ตอนที่ 13 ผู้บัญชาการทัพคนใหม่

3631 Words
เมืองหลวงฉางอาน ภายในห้องทรงงาน ม้าเร็วจากกองทัพที่ถูกส่งไปตีแคว้นไท่หยวน วิ่งห้อตะบึงกลับฉางอานเพื่อรายงานสถานการณ์รบที่เกิดขึ้นทั้งหมด รวมไปถึงอาการบาดเจ็บสาหัสขององค์ไทจื่อที่ได้รับในครั้งนี้ จนไม่อาจทำทัพออกตีไท่หยวนได้อีกต่อไป รวมไปถึงข่าวการสวรรคตของเจ้าผู้ครองแคว้นไท่หยวนและฮองเฮาซือฉี ทำให้อู๋ฮ่าวเทียนรัชทายาทเพียงหนึ่งเดียวของทั้งสองพระองค์ขึ้นครองแคว้นสืบต่อไป สาสน์ด่วนจากชินอ๋องผู้เป็นพระอนุชาของฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ ใช้เวลาเพียงแค่ห้าวันก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงฉางอาน และถูกนำมาถวายตรงพระพักตร์ของฮ่องเต้แห่งต้าฮั่นองค์ปัจจุบัน และทันทีที่อ่านสาสน์จากกองทัพจบ “จินเอ๋อบาดเจ็บสาหัส อาการเป็นตายหรือนี่”สุรเสียงเต็มไปด้วยความกังวลกับข่าวสารที่เพิ่งได้ล่วงรู้อย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกันสีพระพักตร์นั้นเต็มไปด้วยความเคร่งเครียด จนไม่สามารถซ่อนเร้นสายตาจากผู้ถวายงานอย่างใกล้ชิดนั้นก็คือเหล่าเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสี่ ต่างพากันเดินทางมาเข้าเฝ้าหลังจากทรงออกว่าราชการในท้องพระโรงเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา “สาสน์ด่วนจากแนวหน้าที่ออกรบกับไท่หยวน ส่งข่าวขององค์ไทจื่อมาอย่างนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้นแล้วพระองค์ทรงเป็นอย่างไรบ้าง”เสียงกราบทูลถามของหนึ่งในเสนาบดีซึ่งเป็นที่ปรึกษาของฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ และยังมีศักดิ์เป็นพระญาติของทางฝ่ายฮองเฮาของฮ่องเต้ต้าฮั่น “ไทจื่อบาดเจ็บสาหัสด้วยฝีมือของอู๋ฮ่าวเทียน ไม่คาดคิดเลยว่ารัชทายาทไท่หยวนผู้นี้จะมีฝีมือในเชิงรบถึงเพียงนี้ สาสน์ด่วนแจ้งมาว่า อาการของไทจื่อไม่สู้ดีเท่าไรนัก จึงไม่มีผู้ใดสามารถนำทัพแทนได้ ดูท่าจะต้องแต่งตั้งผู้บัญชาการทัพคนใหม่สำหรับในการรบกับไท่หยวนครั้งนี้อย่างเร่งด่วนเสียแล้ว” ถ้อยรับสั่งของฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้สร้างความกังวลใจให้แก่เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในขณะนั้นไปตามๆ กันเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดฝ่าบาทจึงมีสีพระพักตร์กลัดกลุ้มเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ ในเมื่อชินอ๋องก็ทรงประทับอยู่ด้วยกับองค์ไทจื่อ สามารถขึ้นเป็นผู้บัญชาการทัพได้ทันทีโดยไม่ต้องรั้งรอให้ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการแต่งตั้งออกไปแม้แต่น้อย”ขุนนางใหญ่ผู้นั้นกราบทูลถามกลับไปอย่างสงสัย เฮ้อ!!! เสียงทอดถอนพระทัยดังออกมาทันทีครั้นได้ยินคำกราบทูล “ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีสิ! มีหรือที่ข้าจะต้องมานั่งขบคิดอยู่เช่นนี้”รับสั่งพร้อมทอดสายพระเนตรไปยังเสนาบดีชั้นผู้ใหญ่ทั้งสี่ “พวกเจ้าล่วงรู้หรือไม่ ว่าการรบกับไท่หยวนครั้งนี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด อู๋ฮ่าวเทียนเก่งกาจและมีฝีมือในการวางแผนรบจนสามารถต้านทัพต้าฮั่นที่มีกำลังมากกว่าเป็นเรือนแสนเอาไว้ได้นาน ไม่ว่าจะทำอย่างไรประตูเมืองของไท่หยวนก็ไม่สั่นคลอน ทัพต้าฮั่นไม่สามารถเข้าใกล้ประตูเมืองของไท่หยวนได้เลย”รับสั่งพลางถอนพระทัยออกมาเบาๆ ก่อนจะมีรับสั่งขึ้นมาอีก “แม้แต่ชินอ๋องยังมีสาสน์ลับมาบอกกับข้า ว่าไทจื่อถูกลูกธนูของอู๋ฮ่าวเทียน เข้าตำแหน่งที่จุดตายด้วยกันทั้งสิ้น แต่นับว่าสวรรค์ยังเข้าข้างต้าฮั่นที่บังเอิญพบคนผู้หนึ่ง จึงทำให้รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดแต่ก็ไม่สามารถบัญชาการทัพได้อีกต่อไป” รับสั่งของฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ทำให้บรรดาเสนาบดีทั้งสี่ต่างพากันนั่งขบคิดกันอย่างหนัก เมื่อสถานการณ์ไม่เป็นไปอย่างที่คิด “ชินอ๋องยังรายงานมาอีกว่า ด้วยฝีมือในเชิงยุทธ์และความปราดเปรื่องของรัชทายาทไท่หยวน ไม่สามารถเปรียบเทียบฝีมือและนำกองทัพเข้ายึดครองแคว้นได้ ด้วยเกรงว่าจะต้องสูญเสียกำลังทหารมากไปกว่านี้อีก เพราะการรบเมื่อห้าวันก่อนทั้งสองฝ่ายต่างเสียกำลังทหารไปแล้วหลายหมื่นนาย ทัพต้าฮั่นในเวลานี้มีกำลังทหารไม่ถึงห้าหมื่นนายเสียด้วยซ้ำ” หา!!! เสนาบดีทั้งสี่ต่างอุทานออกมาพร้อมกันครั้นได้ยินเช่นนั้น ไม่คาดคิดว่าการรบกับแคว้นไท่หยวนในครั้งนี้จะทำให้ทัพต้าฮั่นสูญเสียกำลังพลมากไปกว่าครึ่งเลยทีเดียว “อู๋ฮ่าวเทียนเก่งกาจสมคำเลื่องลือจริงๆ ดูท่าศึกครั้งนี้ทางฝ่ายต้าฮั่นประเมินไท่หยวนต่ำเกินไป”ฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้รับสั่งพึมพำพลางหลับพระเนตรลงเพื่อใช้ความคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ท่ามกลางสายตาของขุนนางทั้งสี่ เพียงครู่เปลือกพระเนตรค่อยๆ เปิดขึ้นพร้อมมีรับสั่ง “ชินอ๋องรายงานมาในสาสน์ว่า บุรุษอาภรณ์ดำผู้ที่ช่วยชีวิตไทจื่อเอาไว้ มีวิชายุทธ์ยอดเยี่ยมยิ่งนักเพียงแค่ไม่ถึงสามกระบวนท่าก็สามารถเอาชนะแม่ทัพใหญ่ของไท่หยวนลงได้อย่างง่ายด่าย อีกทั้งคนผู้นี้ยังมีลักษณะดุจเทพสวรรค์ในตำนาน