ตอนที่ 19 บุรุษอาภรณ์ดำ 2

2888 Words
ในขณะเดียวกัน บุรุษอาภรณ์ดำที่กำลังถูกกล่าวถึง บัดนี้รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนพระพักตร์หล่อเหลาของจอมมารเฟิงหยาง ดวงเนตรสีนิลกาฬทอดพระเนตรลูกธนูทั้งสามดอกที่อยู่ในพระหัตถ์ “เข้าท่า! ฝีมือใช้ได้”รับสั่งพึมพำพร้อมเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรป้อมปราการของกำแพงยักษ์ตรงพระพักตร์ “ช่างเป็นเมืองที่ยิ่งใหญ่และมั่งคั่งเสียจริงๆ ก็ไม่แปลกที่ผู้คนอยากเข้าครอบครองด้วยกันทั้งสิ้น”รับสั่งพร้อมใช้สายพระเนตรจับหาต้นตอเจ้าของลูกธนูทั้งสามดอกอย่างรวดเร็ว เป็นจังหวะที่เจ้าแคว้นคนงามถอยพระวรกายออกจากระเบียงป้อมกำแพงยักษ์ จึงทำให้จอมมารไม่ทันได้เห็นหนุ่มน้อยในชุดเกราะที่สวมหน้ากากสีเงินปิดบังเอาไว้ตลอดเวลา ซึ่งพระองค์เข้าพระทัยว่าได้สิ้นชีพลงด้วยคมธนูของต้าฮั่นและร่างสลายไปพร้อมกับผู้เป็นพ่อและแม่ไปแล้วเมื่อกว่าหนึ่งเดือนก่อน ดวงตาคู่สวยของเจ้าแคว้นคนงามลุกโชนดั่งเพลิงเผาผลาญด้วยแรงแค้นอย่างยิ่งยวด ครั้นได้ทอดพระเนตรบุรุษอาภรณ์ดำที่ทรงเปรียบเทียบฝีมือด้วยในสนามรบ ก่อนที่จะทรงพ่ายแพ้อย่างหมดรูปด้วยเพราะอีกฝ่ายมีวรยุทธ์สูงยิ่งนักไม่เคยพานพบจากที่ใดมาก่อนและคนผู้นี้ยอมรับกับพระองค์ว่าเป็นผู้สังหารพระบิดาและพระมารดาจนเสด็จสวรรคตลงพร้อมกัน “ในที่สุดก็ปรากฏตัวจนได้! เจ้าคนถ่อย! เช่นนั้นก็ดีวันนี้ข้าจะชำระแค้นเจ้าและหลิวจินซานไปพร้อมกันเลยทีเดียว”เจ้าแคว้นคนงามรับสั่งอย่างเหี้ยมเกรียม “ไปนำคันธนูหยกมาให้ข้า!”เจ้าแคว้นรับสั่งหาคันธนูของอดีตเจ้าแคว้นพระองค์แรก ท่ามกลางอาการตกตะลึงของแม่ทัพน้อยใหญ่ที่อยู่ภายในบริเวณนั้นด้วยกันทุกคน “ฝ่าบาท! จะทรงนำธนูหยกมาใช้ในสงครามนี้ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ! จะทำให้พระชนม์ชีพตกอยู่ในอันตรายไม่ปลอดภัยแต่อย่างใด”เหล่าแม่ทัพต่างพากันส่งเสียงห้ามปรามกันเอ็ดอึง คันธนูหยกเป็นอาวุธของผู้สร้างแคว้นไท่หยวนใช้สำหรับทำศึกสงครามแต่น้อยคนนักที่จะสามารถนำมาใช้ได้ ซึ่งเชื่อกันว่าคันธนูหยกดังกล่าวเป็นของคู่บ้านคู่เมืองของแคว้น ด้วยตกมาจากท้องฟ้าเบื้องบนดั่งสวรรค์ประทานให้ ในขณะที่เจ้าแคว้นพระองค์แรกกำลังทำสงครามแย่งชิงดินแดนระหว่างแคว้น จนได้รับชัยชนะสถาปนาราชวงศ์อู๋ ขึ้นครองแคว้นไท่หยวนนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ธนูดังกล่าวมีเพียงคันธนูเท่านั้น ไม่มีลูกธนูจึงทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถใช้งานได้เลย ด้วยเพราะจะต้องสำเร็จวิชาเทพสังหารซึ่งเคล็ดวิชาอยู่บนคันธนูที่ทำจากหยก