาวถึงกับถามตัวเองซ้ำๆ
แม้อยากรู้ว่านาวินจะคุยเรื่องอะไรแต่พอเข้าออฟฟิศมาปานมาศก็ทำงานจนลืมเวลาไปเลย พอท้องฟ้ามืดแล้วเธอถึงค่อยสะบัดหัวเมื่อเคลียร์เอกสารในหน้าจอเสร็จ วันนี้เธอกลับเป็นคนสุดท้ายของแผนกอีกแล้ว ปานมาศคว้ากระเป๋าแล้วเดินออกมาหลับตาสลับมองใกล้กับไกลบริหารสายตาบ้าง เพราะมองหน้าจอนานเกินไปจนปวดตาหมดแล้ว
“ว้าย”
ปานมาศร้องอุทานเมื่อเห็นว่าโซฟาที่หน้าออฟฟิศมีคนนั่งอยู่
ปกติค่ำขนาดนี้ไม่มีใครแล้ว
พอคนที่เธอคิดว่าเป็นผียืนเต็มความสูง ความกลัวของปานมาศก็กลายเป็นตีสีหน้าไม่ถูกแทน
อาจจะเป็นเพราะเคยนอนร่วมเตียงกันแล้ว ต่อให้ห้อยหลวงปู่มั่นมาสิบองค์ เธอก็ทำตัวปกติกับเขาไม่ได้อยู่ดี
“เลิกงานค่ำนะครับ”
“คุณนาวินมาทำอะไรเหรอคะ”
“เมื่อเช้าผมบอกแล้วว่ามีเรื่องจะคุย” สีหน้าเขาเข้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเธอลืม แต่ปานมาศคิดว่ามันก็ยังไม่ได้ดูน่ากลัวเท่าไหร่ คนอะไร ขนาดทำหน้าดุยังทำให้กระชุ่มกระชวย เฮ้อ...
“ทำไมไม่เข้าไปที่แผนกล่ะคะ มารอค่ำๆ มืดๆ ทำไม”
“ผมไม่อยากรบกวนการทำงานของคุณ”
“ปานเลิกงานแล้ว คุยได้เลยค่ะ”
“คุยที่นี่คงไม่เหมาะ” เขาพยักหน้าให้เธอเดินตามไปยังทิศทางของลิฟต์ไปลานจอดรถประจำตำแหน่งของพนักงาน ที่จอดของเจ้าโก๋แก่ของเธออยู่ข้างกับเขานั่นเอง การออกมาจากแผนกแล้วเดินไปลานจอดรถพร้อมกับเพื่อนร่วมงานที่เลิกดึกพอกันเป็นเรื่องปกติมาก บางครั้ง รปภ. ที่มาตรวจอาคารยามวิกาลก็เดินมาส่งเธอที่ลานจอดรถด้วยซ้ำไป พวกเธอจึงเดินคู่กันโดยไม่เกรงคำครหา
ปานมาศมองตามแผ่นหลังของคนตัวสูง แล้วนึกถึงตอนที่ได้กอดเขา แม้สัมผัสนั้นจะเลือนรางแต่ว่ากลับชัดเจนอยู่ในความรู้สึก
วันนั้นโคตรฟิน ได้อีกสักครั้งคงดีไม่น้อย...
ปานมาศแทบต้องเช็ดน้ำลายตัวเองเมื่อเดินมาถึงรถ สายตาเธอจับจ้องอยู่ที่ท่วงท่าการเดินของนาวินเพลินไปหน่อย
“คุยกันที่รถของคุณก็ได้”
ปานมาศปลดล็อกเจ้าโก๋แก่แล้วเข้าไปสตาร์ตพร้อมกับนาวินเปิดประตูเข้ามานั่งเบาะข้างคนขับ เสียงผิดปกติของเครื่องยนต์หลังจากเสียบกุญแจไปทำให้เจ้าของรถถอนหายใจ
“เอาอีกแล้วนะโก๋แก่ พี่ปานเพิ่งซ่อมมาเองนะ” เธอเผลอโวยวายเจ้ารถคู่ยาก แต่ก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้อยู่คนเดียว
สุดท้ายก็เลยต้องตามช่างมาเอารถเข้าอู่แห่งใหม่ที่นาวินแนะนำให้ หลังจากฝากกุญแจรถไว้ที่เจ้าหน้าที่แล้วชายหนุ่มอาสาไปส่งเธอ ปานมาศไม่ปฏิเสธเพราะทางกลับเพนท์เฮาส์ของเขาผ่านที่พักของเธออยู่แล้ว
ดีเหมือนกันมีเรื่องอะไรจะได้คุยกันระหว่างทางเลย
เธออยากรู้มากว่านาวินจะพูดอะไร
ถ้าไม่รู้ในคืนนี้มีหวังนอนไม่หลับแน่...