เป็นที่น่าเกรงขามและน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก แม้แต่เหล่าทหารของข้ายังพรั่นพรึงต่อคนผู้นั้นกันไปหมด เมื่อเป็นเช่นนี้การรับมือกับอู๋ฮ่าวเทียนไม่ยากกว่าที่คิดอีกต่อไปแล้ว”รับสั่งพร้อมกวาดสายพระเนตรไปทั่วห้องทรงงานก่อนจะหยุดลงที่เสนาบดีทั้งสี่ “พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร ข้าอยากฟังว่ามีสิ่งใดที่จะสามารถแก้ไขสถานการณ์ในขณะนี้ได้”รับสั่งถามกลับไป เหล่าเสนาบดีทั้งสี่ต่างพร้อมใจหันกลับมามองหน้ากันครั้นได้ยินองค์ฮ่องเต้รับสั่งถามกลับมาเช่นนั้น ในขณะเดียวกันหนึ่งในเสนาบดีทั้งสี่เมื่อได้ยินรายงานของชินอ๋อง กล่าวถึงบุรุษอาภรณ์ดำซึ่งมีลักษณะของเทพสวรรค์ ดวงตาที่เคยสงบนิ่งเกิดประกายวาววับขึ้นมาทันทีพร้อมเสียงของเสนาบดีเจิ้งหู่ดังขึ้น “กระหม่อมขอบังอาจเสนอข้อชี้แนะพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”กล่าวพร้อมร่างสันทัดรีบลุกขึ้นจากตั่งซึ่งเป็นที่นั่งของตัวเอง ก่อนจะเดินมาหยุดลงตรงพระพักตร์พร้อมทรุดกายลงนั่งคุกเข่า “เจ้ามีข้อเสนออะไรก็จงว่ามาเจิ้งหู่ ข้าคิดว่าด้วยสติปัญญาและความปราดเปรื่องของเจ้าน่าจะมีข้อเสนอดีๆ ให้แก่ข้าได้”รับสั่งถามเสนาบดีใหญ่ที่ทรงไว้วางพระทัยมากที่สุด ครั้นเจิ้งหู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น สองมือยกขึ้นพร้อมประสานเข้าหากันอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาททรงรับสั่งหนักเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแค่มีข้อคิดเห็นตามสมควรกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น หากทรงถามความเห็น กระหม่อมก็อยากเสนอแผนการเลือกใช้คนให้เป็นประโยชน์”เสนาบดีใหญ่กราบทูลกลับไป “เลือกใช้คนให้เป็นประโยชน์อย่างนั้นเหรอ”รับสั่งสุรเสียงพึมพำทวนประโยคดังกล่าวออกมา “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตามรายงานของชินอ๋องกล่าวถึงบุรุษอาภรณ์ดำ ซึ่งเป็นผู้ช่วยชีวิตองค์ไทจื่อเอาไว้ หากคนผู้นี้มีลักษณะของเทพสวรรค์ แน่นอนว่าจะต้องมีความน่าเกรงขามเป็นที่พรั่นพรึงแก่ผู้คนที่ได้พบ ย่อมสามารถสั่งผู้คนมากมายให้อยู่กำมือได้ อีกทั้งยากยิ่งนักที่จะมีบุรุษลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้น ในเมื่อขณะนี้ภายในทัพต้าฮั่นมีคนผู้นี้อยู่นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดียิ่ง แคว้นไท่หยวนจะต้องตกเป็นของต้าฮั่นอย่างแน่นอน หากบุรุษอาภรณ์ดำเป็นผู้บัญชาการทัพในครั้งนี้พ่ะย่ะค่ะ” “นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าบุรุษอาภรณ์ดำซึ่งมีลักษณะของชาวเทพสวรรค์ในตำนาน คู่ควรที่อย่างยิ่งจะให้ข้าแต่งตั้งคนผู้นั้นขึ้นเป็นผู้บัญชาการทัพมากเสียยิ่งกว่าแม่ทัพหรือขุนพลคนอื่นๆ ของต้าฮั่นอย่างนั้นหรอกเหรอ”ฮั่นจิ้งตี้รับสั่งถามกลับไปอย่างสงสัย “พ่ะย่ะค่ะ!”