ซึ่งมีเพียงสี่คำเท่านั้น และอู๋ฮ่าวเทียนหรือแท้จริงแล้วคืออู๋อี้เฟย ซึ่งเป็นสตรีสามารถถอดเคล็ดวิชาดังกล่าวนั้นได้ เพราะธนูหยกมีเพียงสตรีเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้และจะต้องเป็นผู้ฝึกวิชากระบี่เดียวดายสำเร็จจึงจะสามารถเรียนรู้เคล็ดวิชาเทพสังหารจากคันธนูหยกดังกล่าวจนทำให้เกิดลูกธนูขึ้นมาได้เอง ซึ่งลูกธนูอันเกิดจากวิชาเทพสังหารนี้ ง้างเพียงหนึ่งครั้งจะได้ลูกธนูนับแสนดอกมืดฟ้ามัวดินพุ่งทะยานทำลายกองทัพอีกฝ่าย และเมื่อปักลงบนเป้าหมายที่ใด ทั่วบริเวณจะกลายเป็นทะเลเพลิงไปชั่วพริบตา และที่สำคัญสามารถใช้ได้เพียงแค่สามครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นธนูหยกจะสิ้นฤทธิ์ และจะสามารถใช้ได้อีกครั้งเมื่อกาลเวลาผ่านไปครบหนึ่งร้อยปี จึงเป็นการยากยิ่งนักที่จะหาผู้ใดเรียนรู้วิชานี้ได้และที่สำคัญผู้ใช้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสูญสิ้นวรยุทธ์และบางครั้งสิ้นชีพเนื่องจากต้องใช้กำลังภายในของตัวเองทั้งหมดเพื่อใช้วิชาดังกล่าว ทันทีที่เสียงของเหล่าแม่ทัพต่างพากันเอ่ยทัดทานเช่นนั้น เจ้าแคว้นคนงามหันกลับไปทอดพระเนตรพร้อมมีรับสั่ง “สงครามครั้งนี้จะต้องบดขยี้ต้าฮั่นให้แหลกราญด้วยน้ำมือของข้าให้จงได้ ธนูหยกแม้จะใช้ได้เพียงสามครั้ง แต่หนึ่งครั้งปรากฏฝูงธนูนับแสนดอก อีกทั้งปักลงที่ใดจะกลายเป็นทะเลเพลิงทำลายทุกสิ่งและทุกชีวิตดั่งเจ้าเพลิงโลกันตร์ แม้ว่าข้าจะต้องสูญเสียกำลังภายในไปทั้งหมดหรือจะต้องสิ้นชีพก็ตาม ข้าก็จะทำเพื่อชัยชนะของไท่หยวนและเพื่อทำลายต้าฮั่นให้ย่อยยับจนไม่สามารถมีกำลังหวนกลับมาทำอะไรแคว้นของข้าได้อีกต่อไป!”รับสั่งสุรเสียงเด็ดขาด “แต่ว่า...แม่ทัพซือโฉวพยายามเอ่ยทัดทานแต่ก็ต้องเงียบปากลงโดยพลัน “นำธนูหยกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!!!”รับสั่งสุรเสียงดังกระหึ่ม สิ้นเสียงของเจ้าแคว้นคนงาม บรรดาแม่ทัพต่างต้องยอมทำตามพระประสงค์แม้ว่าจะห่วงพระองค์มากมายเพียงใด แต่สิ่งที่ทรงทำไปทั้งหมดก็เพื่อไท่หยวนทั้งสิ้น เพราะเป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะสามารถบดขยี้ต้าฮั่นให้พินาศย่อยยับในคราวเดียวกัน และหลุดพ้นจากแผนการซึ่งเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์มากมายจากผู้บัญชาการทัพคนใหม่ที่ชาญฉลาดอย่างยิ่งยวด “รับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”เสียงของแม่ทัพซือโฉวขานรับพระบัญชาด้วยความจำยอม ก่อนจะรีบหันหลังกลับเพื่อไปอัญเชิญอาวุธสำคัญประจำแคว้น