รถเบนท์ลีย์ของนาวินแล่นออกจากโรงแรมเดอะวนา ปานมาศหันไปมองคนข้างตัว เมื่อก่อนเธอเป็นกันเองกับเขามากกว่านี้ แต่เพราะทำงานที่เดียวกันมันเลยเหมือนมีกำแพงบางอย่างกั้นให้เกรงอกเกรงใจเขาเป็นพิเศษ
“บอกทางไปที่พักคุณให้ผมสิ”
เพราะมัวแต่หวั่นไหวกับกลิ่นหอมสะอาดที่อบอวลในรถ คนขับเลยเตือนสติราวกับรู้ว่าเธอเงียบไปเพราะอะไร ปานมาศมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเขาแล้วถึงกับพูดในใจ
หน้านิ่งๆ แบบนี้ มันน่าหลอกไปฟันจริงๆ
หญิงสาวคิดพลางบอกทางนาวินว่าที่พักของเธออยู่ก่อนถึงเพนท์เฮาส์ของเขาซอยเดียวเท่านั้นเอง
เมื่อมาถึงจุดที่เธอบอกชายหนุ่มเกือบเลี้ยวผิดเมื่อปานมาศบอกให้เขาเข้าไปจอดฝั่งอะพาร์ตเมนต์ ไม่ใช่คอนโดมิเนียมหรูที่อยู่ทางเข้าเดียวกัน บางคนที่เคยมาส่งเอ่ยปากถามด้วยซ้ำว่าทำไมเลือกอยู่หอพักแบบนี้ นาวินไม่ถามเรื่องการเลือกที่พักของเธอแต่เปรยขึ้นมาเบาๆ
“ทำไมผมถึงรู้สึกว่าคุณไม่เหมือนคนที่เจอกันในที่ทำงานเลย”
“ถ้าอยู่ที่ทำงานก็ต้องพูดกันอย่างเป็นทางการ ตอนนี้อยู่สองคนก็เป็นกันเองขึ้นไงคะ” เพราะตำแหน่งงานทำให้ต้องเรียกกันด้วยสรรพนามที่ห่างเหินและมันเป็นอย่างนั้นมานาน แต่วันนี้มันไม่จำเป็นแล้ว
“ที่บอกว่าคุณเปลี่ยนไปนี่ผมหมายถึงว่าวันนี้คุณดูเกร็งๆ ที่เจอหน้าผม แต่ตอนนี้ดูเหมือนผ่อนคลายแล้ว”
“อ๋อ บอกตามตรงนะคะ ตอนแรกปานคิดว่าคุณนึกอยากเรียกร้องค่าเสียหายที่ปานเมาแล้วไปก่อกวนวันนั้น”
นาวินขำพรืด
“ผมดูร้อนเงินขนาดนั้นเชียว...”
“ก็คุณเปลี่ยนท่าทีขึ้นมาเฉยๆ ปานจะคิดเป็นอื่นได้ยังไงคะ”
“แล้วตอนนี้คุณคิดว่าผมจะคุยเรื่องอะไร”
“ไม่รู้สิคะ ปานไม่อยากเดา” แม้จะแน่ใจแต่เธอก็ยังตอบอย่างมีชั้นเชิง
ดวงตาสองคู่สบตากัน ปานมาศไม่หลบตาแต่กลับมองคนตรงหน้าฉ่ำหวานขึ้นอย่างไม่รักษาท่าที
จมูกเธอคงโด่งขึ้นหลายมิลแน่ๆ เพราะนอแรดผุด!
“ผมอยากรู้ว่า คืนนั้นคุณเสียดายที่ระหว่างเราไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่หรือเปล่า”
ถ้าเป็นนาวินคนที่เฉยเมยใส่เธอและคุยกันแค่เรื่องงานปานมาศคงจะตอบอีกแบบหนึ่ง แต่คนตรงหน้าทำให้เธอบอกตามความจริง
“ใช่ค่ะ น่าเสียดาย”
“วันนั้น... คุณไม่มีสติ แล้วที่สำคัญคุณละเมอถึงสามี”
สุภาพบุรุษที่สุด ปานมาศชอบ! แต่แน่นอนว่าเธอจะไม่ปริปากว่าผัวที่พูดถึงคืนนั้นหมายถึงเขา
“สามีมโนในฝันเองค่ะ ปานโสด ไม่เชื่อถามเจ๊วีน่าได้”
“วีน่าเคยบอกว่าเพื่อนในกลุ่มมีสามีหมดแล้ว”
อ้าว อีเจ๊วีน่า มันพูดอะไรแบบนั้นทำไม กันซีนเพื่อนที่สุด! ปานมาศหวีดร้องในใจ
“คุณโดนหลอกแล้วล่ะ ไม่น่าเชื่อเลยว่าอีเจ๊ชอบพูดว่าจะยกน้องให้เพื่อน แต่เอาจริงๆ แอบหวงน้องนะเนี่ย”
“ผมอยากสานต่อเรื่องคืนนั้น”
พอข้อมูลแน่น นาวินก็พูดเรื่องที่ตัวเองต้องการตรงๆ ไม่อ้อมค้อมและไม่สนใจเรื่องอื่น
“พูดเล่นหรือพูดจริงๆ คะ” ปานมาศแค่อยากจะแน่ใจเลยถามอย่างจริงจัง แววตาที่แปลกออกไปของนาวินทำให้เธอกัดริมฝีปากตัวเอง
“ผมไม่เคยพูดเล่น”
“งั้น... ไปที่ห้องปานไหมคะ”
ปานมาศสวนกลับไปทันควัน ไม่เล่นก็ไม่เล่นสิ เธอก็เอาจริงเหมือนกันแหละ
ทั้งคู่จ้องตากันไม่ถึงครึ่งวินาที นาวินก็เปิดประตูฝั่งเขา ส่วนปานมาศเปิดประตูฝั่งของเธอ
ปานมาศคิดว่าสายตาแบบนี้ ไม่น่าจะเรียกร้องค่าเสียหาย ดูเหมือนว่าอยากเสียตัวมากกว่า ตอนแรกนึกว่าเขาจะหยิ่งและถือตัวเธอเลยเกรงกลัวกับการเจอหน้าเขาหลังจากเกิดเรื่องคืนนั้น แต่เป็นอย่างนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย
หญิงสาวนึกขอโทษเพื่อนในกลุ่มและเพื่อนร่วมงานที่คลั่งไคล้นาวิน เพราะวันนี้เขาต้องเป็นของเธอ!