ภายในตำหนักแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ภายในอาณาเขตของวังหลวงแต่แยกออกมาเพียงกำแพงกางกั้นนั้น
ยามนี้มีบรรยากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของธรรมะอยู่ภายใน มีบ่าวไพร่และนางกำนัลแค่เพียงไม่กี่คนจะเรียกได้ว่าเป็นบรรยากาศที่แสนจะวังเวงก็ไม่ปาน
ในวันนี้ทั้งวันตั้งแต่ช่วงเช้ามาแล้วที่เจินเจินแอบตามบุรุษผู้หนึ่งเข้ามายังตำหนักแห่งนี้และได้นั่งเล่นอย่างสบายอารมณ์บนขื่อใต้หลังคาแห่งนี้
อืม...
ตำหนักใหญ่โตโออ่าแห่งนี้มีขื่อด้วย ทำไมถึงมีนางมิได้สนใจ แต่...ช่างดียิ่ง นางจะได้แอบมองเขาในรัศมีแบบรอบทิศทาง
คิดได้ดังนั้นสายตาของนางก็กวาดมองไปรอบๆอีกครั้ง นางเพ่งมองไปที่อ่างอาบน้ำขนาดใหญ่หลังฉากกั้น
อา...
นางควรนั่งแอบมองเขาไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะ ที่หลังฉากกั้น ในอ่างอาบน้ำนั่น คิกคิก เจินเจินคิดและหัวเราะคิกคักอยู่ในใจเรื่อยเปื่อย
และบุรุษผู้นั้นที่หญิงสาวได้แอบติดตามมา เขาเพียงนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนพื้นที่ปูด้วยพรมขนสัตว์ตรงบริเวณกลางห้องขนาดใหญ่
เขากำลังนั่งทำสมาธิอยู่อย่างนั้น เพื่อเก็บข่มอารมณ์ที่อยากจะฆ่าสตรีหน้าไม่อายนางหนึ่ง
นางบังอาจแอบติดตามเขามา
นางกำลังแอบมองเขาอยู่
นางนั่งอยู่บนขื่อนั่น
เพื่อพิศมองดูนางแล้ว เขาพอจะมองออกว่านางมิใช่สตรีธรรมดา นางมิใช่สตรีทั่วไปของเมืองหลวง
นางย่อมเป็นบุคคลสำคัญของฝ่ายอิทธิพลมืดฝ่ายที่ถือกองกำลังอันยิ่งใหญ่แข็งแกร่งที่สุดของยุทธภพ ฝ่ายที่ซึ่งหนุนหลังให้แคว้นต้าหลี่แห่งนี้
นางเป็นคนของฮองเฮาหงเหม่ยหลงและฮ่องเต้หลี่ซื่อ หมินเสด็จพี่ของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
นั่นจึงทำให้เขาต้องมานั่งทำสมาธิเพื่อเก็บข่มอารมณ์พลุ่งพล่านที่อยากจะสังหารนางอยู่ในขณะนี้
เจินเจินยังคงนั่งมองบุรุษผู้นั้นที่บัดนี้นางได้รู้แล้วว่าเขาคือองค์ชายสี่นามว่าหลี่เซียวเหยา เขาเป็นน้องชายของฮ่องเต้หลี่ซื่อหมิน เขาเดินทางมาจากแคว้นหลี่แคว้นดั้งเดิมของเขา เพื่อมาช่วยงานราชกิจให้ฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินที่แคว้นต้าหลี่แห่งนี้
และที่สำคัญ
นางยังรู้ประวัติอันแสนจะขมขื่นของเขาอีกด้วย
หญิงสาวมองหน้าของหลี่เซียวเหยาพลางคิดถึงเหตุการณ์เมื่อวานช่วงบ่ายตอนที่นางกำลังนั่งจับกลุ่มกันนินทา เอ้ย! เสวนากับบรรดาสตรีเพศด้วยกันที่เป็นทั้งเจ้านายและสหายอย่างออกรสออกชาติกันอยู่ในศาลากลางสวนสวยของพระตำหนักในที่ซึ่งเป็นที่พำนักพักพิงประจำตัวของฮองเฮาหงเหม่ยหลงเจ้านายสายตรงของนางเอง
