บทนำแห่งปรารถนา
ไข่มุกสีรุ้ง
ข้าทำสิ่งใดผิดพลาดไป
ครั้งหนึ่งข้าเคยมีชีวิตที่ ‘รุ่งโรจน์’ เป็นถึงบุตรสาวขุนนาง ‘ตระกูลหลี่’ ที่ถูกใครๆ เรียกอย่างยกย่องว่า ‘คุณหนู’ ได้นอนในจวนหลังใหญ่มีบริวารรายล้อม ได้สวมใส่เสื้อผ้างดงามประณีต ได้กินอาหารเอร็ดอร่อยอิ่มท้องทุกมื้อ
ข้าได้รับพระราชทานการสมรสจากองค์ฮ่องเต้ให้แต่งงานกับ ‘แม่ทัพจ้าว’ สามัญชนที่กล้าหาญ ปราบกบฏแดนเหนือจนราบคาบกลายเป็นที่โปรดปรานในช่วงระยะเวลาอันสั้น
ทว่าการแต่งงานทางการเมืองที่ปราศจากความรักนำมาซึ่งชีวิตคู่ที่แหนงหน่ายและเย็นชา ข้าและสามีอยู่ร่วมจวนเดียวกันดั่งคนแปลกหน้า จะพูดคุยกันก็ต่อเมื่อมีเหตุจำเป็นเท่านั้น
ชีวิตที่น่าเบื่อควรจะดำเนินไปเช่นนั้นตราบจนกว่าจะสิ้นลมหายใจมิใช่หรือ ทว่าพายุลูกใหญ่กลับซัดสาดเข้ามาจนทำให้ชีวิตของข้าแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล
ข่าวการเสียชีวิตในสนามรบของ สามี บิดา และพี่ชายทำให้ข้าแทบล้มทั้งยืน ข้าในวัยสี่สิบปีกลายเป็นหญิงหม้ายที่ไม่มีใครคุ้มครอง สามีตายอีกทั้งยังไม่มีบุตรชายสืบสกุล ข้าจึงถูกญาติผู้พี่ของสามีใส่ร้ายป้ายสีว่าคบชู้มักมากในกาม ขับไล่ข้าออกจากจวนราวกับสุนัขตัวหนึ่ง
หากเพียงแค่ขับไล่ข้าคงไม่อับจนหนทางเช่นนี้ ทว่าญาติผู้พี่ของสามีกลับส่งคนมาตามไล่ฆ่าหมายจะกำจัดให้สิ้นซาก ข้าหนีตายแอบขึ้นเรือสินค้า รอนแรมมายังเกาะหมิงหนวนที่แสนห่างไกล
ละทิ้งตัวตน
ละทิ้งความทรงจำ
ละทิ้งความสุขทั้งมวล
ข้ากลายเป็นเพียงคนงานแกะหอยมุกท้ายเกาะ ใช้ชีวิตที่นี่มากว่าห้าปีแล้ว ร่างกายซูบผอมเป็นทุนเดิมเพราะอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก เมื่อต้องทำงานหนักจึงยิ่งผ่ายผอมเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก
หลี่เยว่ชื่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า...
“วันนี้แดดช่างแรงเหลือเกิน”
เอ่ยออกมาราวกับรำพัน แม้จะรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งตัวด้วยฤทธิ์ไข้ กระนั้นนางก็ยังออกมารับจ้างแกะหอยมุกเพื่อนำเงินไปซื้อยาซื้ออาหารประทังชีวิต
หลายครั้งนางเฝ้าถามตัวเองว่าเหตุใดจึงไม่ตายไปเสีย ปลิดชีพตนเองหนีจากความทุกข์ระทมที่โหมกระหน่ำ แล้วคำตอบที่ได้ก็คือนางไม่กล้าลงมือทำร้ายตนเอง
‘จำไว้นะชื่อเอ๋อร์ว่าร่างกายของลูก มาจากความรักของพ่อและแม่ จงรักษามันไว้ให้ดี’
คำสั่งเสียสุดท้ายของมารดาทำให้นางไม่กล้าที่จะปลิดชีพตนเอง จึงต้องพยายามสู้ชีวิต ตะเกียกตะกายที่จะมีลมหายใจวันต่อวันอย่างไร้จุดหมาย
“ไหวหรือเปล่าเจ้าคะท่านป้า ท่านดูอาการไม่สู้ดีเลย”
เด็กสาวที่นั่งแกะหอยมุกอยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้นด้วยความห่วงใยเมื่อเห็นหญิงสูงวัยข้างกายหอบหายใจแรง ใบหน้าซีดเผือดดั่งไร้เลือดฝาด
“ข้ายังไหว อีกนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว ขอบใจแม่หนูมากนะที่เป็นห่วงข้า”
นางเงยหน้าขึ้นฝืนยิ้ม ด้วยความที่ร่างกายอ่อนแอจึงมักได้รับความช่วยเหลือจากเด็กสาวอยู่เสมอ อีกทั้งครอบครัวสกุลเซี่ยนี้มักจะเดินมาพูดคุยถามไถ่อย่างมีไมตรี มีน้ำใจแบ่งอาหารให้อยู่เนืองๆ เพราะเห็นว่านางเป็นคนต่างถิ่นที่อาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็กๆ เพียงลำพัง
“ถ้าไม่ไหวยังไงเรียกข้าได้เลยนะเจ้าคะ”
หลี่เยว่ชื่อพยักหน้าน้อยๆ มองตามแผ่นหลังบอบบางของแม่หนูที่ขยันขันแข็ง ช่วยยกเปลือกหอยในส่วนของนางไปทิ้งให้โดยไม่ต้องร้องขอ
เวียนศีรษะเหลือเกิน รู้สึกราวกับว่าดวงตาพร่ามัวไปหมด หญิงวัยกลางคนค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าปอดลึก ปวดร้าวจากคอขึ้นไปที่สันกราม ตึงชาที่ไหล่ไปจนถึงแขน เริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกของหนักกดทับที่หน้าอก
เยว่ชื่อฝืนใจหยิบหอยมุกตัวต่อไปขึ้นมาแกะ มือบอบบางเต็มไปด้วยแผลจากการโดนมีดและเปลือกหอยบาดจนไม่น่าดู
“อา...ไข่มุกเม็ดนี้สีประหลาดเหลือเกิน”
เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่หอบเหนื่อย จ้องมองไข่มุกที่มีประกายแวววาวสีสันสดใสราวกับโค้งรุ้งบนฟากฟ้า
“อ๊ะ...”
อาการเจ็บที่หน้าอกทวีความรุนแรงขึ้นจนหญิงวัยกลางคนถึงกับทรุดฮวบล้มลงไปกับพื้นโดยที่ในมือยังคงกำไข่มุกสีรุ้งเอาไว้แนบแน่น
“เจ็บเหลือเกิน!”
หลี่เยว่ชื่อหายใจรวยริน น้ำตาไหลนองหยาดหยดลงสู่ผืนดินไม่ขาดสาย ตระหนักได้ว่านางคงเดินทางมาถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเสียแล้ว
“ท่านแม่ ท่านพ่อ ท่านพี่ ในที่สุดข้าจะได้พบพวกท่านอีกครั้งแล้วสินะ...”
นางหวนคิดถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมาด้วยความรู้สึกเสียดาย นางผิดพลาดตรงไหนกันนะ เป็นเพราะนางไม่มีบุตรชายงั้นหรือจึงทำให้นางต้องมีชีวิตบั้นปลายที่ยากแค้นเช่นนี้ หรือเป็นเพราะนางแต่งงานกับเขาผู้นั้น จึงทำให้นางเหมือนตุ๊กตาแก้วประดับจวนไม่มีประโยชน์ใดๆ
“ข้าทำอะไรผิดพลาดไป มันพลาดตั้งแต่ตอนไหนกัน...”
เอื้อนเอ่ยออกมาแผ่วเบาก่อนที่ลมหายใจจะสูญสิ้น ดวงตายังคงเบิกโพลงฉายชัดว่าไม่อาจจากไปได้อย่างสงบ ทว่าจังหวะนั้นเองไข่มุกสีรุ้งในมือก็ทอแสงประกายแวววาวสว่างไสวจนทุกอย่างกลายเป็นสีขาวไปเสียสิ้น