เจิ้งหู่ตอบกลับไปเสียงหนักแน่น ฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ถึงกับชะงักงัน เมื่อได้ยินเสนาบดีคู่พระทัยซึ่งพระองค์ไว้วางพระทัยมากที่สุด ยืนยันคำตอบของตนกลับมาเช่นนั้น ราวกับว่ามีความเชื่อมั่นอะไรบางอย่าง “ทำไม!”รับสั่งถามกลับไปเพียงสั้นๆ ด้วยความอยากรู้ และจากคำถามดังกล่าวทำให้เจิ้งหู่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองพระพักตร์เจ้าเหนือหัวของตน ที่ถวายการรับใช้ด้วยความจงรักภักดีมาโดยตลอด ก่อนจะตัดสินใจกล่าวบางอย่างออกไปตามตรง “กระหม่อมขอกราบทูลอย่างไม่ปิดบังแต่อย่างใดพ่ะย่ะค่ะ เมื่อห้าวันก่อนในขณะที่กำลังนั่งคำนวณวิถีโคจรของดวงดาวอยู่ในขณะนั้น กระหม่อมได้เห็นดวงดาวสองดวง ร่วงหล่นมาจากวิถีของแดนสวรรค์ลงมายังทิศที่ตั้งของแคว้นไท่หยวนซึ่งทัพต้าฮั่นกำลังโจมตีเข้ายึดครอง ทำให้กระหม่อมจดจำคำทำนายของราชวงศ์โจวโบราณขึ้นมาได้ทันที ซึ่งตำนานนี้ฮ่องเต้ทุกพระองค์ เจ้าผู้ครองแคว้นน้อยใหญ่ในอดีตต่างล่วงรู้กันทั้งสิ้นไม่เว้นแม้กระทั่งฝ่าบาท” คำกราบทูลของเสนาบดีเจิ้งหู่ทำไห้ฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ทรงย้อนคิดถึงคำทำนายของราชวงศ์โจวซึ่งเป็นตำนานโบราณ ได้ทำนายเหตุการณ์บางอย่างล่วงหน้าเอาไว้เมื่อพันปีก่อน “คำทำนายของราชวงศ์โจวที่ว่า เมื่อใดที่ท้องฟ้าเบื้องบนปรากฏดวงดาวจากแดนสวรรค์ตกมายังเมืองมนุษย์ นั้นหมายถึงเทพสงครามได้ปรากฏกายขึ้นแล้วอย่างนั้นนะหรอกเหรอ”เสียงของมหาเสนาบดีใหญ่ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายของฮองเฮาฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ กล่าวสวนแทรกขึ้นมากลางคันทันที พลางเปล่งเสียงหัวเราะด้วยความขบขัน “ไม่คาดคิดว่าอดีตนักปราชญ์ที่ขึ้นชื่อได้ว่าปราดเปรื่องที่สุดของต้าฮั่น จะมีความเชื่องมงายไปกับตำนานโบราณ และนิทานหลอกเด็กเช่นนี้ได้ ช่างน่าขบขันสิ้นดียิ่งนักเจิ้งหู่ แน่ใจแล้วหรือว่านี่คือความคิดอันชาญฉลาดของเจ้าแล้ว มิหนำซ้ำยังหาญกล้ากราบทูลถวายคำแนะนำแก่ฝ่าบาท คิดว่าจะทรงเชื่อเรื่องงมงายเช่นนี้อย่างนั้นเหรอ!!!”กล่าวพร้อมตะเบ็งเสียงหัวเราะออกมาจนสุดเสียงด้วยความสะใจ ไม่คาดคิดว่าเจิ้งหู่จะพ่ายแพ้ให้แก่ตัวเองเพราะความเชื่ออันงมงายเช่นนี้ “เงียบ!!!!”สุรเสียงของฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ตวาดก้องสวนขึ้นมา ครั้นทรงทอดพระเนตรพี่ชายของฮองเฮาแสดงท่าทีเช่นนั้นออกมา พระพักตร์หันกลับไปทางมหาเสนาบดีลู่คัง ซึ่งถือได้ว่ามีตำแหน่งสูงสุดเหนือกว่าขุนนางทั้งสามที่กำลังนั่งอยู่ในห้องทรงงานของพระองค์ในเวลานี้ สายพระเนตรเฝ้าจับจ้องอยู่แต่ที่ใบหน้าของมหาเสนาบดีใหญ่ผู้นั้นเขม็ง จนอีกฝ่ายต้องรีบเงียบปากลงอย่างทันทีทันใด “ข้าให้เจ้าแสดงความคิดเห็นได้แล้วอย่างนั้นเหรอลู่คัง ยังไม่ทันได้คำตอบจากข้าเหตุใดจึงสรุปแต่เพียงผู้เดียวว่าสิ่งที่เจิ้งหู่กล่าวออกมาเมื่อครู่ข้าจะรับฟังหรือไม่”รับสั่งถามมหาเสนาบดีใหญ่กลับไป และถ้อยรับสั่งดังกล่าวเล่นเอาลู่คังถึงกับดวงตาเบิกกว้างขึ้นมาทันทีครั้นได้ยินเช่นนั้น “ฝ่าบาทอย่าบอกนะว่าทรงเชื่อคำทำนายโบราณของราชวงศ์โจวที่เป็นตำนานเล่าขานมานานนับพันปีเช่นนั้น”ลู่คังรีบทูลถามกลับไปอย่างรวดเร็ว และนั่นทำให้พระพักตร์ของฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ค่อยๆ แสยะยิ้มเหยียดออกมาอย่างช้าๆ เมื่อได้ยินคำถามเช่นนั้น “ข้าจะเชื่อหรือไม่แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย สิ่งเดียวที่ข้าต้องการคือแคว้นไท่หยวนต้องล่มสลายและตกอยู่ในกำมือของต้าฮั่นให้จงได้ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นอย่างไรหรือจะถูกสวรรค์เบื้องบนส่งมาจริงดั่งคำทำนายของต้าโจวในอดีต ข้าก็จะใช้คนผู้นั้นเพื่อทำทุกอย่างให้ไท่หยวนอยู่ภายใต้การปกครองของต้าฮั่น หากปล่อยไปนานวันเข้าไท่หยวนจะกลายเป็นแคว้นที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่จะสามารถควบคุมได้อย่างแน่นอน”รับสั่งออกไปราวกับว่าทรงตัดสินใจได้อย่างเห็นได้ชัด “เจิ้งหู่!”รับสั่งหาเสนาบดีคนสนิท “กระหม่อมอยู่นี้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”เจิ้งหู่ขานรับอย่างรวดเร็ว “เจ้าจงคัดเลือกผู้ที่ไว้วางใจที่สุด นำราชโองการของข้าไปยังค่ายทหารของไทจื่อแต่งตั้งให้บุรุษอาภรณ์ดำขึ้นเป็นผู้บัญชาการทัพในการทำสงครามกับไท่หยวนในครั้งนี้แทนองค์ไทจื่อ แล้วจงรีบจัดกำลังทหารถวายอารักขานำไทจื่อกลับมารักษาที่เมืองหลวงอย่างเร่งด่วน หากสามารถยึดไท่หยวนได้เป็นผลสำเร็จ ข้าจะตบรางวัลให้คนผู้นั้นอย่างงามตามแต่จะร้องขอ” ทันทีที่เหล่าเสนาบดีได้ยินถ้อยรับสั่งขององค์ฮ่องเต้เช่นนั้น ต่างพากันตกใจไปตามๆ กันยกเว้นเจิ้งหู่ที่ยังคงนั่งสงบนิ่งด้วยเพราะคาดเดาความคิดขององค์ฮ่องเต้ได้เท่าทันว่าพระองค์ทรงคิดอะไรอยู่ในพระทัย “ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ตบรางวัลตามแต่จะเห็นสมควรดีกว่าที่จะให้คนผู้นั้นร้องขอความดีความชอบจากพระองค์ เกิดต้องการราชบัลลังก์ขึ้นมาจะทรงทำเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ”เสียงของลู่คังเป็นฝ่ายกล่าวคำทัดทาน และนั่นทำให้ฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความขบขันขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ท่ามกลางความแปลกใจของเหล่าเสนาบดีด้วยกันที่อยู่ในห้องทรงงานด้วยกันกับพระองค์ในเวลานั้น “ในที่สุดข้าก็เพิ่งล่วงรู้เอาวันนี้เอง ว่าเจ้าโง่กว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากยิ่งนักลู่คัง ความฉลาดของเจ้าเลือนหายไปไหนหมด ดูท่าเสียงเล่าลือที่เข้ามาถึงหูของข้าจะเป็นความจริงเสียแล้วกระมัง ว่าแท้จริงแล้วความคิดหรือแผนการอันแยบยลต่างๆ ที่เคยเสนอต่อข้านั้นไม่ได้ออกมาจากความคิดของเจ้าแต่เป็นของน้องสาวเจ้าและยังเป็นฮองเฮาของข้าอีก! ล่วงรู้หรือไม่ว่าวังหลังพยายามก้าวก่ายงานราชกิจมีโทษเช่นไร!!!”ประโยคสุดท้ายสุรเสียงตวาดดังกระหึ่มไปทั่วห้องทรงงาน ลู่คังรีบลุกขึ้นจากตั่งที่นั่งของตัวเอง เดินตรงมายังตรงหน้าโต๊ะทรงงานพร้อมทรุดกายลงนั่งคุกเข่าตรงพระพักตร์รีบก้มคำนับถวายฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้อย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาททรงระงับความพิโรธด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขลาดเขลายิ่งนักที่กล่าวถ้อยวาจาออกไปโดยไม่ทันได้ยั้งคิด แต่กระหม่อมขอยืนยันว่าฮองเฮาไม่เคยก้าวก่ายงานราชกิจของฝ่าบาทแม้แต่น้อย ไม่เคยเลยพ่ะย่ะค่ะแม้แต่ความคิดก็ไม่มี กระหม่อมกล้าเอาหัวเป็นประกัน”ลู่คังรีบปกป้องน้องสาวของตนอย่างสุดกำลัง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วรับสั่งของฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้หาใช่เลื่อนลอยแต่กลับเป็นความจริงทุกประการ “หึ! เช่นนั้นรึลู่คัง ในเมื่อเจ้ากล้ารับประกันฮองเฮาเช่นนี้ข้าก็จะลองเอาไปคิดทบทวน แต่จะต้านทานเสียงเล่าลือได้อีกสักกี่มากน้อยอย่างนั้นเหรอ วังหลังควรมีบทบาทเพียงแค่อำนาจที่พึงมีอย่าได้ริอ่านก้าวก่ายวังหน้าเป็นอันขาด แม้ว่าสายสกุลลุหวี่ของเจ้าจะสืบเชื้อสายมาจากลุหวี่ไทโฮ่วก็ตามแต่ก็ใช่ว่าจะมีอำนาจเหนือไปกว่าสกุลหลิวของข้าไปได้นะ ลุหวี่ เหอ” ฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้รับสั่งชื่อแซ่จริงของมหาเสนาบดีใหญ่ออกมาอย่างชัดเจน นั้นหมายถึงว่ากำลังสื่อสารให้อีกฝ่ายเจียมตนอย่าผยองเพราะอำนาจที่มีอยู่ ลู่คังถึงกับเหงื่อผุดพรายปรากฏขึ้นอยู่บนใบหน้าขึ้นมาทันที เมื่อได้ยินรับสั่งชื่อแซ่เต็มของตนออกมาเช่นนั้น เพราะตามปกติแล้วจะทรงมีรับสั่งชื่อรองว่า ลู่คัง มาโดยตลอด และนั้นหมายถึงกำลังส่งข้อความบางอย่างไปให้ฮองเฮาของพระองค์ด้วยเช่นกัน ก่อนจะได้ยินสุรเสียงรับสั่งดังขึ้น “เอาละวันนี้พวกเจ้าต่างพากันเหน็ดเหนื่อยไปกับราชกิจของข้ามาทั้งวัน กลับไปพักผ่อนกันได้แล้ว เจิ้งหู่เจ้าอยู่ก่อนข้ามีอะไรจะถาม”รับสั่งพร้อมยกพระหัตถ์โบกไปมาไล่เสนาบดีคนอื่นๆ ออกไปจากห้องทรงงาน เหล่าเสนาบดีต่างพากันรีบลุกออกจากตั่งที่นั่งของตัวเองทันทีที่ได้ยินรับสั่งเช่นนั้น พร้อมร่างใหญ่ของลู่คังก็รีบถอยร่นออกไปจากตรงพระพักตร์ ก้าวเดินถอยหลังออกไปจากห้องทรงงานจนเหลือเพียง เจิ้งหู่กับฮั่นจิ้งตี้เพียงเท่านั้น “เจ้ามั่นใจมากน้อยแค่ไหนกับการปรากฏตัวของบุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้เจิ้งหู่”รับสั่งถามขึ้นมาทันใดเมื่ออยู่เพียงลำพัง ร่างสันทัดซึ่งกำลังนั่งอยู่ตรงพระพักตร์ในขณะนั้น ก้มลงถวายคำนับลงกับพื้นพระตำหนักห้องทรงงานพร้อมเอ่ยกราบทูล “กระหม่อมขอถวายหัวของตัวเองเพื่อรองรับโทษทัณฑ์ที่จะเกิดขึ้น หากไม่เป็นไปดั่งที่คิดพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทจะสามารถยึดครองแคว้นไท่หยวนได้จะต้องเป็นบุรุษอาภรณ์ดำผู้นี้เท่านั้น เพราะขึ้นชื่อว่าเทพสงคราม ทั่วทุกสารทิศไม่อาจต้านทานอำนาจได้แต่อย่างใด”เจิ้งหู่กราบทูลกลับไปด้วยความมั่นใจอย่างที่สุด “ดี! ในเมื่อเจ้ากล้าเอาหัวเป็นประกันถึงเพียงนี้ ข้าจะเชื่อเจ้า เพราะหากเป็นจริงดั่งคำทำนายของราชวงศ์โจวในอดีต ว่าบุรุษอาภรณ์ดำแท้จริงคือเทพสงครามที่สวรรค์ส่งมาช่วยข้า เช่นนั้นแล้วไม่ว่าแคว้นใดที่ข้าต้องการหรือเริ่มต่อต้านต้าฮั่นก็ไม่ต้องทำให้ข้าต้องนั่งวิตกอีกต่อไป รัชสมัยของข้าจะต้องถูกบันทึกเอาไว้ถึงคนรุ่นหลังว่ายิ่งใหญ่มากมายแค่ไหน”รับสั่งพร้อมเปล่งเสียงพระสรวลออกมาอย่างพึงพอพระทัยกับสิ่งที่ทรงคาดหวังกับผลที่จะได้รับในภายภาคหน้า ในขณะนี้เจิ้งหู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะต้องกราบทูลบางอย่างออกไปในสิ่งที่ล่วงรู้มา “แต่ฝ่าบาทอย่าทรงหลงลืมว่า หากสวรรค์ส่งเทพสงครามมาจริง นั้นก็หมายความว่าไม่ได้อยู่กับฝ่าบาทตลอดไปและอยู่คู่กับราชวงศ์ฮั่นตลอดกาลนะพ่ะย่ะค่ะ ทุกอย่างย่อมมีคำว่าเวลาและสิ้นสุดเสมอ หากบุรุษอาภรณ์ดำผู้นั้นเป็นมนุษย์ดั่งเช่นผู้คนทั่วไป แน่นอนว่าอายุขัยเป็นตัวกำหนด