“ตอนนี้องค์ชายสี่หลี่เซียวเหยายังไม่มีชายาหรอกนะ” เสียงหวานแหลมของหยางเจียนผู้รู้เรื่องของบุคคลในราชวงศ์หลี่เป็นอย่างดีเอ่ยขึ้นขณะจับกลุ่มคุยกันภายในศาลาแห่งนี้
และแล้วประโยคนั้นก็ทำเจินเจินผู้ที่ตั้งหัวข้อถึงบุคคลที่ต้องการจะนินทาจึงเด้งตัวขึ้นมาพร้อมหูที่กางผึ่ง
หยางเจียนยังคงเล่าเรื่องอย่างต่อเนื่อง “ข้าได้ข่าวว่าชายาคนก่อนขององค์ชายสี่ได้ก่อเรื่องอัปยศน่าอายเอาไว้กับองครักษ์ประจำตัวขององค์ชายสี่ พระองค์จึงรังเกียจสตรี เข้าหาแต่ธรรมะ ไม่สนใจโลกภายนอกอีกเลยหลังจากสังหารชายชั่วหญิงโฉดนั่น”
“โอว! ช่างน่าเห็นใจ” เว่ยฟางที่อยู่ในกลุ่มด้วยเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเห็นใจจริงๆ
“ข้าว่า เจ้าอย่าเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับองค์ชายสี่เลย เจินเจิน” หลิวฉวนหยู่ร์ที่ยืนกอดอกพิงเสาของศาลาอยู่เอ่ยขึ้นเพื่อเตือนสติของสหายจากสำนักเดียวกัน
แต่...มิได้เข้าหูของเจินเจินแต่อย่างใด
นางยังคงมีสมาธิและสติทั้งหมดอยู่กับเรื่องขององค์ชายสี่และชายาใจร้ายนั่น
ฮึ! ชายานั่นร้ายกว่านางเสียอีก เจินเจินคิด
“แล้วหลุมศพของชายานั่นอยู่ที่ใด” เจินเจินถามขึ้น
“เจ้าจะทำไมรึ” หยางเจียนถามกลับ
“ข้าก็จะไปขุดเอาศพของสตรีนางนั้นมาตบ ตบ แล้วก็ตบ ก่อนฝังกลับเข้าไปใหม่อย่างไรเล่า” เจินเจินตอบพลางทำท่าทางประกอบ
“อืม... ข้าจะไปถามฮ่องเต้หลี่ซื่อหมินให้นะ” ฮองเฮาหงเหม่ยหลงที่นั่งอยู่เหนือสุดของกลุ่มเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วยกับเจินเจิน
“ข้าว่า เจ้าควรจะขุดเอาศพของนางมาขอบใจดีกว่านะ ที่ปล่อยให้องค์ชายสี่หลุดมือจนมาถึงมือเจ้า” หยางเจียนเอ่ยขัดอย่างนึกสนุก
“นั่นสิ! ข้าเอาใจช่วยเจ้านะ เจินเจิน” เว่ยฟางเอ่ยตามอย่างรื่นเริง
“เอาเข้าไป! แต่ละคน” หลิวฉวนหยู่ร์ถอนหายใจขณะเอ่ยออกมา
“สตรีที่ชอบทำตัวผิดแปลกจากสตรีทั่วไปของเมืองหลวง ทั้งยังเลี้ยงบุรุษเอาไว้จนเต็มเรือนอย่างเจ้า ข้าว่าอย่าได้คิดฝันจะดีกว่า นะเจินเจิน” หลิวฉวนหยู่ร์เอ่ยดักคอเจินเจินอย่างต่อเนื่อง ด้วยเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นสหายสนิทและอีกฝ่ายเป็นถึงองค์ชายผู้ซึ่งเป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ ดีไม่ดี นางพญาจิ้งจอกแสนสวยอย่างเจินเจินอาจจะสิ้นชื่อเอาได้
เจินเจินหันขวับมาทางหลิวฉวนหยู่ร์ที่ยืนพิงเสาอยู่ไม่ไกล ก่อนเถียงออกไปด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องพวกนั้นมันเป็นแค่กำไรชีวิต ข้ามิได้ปล่อยเนื้อปล่อยตัว ทั้งยังไม่เคยขึ้นเตียงกับผู้ใด แม้ข้าจะมีฝีมือแข็งแกร่งร้ายกาจ แต่ส่วนนั้นของข้าช่างบอบบางยิ่ง มันรับศึกได้แค่คนเดียว จริงๆ”
อื้อหือ.....
เสียงอื้ออึงของบรรดาสตรีในศาลายังคงดังอยู่ในมโนสำนึกของเจินเจินที่นั่งเท้าคางอยู่บนขื่อนั่น นางยังคงนั่งเหม่อมองบุรุษด้านล่างอยู่อย่างนั้น
ในคราแรกนางแค่นึกชมชอบบุคลิกหน้าตาอันหล่อเหลารูปร่างสมส่วนบึกบึนกำยำของเขา
แต่ขณะนี้นางนึกเห็นใจเขาเป็นอย่างยิ่ง
เขาคงเจ็บปวดเป็นอย่างมากในครานั้น
และคงยังเจ็บปวดอยู่ไม่จางในขณะนี้
อา... นางอยากช่วยเยียวยาหัวใจที่บอบช้ำนั่นเหลือเกิน
หลี่เซียวเหยาที่นั่งสมาธิอยู่ตรงจุดเดิมรู้สึกได้ถึงสายตาระยิบระยับวิบวับน่ากลัวของสตรีบนขื่อนั้นเป็นอย่างดี
แต่เขาก็ยังคงหลับตาอยู่ อย่างอดทน
“ถ้าท่านเปิดใจให้ข้า” เสียงเจินเจินเอ่ยขึ้นเนิบนาบอยู่บนขื่อ “ข้าขอสาบาน ว่าจะรักท่านแต่เพียงผู้เดียว”
ประโยคนั่นทำหลี่เซียวเหยาลืมตาขึ้น ก่อนเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวด้วยความหมายทางสายตาว่า ไม่ต้องเลย!
แต่เจินเจินนั้นกลับเข้าใจไปคนล่ะอย่าง
“ท่านให้โอกาสข้า” หญิงสาวเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้นก่อนจะกระโดดออกจากขื่อด้วยท่วงท่าสวยงามลงมานั่งบนตักแข็งแกร่งของหลี่เซียวเหยา
“ดียิ่ง ช่างดียิ่ง” นางกล่าวขณะซุกซบคลอเคลียอยู่ตรงแผงอกของหลี่เซียวเหยา
ชายหนุ่มหรี่ตามองร่างงามระหงบนตักของตนด้วยสายตาพิฆาตความคิดโหดเหี้ยม
เขาจะดึงมีดมาแทงนางส่วนใดก่อนดี?
เจินเจินเอียงหน้าขึ้นมองตอบสบตาของหลี่เซียวเหยา พลางคิดในใจ สายตาของเขาช่างมีเสน่ห์เย้ายวนใจนางยิ่งนัก สายตาคมกริบลึกลับนี้ทำนางหลงใหลได้ปลื้ม อา...ขอหอมแก้มหนึ่งทีนะ จมูกนางเร็วเท่าความคิด นางฝังจมูกโด่งได้รูปเข้ากับใบหน้างดงามของเขาในทันที
หลี่เซียวเหยาถึงกับตัวเกร็งแข็งทื่อกับการกระทำอันแสนจะอุกอาจแบบไม่เคยมีสตรีนางใดกล้าทำกับเขาเยี่ยงนี้มาก่อน
ยัง!
ยังไม่พอ
หอมแก้มข้างหนึ่งแล้วย้ายมาหอมอีกข้างหนึ่ง
ตัดจมูกนางทิ้งดีหรือไม่!?
เจินเจินฝังจมูกกับแก้มของหลี่เซียวเหยาอยู่อย่างเพลิดเพลินโดยไม่สนใจสายตาร้อนเป็นไฟของเจ้าของแก้มแต่อย่างใด
อืม...
ใกล้กับแก้มนี่ก็คือริมฝีปาก จะกัดเม้มทำไมนั่น เผยอ ออกมา!
เจินเจินคิดในใจขณะเหม่อมองริมฝีปากของหลี่เซียวเหยาที่กำลังขบเม้มเป็นเส้นตรงกล้ามเนื้อกระตุกโดยรอบ
มือไม้ของนางช่างกระทำการอย่างไร้ที่ติโดยไม่ต้องใช้สมองคิดไตร่ตรองแต่อย่างใด มันกำลังล้วงเข้าไปในสาบเสื้อตัวในสุดของหลี่เซียวเหยา
นางมิได้ต้องการยั่วยวนแต่อย่างใด
นางเพียงต้องการสัมผัสเขา ก็เท่านั้น