ซึ่งชาวไท่หยวนถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เคียงคู่กับแคว้นมาโดยตลอด ในขณะเดียวกันทางเบื้องล่างของกำแพงยักษ์ กองทัพต้าฮั่นต่างกำลังโจษขานจนเสียงเอ็ดอึงกับการปรากฏกายของผู้บัญชาการทัพคนใหม่ที่เพิ่งถูกแต่งตั้งแทนองค์ไท่จื่อ ทุกสายตาต่างจับจ้องอยู่ทางด้านหลังของบุรุษอาภรณ์ดำ ร่างสูงใหญ่ทะมึนผิดปกติจากมนุษย์ทั่วไปยืนอยู่นำหน้ากองทัพทั้งหมดของต้าฮั่นอย่างไม่กลัวเกรงสิ่งใดทั้งสิ้น “ท่านผู้บัญชาการมาตั้งแต่เมื่อไรกัน เหตุใดจึงปรากฏกายกลางท้องฟ้ารับธนูของไท่หยวนที่กำลังพุ่งมาที่ไทจื่อได้” “ผู้บัญชาการทัพคนใหม่ล่องหนหายตัวได้อย่างนั้นเหรอ จู่ๆ ก็โผล่มาอย่างไม่รู้สาเหตุเช่นนี้” “ข้าได้ยินมาว่าผู้บัญชาการทัพคือเทพสงคราม เจ้าเคยได้ยินเหมือนข้าไหม” เสียงเอ็ดอึงโจษขานกันไปต่างๆ นานา สุดแล้วแต่จะที่ผู้คนจะพากันขบคิด ท่ามกลางสายตาของชินอ๋องและเจิ้งหู่ รวมไปถึงลั่วจิ้งซึ่งตอนนี้เข้าใจว่าตนนั้นคือหลิวจินซานรัชทายาทแห่งต้าฮั่น ทั้งสามได้แต่เงียบงันไปชั่วขณะพร้อมเสียงของลั่วจิ้งเอ่ยขึ้น “ท่านอาจารย์ของข้าช่างเก่งกล้ายิ่งนัก วิทยายุทธ์ล้ำเลิศอย่างหาตัวจับยาก เสด็จอาเห็นเหมือนข้าไหมลูกธนูพุ่งหลาวตรงมาหาข้าดั่งสายลมเช่นนั้น แต่ท่านอาจารย์กลับสามารถรับเอาไว้ได้อย่างแม่นยำ ข้าโชคดีเสียจริงที่ได้เป็นศิษย์”ลั่วจิ้งเอ่ยชื่นชมไม่ขาดปาก ในขณะที่คนถูกชมยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นกำลังใช้สายตามองหาเจ้าของลูกธนูดังกล่าว “ดูท่าอาจารย์ของเจ้ากำลังมองหาอะไรบางอย่าง แล้วดูสิช่างกล้ายืนอยู่เพียงตามลำพังตัวก็สูงเสียขนาดนั้น ไม่รู้บ้างหรือไงว่าล่อเป้าพวกไท่หยวนได้ดียิ่งนัก อีกอย่างข้าเพิ่งรู้ว่าวันนี้เฟิงหยางออกจากการกักตน หากเป็นเช่นนั้นเดินทางมาที่ไท่หยวนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ได้อย่างไงกันเล่า ในขณะที่กองทัพต้องใช้เวลาเดินทางสองวันกว่าจะถึงหน้าประตูเมืองไท่หยวนเลยเชียวนะ แต่เหตุใดเฟิงหยางจึงใช้เวลาเดินทางรวดเร็วเช่นนี้หรือเจ้าคิดเห็นเช่นไรเจิ้งหู่” ชินอ๋องหันกลับไปรับสั่งถามเสนาบดีใหญ่ที่คอยเก็บรายละเอียดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสงครามครั้งนี้อยู่ตลอดเวลา “แต่กระหม่อมกลับเห็นต่างไปจากพระองค์ ผู้บัญชาการทัพมักจะทำในสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปต่างพากันทำไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ หากเป็นผู้มีวรยุทธ์สูงการเดินทางเพียงแค่นี้ไม่ยากเลย ไม่เชื่อก็ลองรับสั่งถามให้คลายสงสัยดูเถิด”เจิ้งหู่เอ่ยตอบกลับไป พระเนตรดำใหญ่ของชินอ๋องจับจ้องอยู่ที่ร่างสูงใหญ่ทะมึนของบุรุษอาภรณ์ดำอยู่เพียงครู่ ก่อนจะตัดสินใจรับสั่งถามในสิ่งที่พระองค์กำลังสงสัย “เฟิงหยาง! นี่เจ้าออกจากกักตนตั้งแต่เวลาใด...เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดมารายงานข้า แล้วเดินทางมาได้อย่างไรกันจึงถึงหน้าประตูเมืองไท่หยวนได้รวดเร็วถึงเพียงนี้” รับสั่งของชินอ๋องที่ทำให้จอมมารหนุ่มเปล่งเสียงพระสรวลด้วยความขบขันอยู่ในลำคอกับความช่างสงสัยของชินอ๋องที่มีต่อพระองค์เสียทุกครั้ง “มนุษย์ผู้นี้ช่างขี้สงสัยเสียจริง”รับสั่งบ่น “จะออกจากการกักตนเวลาใดนั่นมันก็เรื่องของข้าจะสนใจไปทำไม และเหตุใดจะมาที่นี่อย่างรวดเร็วไม่ได้ในเมื่อข้าใช้วิชาเหยียบเมฆเดินทางมา ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูปก็ถึงแล้ว”รับสั่งตอบประชดกลับไป “อะไรนะ! ใช้วิชาเหยียบเมฆมาอย่างนั้นเหรอ”ชินอ๋องรับสั่งออกมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น หลิวหมิ่นส่ายหน้าไปมาด้วยไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่จอมมารทรงมีรับสั่งตอบกลับมาแบบทีเล่นทีจริง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วทุกสิ่งที่มีรับสั่งล้วนเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น ก่อนจะได้ยินเสียงของเจิ้งหู่ดังสวนกลับมา “ท่านอ๋องวางความสงสัยในตัวผู้บัญชาการลงก่อนพ่ะย่ะค่ะ เอาไว้ภายหลัง ทรงทอดพระเนตรบนกำแพงเมืองก่อนสิพ่ะย่ะค่ะ! คนผู้นั้นคืออู๋ฮ่าวเทียนใช่หรือไม่”เจิ้งหู่กล่าวพร้อมชี้มือไปที่กำแพงยักษ์ของไท่หยวนที่กำลังเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น และถ้อยคำของเจิ้งหู่ทำให้ทุกสายตาเงยหน้าขึ้นมองไปยังกำแพงยักษ์ของไท่หยวนกันอย่างถ้วนหน้า เมื่อปรากฏร่างอรชรของบุรุษสวมเกราะจอมทัพ ใบหน้าสวมหน้ากากปิดบังส่วนบนเห็นเพียงส่วนล่างตั้งแต่ริมฝีปากลงมา “อู๋ฮ่าวเทียน!!!”ชินอ๋องรับสั่งออกมาทันที ด้วยเพราะพระองค์จดจำเจ้าแคว้นคนงามได้เป็นอย่างดี สมัยที่ยังเป็นเพียงรัชทายาทและเคยเปรียบเทียบฝีมือมาแล้วหลายต่อหลายครั้งและทุกครั้งพระองค์และไทจื่อเป็นฝ่ายพ่ายแพ้กลับไป “ในที่สุดวันนี้เจ้าก็ออกมา! จินเอ๋อ...จดจำผู้ที่ใช้ลูกธนูสังหารเจ้าจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดและต้องกลายเป็นเช่นนี้ได้หรือไม่”ประโยคสุดท้ายชินอ๋องหันกลับไปมีรับสั่งถามกับหลานชาย ครั้นลั่วจิ้งได้ยินชินอ๋องรับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น ดวงตาที่กำลังจับจ้องบุรุษร่างอรชรที่อยู่บนกำแพงยักษ์ ซึ่งแท้จริงแล้วคือเจ้าแคว้นคนปัจจุบันของไท่หยวน