แต่ยิ่งถ้าไม่ใช่มนุษย์เวลาสิ้นสุดมาเร็วกว่าที่ทรงคิดเอาไว้มากยิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ” คำกราบทูลของเจิ้งหู่ทำให้ฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้เกิดความงุนงงสงสัยขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ข้าไม่เข้าใจ! เจ้าต้องการบอกอะไรกับข้ากันแน่ บอกมาเลยดีกว่าข้าไม่อยากเสียเวลาขบคิด”รับสั่งถามกลับไปตามตรง เจิ้งหู่จำต้องเปิดปากอธิบายในสิ่งที่ได้พบเห็นมากับตัวเอง เพื่อให้ฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ทรงเข้าพระทัย “ดวงดาวที่ตกลงมาจากแดนสวรรค์มีด้วยกันถึงสองดวง ซึ่งกระหม่อมไม่รู้ว่านอกจากบุรุษอาภรณ์ดำที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวในระหว่างการทำสงครามระหว่างต้าฮั่นและไท่หยวนในครั้งนี้ จะมีอะไรนอกเหนือไปจากนี้หรือไม่ แต่สิ่งหนึ่งที่กระหม่อมมั่นใจยิ่งนักนั่นก็คือ แคว้นไท่หยวนจะอยู่ในกำมือต้าฮั่นหรือไม่ขึ้นอยู่กับหนึ่งในดวงดาวนั้นพ่ะย่ะค่ะ หาไม่แล้วสิ่งที่ต้าฮั่นจะได้รับกลับเป็นตรงกันข้ามทันที อู๋ฮ่าวเทียนจากไท่หยวนจะได้รับการยกย่อง มีชื่อกระฉ่อนไปทั่วทุกสารทิศและจะมีชัยเหนือต้าฮั่น” ปัง!!! พระหัตถ์ใหญ่ตบลงบนโต๊ะทรงงานเสียงดังกระหึ่ม “ถึงเพียงนั้นเชียวเหรอ”รับสั่งถามกลับไปทันใดครั้นได้ยินเช่นนั้น “พ่ะย่ะค่ะ... ด้วยเหตุนี้กระหม่อมขออาสานำราชโองการของฝ่าบาท ออกเดินทางไปยังแคว้นไท่หยวนเพื่อแต่งตั้งผู้บัญชาการทัพคนใหม่ในครั้งนี้ กระหม่อมจะต้องได้ไปเห็นด้วยตาของตัวเองจึงจะสามารถบอกได้ว่าคนผู้นั้นเป็นเช่นไร จะเป็นไปตามลักษณะของเทพสวรรค์ที่บรรพชนของกระหม่อมได้จดบันทึกเอาไว้หรือไม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อได้ยินคำกราบทูลเช่นนั้นฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้พยักพระพักตร์ขึ้นลงติดต่อกัน “แต่เจ้าไม่มีวิชายุทธ์คู่กาย อยู่ในสนามรบเช่นนั้นการที่จะเอาตัวรอดจากคมหอกและดาบ ดูท่าต้องลำบากอยู่ไม่ใช่น้อย แต่ก็เอาเถอะถึงแม้ว่าข้าจะพยายามรั้งเจ้าไว้ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา เช่นนั้นข้าก็อนุญาต”รับสั่งโดยไม่ต้องครุ่นคิดแม้แต่น้อย “ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมขอทูลลาจะรีบกลับจวนเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางตามพระบัญชาอย่างเร่งด่วน”เจิ้งหู่กราบทูลพร้อมถวายคำนับก่อนจะถอยร่นออกไปจากออกห้องทรงงาน ท่ามกลางสายพระเนตรของฮั่นจิ้งตี้ฮ่องเต้ “บุรุษอาภรณ์ดำ! เทพสงครามอย่างนั้นเหรอ! นี่ข้ามาถึงจุดที่ต้องฝากความหวังเอาไว้กับคำทำนายและตำนานปรัมปราในอดีตแล้วหรือนี่”สุรเสียงรับสั่งพึมพำพลางครุ่นคิดตาม
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD