“ปล่อยข้า!”
หลี่เซียวเหยายังคงเอ่ยเสียงเครียดขณะถูกสตรีเจ้าเล่ห์อย่างเจินเจินเล่นไม่ซื่อโดยการสั่งบุรุษปริศนาให้เข้ามาช่วยกันจับเขาเอาไว้ถึงสามคน
“มัดเขาเอาไว้ที่เสาตรงนี้เลย” เสียงอ่อนหวานของเจินเจินเอ่ยสั่งการบุรุษปริศนาทั้งสาม
ขณะนี้เจินเจินได้ใช้กลอุบายหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าการโกง
เมื่อเวลาแห่งการประมือกันผ่านไปได้ซักพักนางจึงรู้ตัวว่าสู้ฝีมือของหลี่เซียวเหยาไม่ได้จึงแอบส่งสัญญาณให้ลูกน้องของตนเองที่สั่งให้แอบติดตามมาเพื่อคอยรับใช้อยู่ที่แคว้นต้าหลี่ด้วยให้โผล่ออกมาและให้ช่วยกันถึงสามคนเพื่อรุมหลี่เซียวเหยาแล้วจับเขาพาเข้ามายังตำหนักของเขา และมัดเขาไว้ในห้องของเขาเสียเลย
“เสร็จแล้วออกไปได้” จบคำสั่งของเจินเจิน บุรุษทั้งสามก็รีบคาราวะอย่างแข็งขันและพุ่งตัวพรึ่บออกไปในทันทีโดยไม่มีการไต่ถามใดๆให้มากความ
“เจ้า!” หลี่เซียวเหยายังคงจ้องมองพร้อมคำรามไปทางเจินเจิน
สตรีเจ้าเล่ห์นางนี้ นาง...
ดูนางทำ!
นางช่างกล้า!!
บังอาจยิ่ง!!!
“เจ้าช่างน่ารังเกียจ” เขายังคงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำไปทางหญิงสาว ดวงตาคมดำดิ่งบนใบหน้าคมเข้มงดงามยังคงจ้องมองเจินเจินอย่างเอาเรื่อง
“อย่าด่วนสรุปเยี่ยงนั้นเลย” เจินเจินยืนกอดอกใช้สายตาแววหวานผสมผสานความเจ้าเล่ห์หรี่ตามองหลี่เซียวเหยาที่ถูกจับมัดเอาไว้ที่เสาภายในห้อง
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
นางรู้สึกชอบเวลาเขาโกรธ
“ท่านยังไม่เคยได้ชมความงดงามที่แท้จริงของข้า จะกล่าวอย่างนั้นได้อย่างไร รังเกียจรังงอนอันใดกัน หืม...” หญิงสาวกล่าวขณะย่างกรายเข้าหาชายหนุ่มที่ถูกมัดไว้กับเสากลางห้องจนร่างระหงของนางประชิดถึงลำตัวสูงใหญ่ของเขา ก่อนช้อนสายตาแวววาวทอประกายขึ้นมองจ้องตอบดวงตาคมกริบคล้ายอาฆาตของชายหนุ่มอย่างไม่นึกหวั่นเกรง
นางยกมือเรียวงามของตนขึ้นลูบไล้ไปทั่วแผงอกบึกบึนของชายหนุ่มอย่างยั่วยวนผ่านอาภรณ์เนื้อดี
หญิงสาวใช้นิ้วมือไล้เกลี่ยไต่ขึ้นไปทางลำคอและเกลี่ยไล้ไปเรื่อยๆจนทั่วใบหน้าของเขา พลางส่งยิ้มหวานละมุนอยู่ตรงมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์จ้องมองด้วยสายตาท้าทายแกมยั่วเย้า
“ท่านช่างมีเสน่ห์ของบุรุษเพศมากมายปานนี้ ไฉนเลยถึงกักขังเก็บกดซ่อนมันเอาไว้” หญิงสาวเอ่ยขึ้นขณะยังคงลูบคลำไปทั่วเรือนร่างของหลี่เซียวเหยา
หน้าอกของนางอยู่ใกล้กันกับแผงอกของเขา กลิ่นหอมรัญจวนจากเนื้อนวลนางลอยคละคลุ้ง สร้างความปั่นป่วนให้เขาอยู่ไม่น้อย
เจินเจินยังคงเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยอย่างมีเสน่ห์ชวนมอง “อดีตก็ส่วนหนึ่ง ธรรมมะก็ส่วนหนึ่ง ใยท่านต้องเอามันมาปะปนกันจนทำให้ตนเองไร้ความสุข”
“หืม......”
เจินเจินจบประโยคของตนด้วยเสียงลากยาวชวนสยิว
หลี่เซียวเหยาได้แต่พยายามระงับอารมณ์พลุ่งพล่านบางอย่างเอาไว้
เขาต้องทำอะไรซักอย่างกับนาง
เจินเจินสังเกตเห็นอาการเก็บข่มอารมณ์ปรารถนาของชายหนุ่มจนหูแดงหน้าแดงอย่างนั้นจึงหลุดขำออกมา ก่อนเอ่ยเสียงหวาน “ท่านช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก ข้าชักจะชอบท่านขึ้นมาจริงๆเข้าแล้ว คิกคิก”
“เจ้า!” หลี่เซียวเหยาหน้าแดงยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เขากำลังถูกนางมารตนนี้ย่ำยีของจริง
“อืม... ข้าจะแกล้งอะไรท่านอีกดีน๊า” เจินเจินเอ่ยพลางยกแขนขึ้นโอบรอบลำคอของชายหนุ่ม ส่งผลให้ใบหน้างามๆเข้าใกล้ใบหน้าร้อนผ่าวของเขาในระยะประชิด
นางรู้สึกสนุกยิ่งนักกับบุรุษผู้นี้
อา... ทำไมกันนะ
อืม...ดูแววตาของเขาเวลาโกรธนั่นสิ ริมฝีปากได้รูปนั่นอีก เป็นเส้นตรงเชียว อ๊ะอ๊ะ หน้าแดงไปถึงลำคอแล้วนั่น คิกคิก แดงไปถึงแผงอกหรือไม่กันน๊า...
หญิงสาวคิดในใจพลางหัวเราะขยุกขยิกอยู่ตรงหน้าของหลี่เซียวเหยา ยิ่งทำให้ชายหนุ่มโกรธจนตัวสั่นสะท้าน กล้ามเนื้อพลันกระตุกรุนแรง
นางกำลังทำเขา
ตบะแตก! ของจริง
เวลานี้ธรรมะบทไหนก็ไม่ช่วยให้ใจของเขาสงบลงได้
สตรีนางนี้
นาง...
นาง...
เขาจะฆ่านางด้วยวิธีไหนดี?
“คิดอยากจะฆ่าข้าอีกล่ะสิ อืม ไม่ง่ายหรอกนะ เพคะองค์ชาย” เจินเจินเอ่ยอย่างรู้ใจผ่านสายตาของเขาด้วยน้ำเสียงลากยาวอย่างไม่กลัวเกรงพลางส่งสายตายั่วเย้ารอยยิ้มยั่วยวนในขณะที่มือไม้ยังคงลูบคลำอยู่ตรงแผ่นหลังตึงเครียด
การกระทำนั้นรอยยิ้มนั้นยิ่งสร้างไฟโทสะแก่หลี่เซียวเหยาให้ลุกโชน
พอกันทีอารมณ์เก็บข่มใดๆ
ท่าทีสงบสุขุมเยือกเย็นใช้ไม่ได้กับสตรีนางนี้เป็นแน่
ชายหนุ่มคิดในใจด้วยไฟโทสะผ่านม่านตาคมดำที่บัดนี้ทอประกายร้อนแรงด้วยอารมณ์คล้ายคมเพลิง
เจินเจินยังคงเอ่ยต่อเรื่อยๆมิได้นำพากับอาการโกรธเกรี้ยวของ หลี่เซียวเหยาแต่อย่างใด
“ท่านรู้อะไรหรือไม่ ข้าน่ะชมชอบบุรุษเป็นชีวิตจิตใจ มีบุรุษมากมายในอาณัติของข้า บุรุษพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสมุนผู้ภักดีของข้า” หญิงสาวกล่าวอย่างอารมณ์ดีขณะปล่อยชายหนุ่มให้เป็นอิสระจากวงแขนงามๆก่อนถอยห่างจากร่างของเขา
หญิงสาวเพียงเดินนวยนาดด้วยท่วงท่าพริ้วไหวไปทั่วห้องอย่างเพลิดเพลินรื่นเริงอารมณ์ดีตามวิสัยโดยไม่มีหวาดหวั่นประการใดต่อหลี่เซียวเหยา
“แต่ไม่มีใครทำให้ข้ารู้สึกอยากเอาชนะได้เหมือนเช่นท่าน บุรุษมากมายมิได้ทำให้ข้าใจกระตุกได้เหมือนท่าน อืม...” หญิงสาวทำท่าทางเอานิ้วเรียวของตนขึ้นแตะคางได้รูปเบาๆด้วยท่าทางชวนมองพราวเสน่ห์น่าหลงใหล
นางเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงแว่วหวานเรียบเรื่อย “อืม...ยามท่านโกรธท่านช่างดูดีมีเสน่ห์เร้าใจข้ายิ่งนัก ไม่รู้ว่าทำไมข้าจึงชอบเวลาท่านโกรธ อืม...ข้า...”
“เจ้า...ทำไม” เสียงของหลี่เซียวเหยาเอ่ยขึ้นเนิบๆอยู่ด้านหลังของเจินเจิน
หญิงสาวรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
หือ!?
“!?”
นางค่อยๆหันหน้าไปทางชายหนุ่มที่กำลังพ่นลมหายใจร้อนกรุ่นอยู่เหนือศีรษะของนางในขณะนี้
เขา...
เขา...
ไม่ได้อยู่กับเชือกตรงเสาแล้ว!
เจินเจินเอ่ยเสียงเบาแผ่วเกือบกระซิบ “ท่าน... ท่าน..." พลางชี้นิ้วไปตรงต้นเสาต้นหนึ่งที่ตั้งอยู่กลางห้อง
"เชือกขาดตั้งแต่เมื่อไหร่” นางเอ่ยเสียงเบายกยิ้มกลบเกลื่อน
“สำคัญด้วยหรือ หืม...” หลี่เซียวเหยาเอ่ยเสียงเบาพร้อมรอยยิ้มเย็นยะเยือก
ดวงตาที่เคยดำดิ่งลึกลับ บัดนี้กลับแวววับซ้อนทับด้วยภาพของสตรีนางหนึ่ง
นางผู้ซึ่ง
น่าตายนัก!
เจินเจินค่อยๆช้อนสายตาของนางขึ้นมองตอบสบสายตาของเขา
อา...
พลาด...
พลาดมหันต์
ทั้งสองจ้องตากันนิ่งงัน
เจินเจินใช้ความเร็วเพียงนิดเอียงหน้าขึ้นจูบหลี่เซียวเหยาแบบพริบตา ก่อนหมุนตัววิ่งหนีไปอย่างไม่คิดชีวิต
หลี่เซียวเหยาแม้จะตกตะลึงกับการแอบกินเต้าหู้อย่างมืออาชีพของสตรีตรงหน้า แต่ยังคงวิ่งตามติดอย่างเร็วกว่าความคิด พลางตะโกนคำราม
“จะหนีไปไหน...”
“ไม่....นะ....”
และภาพของว่าที่สามีที่กำลังไล่ล่าฆ่าฟันว่าที่ภรรยาก็พลันเกิดขึ้นอีกครั้ง...
“ครานี้พวกเจ้าคิดว่าใครจะชนะ” เสียงเดิมเสียงที่หนึ่งเอ่ยขึ้นตรงมุมห้องภายในตำหนักของหลี่เซียวเหยา
“ข้าคิดว่าองค์ชายสี่นะ” เสียงเดิมเสียงที่สองตอบคำ
“ข้าก็คิดว่าองค์ชายสี่” เสียงเดิมเสียงที่สามเอ่ยบ้าง
ทั้งสามสาว หยางเจียน เว่ยฟาง และหลิวฉวนหยู่ร์ต่างมองหน้ากันและกัน ก่อนจะทำท่าไว้อาลัยให้ เจินเจิน...
ณ มุมมืดมุมหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสองหนุ่มสาวที่กำลังไล่ล่าฆ่าฟันกันอย่างเอาเป็นเอาตายนั้น ได้ปรากฏร่างของสตรีนามว่าเซียงอวี๋อยู่
หญิงสาวได้แอบมองคนทั้งคู่อยู่ไม่ไกลเช่นเดียวกัน
นางรับรู้ได้ถึงการกระทำของทั้งสองชายหญิงคู่นั้น ทั้งหลี่เซียวเหยาและเจินเจิน
หญิงสาวจึงเริ่มจะตระหนักได้แล้วว่า การยั่วยวนเช่นนั้นคงไม่ใช่ผลดี
อา...
นางคงต้องคิดแผนใหม่
นางต้องใช้ตัวช่วย...
นางจะทำอย่างไรดี.....