และยังเป็นผู้ใช้ธนูสังหารจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอดเมื่อการรบที่ผ่านมา “คนผู้นี้นะเหรอคืออู๋ฮ่าวเทียนผู้เลื่องลือ เจ้าผู้ครองแคว้นแห่งไท่หยวน เหตุใดจึงทำตนเป็นบุคคลลึกลับเช่นนั้น สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าอย่างมิดชิดดูท่าคงจะไม่ต้องการให้ผู้ใดพบเห็นใบหน้าอันแท้จริง”ลั่วจิ้งเอ่ยออกไปตามความรู้สึกของตน “ถ้าหากไม่อัปลักษณ์จนดูไม่ได้ก็รูปงามเกินไป มีเพียงแค่สองอย่างเท่านั้นแหละ”ชินอ๋องรับสั่งสวนขึ้นมาทันควันพร้อมมีรับสั่งออกไปทันที “เฟิงหยาง! ผู้ที่กำลังยืนอยู่บนกำแพงเมืองนั้นคืออู๋ฮ่าวเทียนเจ้าผู้ครองแคว้นไท่หยวน! ตอนนี้ออกมาแล้วตามแผนการของเจ้าที่วางเอาไว้ แผนต่อไปจะต้องทำอย่างไรและต้าฮั่นจะใช้เวลาสู้รบกับไท่หยวนไปอีกนานมากน้อยเพียงใด”รับสั่งถามกลับไป ครั้นราชาปีศาจทรงได้ยินชินอ๋องมีรับสั่งถามออกมาเช่นนั้น พระเนตรสีนิลกาฬลุกโชนขึ้นมาโดยพลัน รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนพระพักตร์หล่อเหลาพร้อมเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรเจ้าผู้ครองแคว้นไท่หยวนที่เห็นอยู่บนกำแพงเมืองในระยะไกลลิบ “ในเมื่อเจ้าแคว้นออกมาตามแผนการที่วางเอาไว้ จะต้องเสียเวลาทำศึกให้ยืดเยื้ออีกต่อไปทำไมกัน ก็ต้องจบลงได้แล้ว”รับสั่งตอบชินอ๋องกลับไป “จะไม่ทำศึกยืดเยื้ออีกต่อไปแล้วนะเหรอ! เช่นนั้นก็ดีที่ไม่ยืดเยื้อเข้าปีที่สี่หาไม่แล้วจะมีผลต่อเสบียงอาหารที่มีเหลือเพียงไม่ถึงหกเดือนด้วยซ้ำ”ชินอ๋องมีรับสั่งกับราชาปีศาจ “เสบียงที่เหลือจงเก็บไว้เถอะ! เพราะสงครามจะจบลงวันนี้!”จอมมารรับสั่งออกมาจนได้ยินกันไปทั่วทั้งกองทัพ “วันนี้!!!”ทุกเสียงต่างกล่าวออกมาพร้อมกัน และพลันต้องเงียบเสียงลงทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์บางอย่างบนกำแพงเมือง ในขณะเดียวกันคันธนูหยกบัดนี้อยู่ในพระหัตถ์ของเจ้าแคว้นไท่หยวน พร้อมวิชาเทพสังหารที่ได้แอบฝึกจนสำเร็จ สามารถทำให้เกิดลูกธนูไฟโลกันตร์นับแสนดอก เพื่อหวังทำลายล้างกองทัพต้าฮั่นให้สิ้นซากและปิดฉากสงครามในครั้งนี้ พรึบ!!! คันธนูหยกถูกง้างออกจนสุดแขนพร้อมขุมพลังวิชาเทพสังหารเรียกลูกธนูไฟโลกันตร์ปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ต่อหน้าผู้คนที่เห็นเหตุการณ์ทั้งสองฝ่าย ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปจะไม่เห็นในขณะที่จอมมารทรงทอดพระเนตรลูกธนูโลกันตร์ได้อย่างชัดเจนด้วยจดจำได้เป็นอย่างดี “นั่นคือธนูสังหารของเทพศาสตราที่ทำหายไปเมื่อหนึ่งแสนปีก่อน เมื่อครั้งช่วยข้าทำสงครามรวมเผ่าปีศาจเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไม่ใช่หรือนี่ มาอยู่ในความครอบครองของคนผู้นี้ได้อย่างไร ดูท่าเทพศาสตราจะทำร่วงหล่นจากแดนสวรรค์ อาวุธคู่กายจึงตกลงมาที่ดินแดนนี้และอยู่ในมือของมนุษย์ผู้นั้น...”จอมมารเฟิงหยางรับสั่งออกมาเพียงแค่นั้นพลันเงียบงันลงทันใด ดวงเนตรของราชาปีศาจที่สงบนิ่งเมื่อครู่ที่ผ่านมาเริ่มแปรเปลี่ยนไปทันที เมื่อทรงนึกขึ้นได้ว่ายังมีอีกวิธีที่สามารถทำให้พระองค์ทุเลาจากอาการบาดเจ็บจากที่เป็นอยู่และอาจจะหายเป็นปลิดทิ้งไปเลยทีเดียว และยังจะทำให้ทรงมีพลังเวทย์เพิ่มขึ้นอีกด้วยและสิ่งนั้นก็คือธนูสังหารของเทพศาสตรา เพราะไอทิพย์และญาณตบะของเทพศาสตราที่นำมาสร้างอาวุธดังกล่าวขึ้นมานั้น เทียบเท่ากับการใช้ญาณตบะห้าหมื่นปีเลยทีเดียว เพียงพอที่จะทำให้ราชาปีศาจหายจากอาการบาดเจ็บที่เป็นอยู่มลายหายไปได้ทั้งหมด เมื่อพระวรกายหายสนิทแน่นอนว่าพลังเวทย์ของพระองค์จะหวนกลับคืนมาได้สามถึงสี่ส่วนและถ้ารวมที่มีอยู่แล้วหนึ่งส่วน อย่างน้อยมีพลังเวทย์สี่ถึงห้าส่วน เพียงเท่านี้ก็จะทำให้พระองค์สามารถส่งญาณจิตถึงดินแดนปีศาจและติดต่อกับเหวินกวาง พระสหายสนิทที่คอยดูแลดินแดนปีศาจแทนพระองค์มานานกว่าหนึ่งแสนปีได้เป็นผลสำเร็จ รอยแสยะยิ้มเหยียดปรากฏขึ้นบนพระพักตร์งดงามราวดั่งรูปสลัก พระเนตรลุกโชนดั่งไฟโลกันตร์จับจ้องอยู่ที่ร่างของเจ้าแคว้นคนงามที่กำลังง้างคันธนูสังหารของเทพศาสตราอยู่ในเวลานี้ ในขณะที่เจ้าแคว้นไท่หยวนทรงใช้กำลังภายในที่มีอยู่ทั้งหมดพร้อมเดินลมปราณ เปิดจุดพลังหยินของตัวเองจนเกิดลูกธนูโลกันตร์เล็งเป้าหมายไปที่บุรุษอาภรณ์ดำ “ถึงเวลาตายของเจ้าแล้วเจ้าคนชุดดำ! หลิวจินซาน! ชีวิตของเจ้าทั้งสองจะต้องเซ่นสังเวยดวงพระวิญญาณให้กับเสด็จพ่อเสด็จแม่ของข้า!”เจ้าแคว้นคนงามรับสั่งเต็มไปด้วยความเคียดแค้น พร้อมปล่อยลูกธนูโลกันตร์ออกไปอย่างรวดเร็ว ฟิ้วววววว!!!! ลูกธนูโลกันตร์ที่คนธรรมดาไม่สามารถเห็นด้วยตาเปล่าในขณะที่ถูกปล่อยจากคันธนูหยก ความว่างเปล่าที่พุ่งหลาวแหวกว่ายอากาศจากป้อมกำแพงยักษ์ตรงเข้าหาร่างสูงใหญ่ทะมึนด้วยความเร็วเหนือแสงอาทิตย์พาดผ่าน ก่อนจะปรากฏให้ทุกสายตาเห็นในเวลาต่อมา กลายเป็นธนูไฟโลกันตร์เต็มไปด้วยเปลวเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวหมายทำลายล้างทุกชีวิตของกองทัพต้าฮั่นให้พินาศกลายเป็นเถ้าธุลี เหวอออ!!! เสียงเอ็ดอึงดังออกมาจากผู้คนซึ่งล้วนเห็นเหตุการณ์ด้วยกันทุกสิ่ง เมื่อจู่ๆ ลูกธนูไฟโลกันตร์ก็ปรากฏให้เห็นกลางอากาศและกำลังพุ่งเข้าเสียบร่างสูงทะมึนของราชาปีศาจอย่างรวดเร็ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD