ตอนที่ 9
“แม่คงหลาบจำหรอกป้า” รุ้งตะวันทำหน้าเหนื่อยหน่ายเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มารดาโดนตำรวจจับ แต่จะให้เธอปล่อยให้แม่นอนอยู่ในคุกอย่างที่ป้าผึ้งบอกสักคืนสองคืนเธอก็ทำไม่ได้หรอก
“มันก็จริงของเอ็ง ก็แล้วแต่เอ็งแล้วกันว่าจะไปประกันตัววันนี้หรือเปล่า ป้าโทรมาบอกแค่นี้แหละ”
“จ้ะป้า” พอกดวางสายแล้วเธอก็เอาแต่จ้องโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเครียดๆ เลยทำให้คนที่เพิ่งเดินออกมาจากห้องครัวทำหน้าขมวดยุ่งไปด้วย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ หน้าตาดูเครียดๆ บอกผมได้ไหม”
“แม่ฉันโดนตำรวจจับ”
“ข้อหาอะไรครับ”
“เอาไว้ฉันจะเล่าให้ฟังทีหลังแล้วกันนะคะ ตอนนี้ฉันขอไปหาแม่ที่โรงพักก่อน” ป่านนี้แม่คงบ่นเธอไปหลายสิบยกแล้วที่ไม่ยอมไปประกันตัว
“รุ้งตะวัน ให้ผมไปด้วย”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณยังไม่หายดีไม่ควรออกไปข้างนอก” รุ้งตะวันปฏิเสธแบบไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรอง
“ผมหายแล้ว คุณดูสิ ผมปกติทุกอย่าง”
“ฉันรู้ว่าคุณปกติ แต่ฉัน…” ความลำบากใจฉายชัดบนหน้า อีกทั้งก็เสียเวลาด้วยที่ต้องโต้เถียงกันไปมาอยู่แบบนี้
“ขอผมไปด้วยนะครับ” เอโด้ยังตื๊อจะไปด้วยให้ได้
“คุณนี่ทำตัวเหมือนเด็กเลย เอ้า! ไปก็ไป แต่ว่าคุณจะต้องใส่หมวกใส่แว่น โอเค้!” รุ้งตะวันเดินไปหยิบแว่นตาและหมวกมายื่นให้ โชคดีที่เขาไม่ได้โกนหนวดออก มันคงพอจะทำให้ใครจำไม่ได้บ้าง
ขับรถมาชั่วโมงกว่ารุ้งตะวันและเอโด้ก็มาถึงโรงพัก ที่ตอนนี้คนโดนจับได้ทยอยกันกลับไปบ้างแล้วเพราะมีญาติพี่น้องมาประกันตัวออกไป
“นังรุ้ง! แม่อยู่นี่” อรอนงค์เรียกลูกสาวเสียงดังหลังจากชะเง้อคอมองหาอยู่นาน
“เป็นยังไงบ้างแม่” คนเป็นลูกเอ่ยถามทั้งที่รู้ดีว่าอยู่ในห้องขังมันไม่ได้สะดวกสบายอะไรเลย แต่ทั้งที่รู้ว่าไม่สะดวกสบายแม่ของเธอก็ไม่เคยเข็ด
“ทำไมแกมาเอาป่านนี้ล่ะนังรุ้ง มัวแต่ทำอะไรอยู่ หรือว่านอนจนเพลินเลยไม่สนใจว่าแม่ตัวเองจะเป็นตายยังไง แกนี่...มันน่าตีจริงๆ เลย ปล่อยให้แม่นอนตากยุงอยู่ได้ทั้งคืน”
“ก็รุ้งเพิ่งรู้เมื่อเช้าเองว่าแม่โดนจับ”
“นังผึ้งเพิ่งโทรบอกแกละสิ นังผึ้งนะนังผึ้ง กลับไปได้แม่จะด่าให้ได้ยินไปสามบ้านแปดบ้านเลย” พูดแล้วก็อดเคืองเพื่อนบ้านไม่ได้ ทำไมไม่ยอมบอกลูกสาวของตนให้เร็วกว่านี้
“แม่อย่าไปโทษป้าผึ้งเลย ว่าแต่แม่เถอะ ไหนบอกยังไม่หายแล้วออกไปเล่นไพ่ทำไม แม่นะแม่ ฉันเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าให้ห่วงสุขภาพของตัวเองบ้าง ไม่สบายยังจะลากสังขารไปเล่นอีก แล้วเป็นไงล่ะโดนตำรวจจับอีกรอบเลย”
“ให้มันน้อยๆ หน่อยนังรุ้ง ฉันเป็นแม่นะโว้ยไม่ใช่ลูก แกไม่ต้องมาสั่งสอน”
“สั่งสอนที่ไหนล่ะแม่ ฉันแค่พูดให้ฟัง” คนเป็นลูกทำหน้าง้ำใส่
“แกนี่มันขี้บ่นจริงๆ เลยนะนังรุ้ง” คนเป็นแม่ทำท่าฮึดฮัดกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง ก่อนจะมานึกได้ว่าลูกสาวจับมือถือแขนผู้ชายมาด้วย
“แม่ แม่มองอะไรหาเหรอ” รุ้งตะวันหันหลับไปมองบ้างแต่ก็ไม่เห็นมีคนรู้จักสักคน
“มองฝรั่งคนนี้ไง ฉันเห็นนะว่าแกจับมือถือแขนมันมาด้วย ผัวแกหรือไงนังรุ้ง” ทั้งที่ยังไม่รู้แน่ชัดว่าใช่จริงหรือไม่แต่อรอนงค์ก็ยิ้มแก้มปริ ที่ลูกสาวมีสามีเป็นตัวเป็นตนเหมือนลูกสาวบ้านอื่น เพราะตอนนี้ใครๆ ต่างก็นินทาว่าลูกสาวตนเป็นเมียน้อยเมียเก็บอาเสี่ย
“เดี๋ยวฉันไปจ่ายค่าประกันตัวก่อนนะแม่ เราจะได้กลับบ้านกัน” คนเป็นลูกหมุนตัวเดินออกมาทันทีและจับแขนคนตัวโตเดินออกมาให้ห่างมารดาด้วย ก่อนจะกระซิบสั่งให้ยืนรออยู่แถวนี้แล้วถ้าแม่เรียกก็ห้ามหันไป ซึ่งเอโด้ก็ทำตามอย่างว่าง่ายแม้จะได้ยินเสียงเรียกว่าพ่อฝรั่งๆ หันทางมานี้หน่อยดังเป็นระยะ
ราวครึ่งชั่วโมงทั้งสามก็ออกจากโรงพักโดยที่เธอก็พามารดาไปแวะทานอาหารก่อนแล้วจึงพาไปส่งบ้าน และพอลงจากรถพร้อมกับหนุ่มฝรั่งร่างยักษ์ เธอก็ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนในละแวกนั้นและก็มีการซุบซิบกัน แล้วไม่ต้องเดาเลยว่าชาวบ้านซุบซิบอะไรกัน
“บ้านคนจนแบบนี้นั่งได้ไหมล่ะพ่อฝรั่ง” เมื่อเปิดประตูบ้านเข้ามาแล้วอรอนงค์ก็หันมาถามชายหนุ่มที่กำลังมองสำรวจบ้านเผื่อจะจดจำอะไรได้บ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ไม่คุ้นเคยกับที่นี่
“ได้ครับ บ้านน่าอยู่มากครับ” พูดจบก็เดินไปนั่งบนโซฟาหวาย
“ถ้างั้นก็ตามสบายเลย เดี๋ยวแม่ไปอาบน้ำแล้วพักผ่อนซะหน่อย” อรอนงค์หันไปพยักพเยิดกับลูกสาวให้เดินตามไปด้วย กระทั่งได้อยู่กันตามลำพังในห้องนอนของผู้เป็นแม่ รุ้งตะวันก็โดนมารดาจ้องมองตาไม่กะพริบ
“แม่จะมองฉันอีกนานไหมเนี่ย ถ้าอีกนาน ฉันจะได้ไปนั่งให้มอง” คนเป็นลูกแสร้งทำหน้าหงุดหงิด เพราะไม่อยากให้มารดาซักไซ้เรื่องที่เธอพาฝรั่งมาด้วย
“นังรุ้ง แกรู้ใช่ไหมว่าคนในซอยบ้านเรามันเม้าท์ว่าแกเป็นเมียน้อยเมียเก็บของเสี่ย”
“ก็รู้” รุ้งตะวันทำหน้าเบื่อหน่าย
“แล้วแกจะทำยังไง แต่จะบอกให้ว่าตอนนี้ฉันขี้เกียจไปด่าไอ้พวกปากหอยปากปูแล้วนะ” อรอนงค์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เพราะเบื่อหน่ายปากชาวบ้านเต็มทน ที่ก็คิดว่าจะไม่สนใจแล้วแต่พอได้ยินมันก็อารมณ์ขึ้นทุกที
“แล้วแม่จะไปสนใจทำไมล่ะ ในเมื่อลูกของแม่ไม่ได้เป็นอย่างที่ชาวบ้านพูด” ความจริงแล้วเธอเป็นห่วงความรู้สึกของท่านมากๆ แต่จะไปห้ามปากคนพูดก็คงทำไม่ได้
“ฉันก็ไม่อยากจะไปสนพวกมันหรอก แต่พอได้ยินแล้วของมันขึ้น”
“ของขึ้นบ่อยๆ เดี๋ยวก็เป็นความดันหรอกแม่” รุ้งตะวันพูดติดตลกเพื่อให้มารดาสบายใจ
เผียะ!
“แกแช่งฉันหรือไง นังรุ้ง!”
“เจ็บนะแม่” โอดครวญหน้าตาเหยเกก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากห้อง เพราะตอนนี้เธอยังไม่อยากตอบคำถามมารดาเรื่องหนุ่มฝรั่งที่แม่ของเธอชมมาตลอดทางเลยว่าหล่อเหมือนพระเอกหนัง
“นังรุ้ง! แกจะไปไหน” เสียงของมารดาทำให้คนเป็นลูกชะงักปลายเท้า
“ก็แม่หมดเรื่องจะคุยแล้วไม่ใช่เหรอ” คนเป็นลูกยิ้มหน้าเจื่อนๆ
“คิดจะหนีเหรอแก กลับมานี่เลย กลับมาบอกฉันก่อนว่าแกกับพ่อฝรั่งเป็นผัวเมียกันแล้วใช่ไหม”
“พูดอะไรน่ะแม่ ฉันกับเขาเป็นแค่เพื่อนกัน” รุ้งตะวันบอกเสียงอุบอิบ
“เพื่อนหรือผัว แกเอาให้แน่ๆ แล้วอย่าคิดปิดบังฉันนะนังรุ้ง ถ้ารู้ทีหลังแม่จะด่าให้” คนเป็นแม่คาดคั้น พลางจับแขนลูกสาวไม่ยอมปล่อย
“แล้วแม่ไม่โกรธเหรอ ที่ฉันอยู่ก่อนแต่ง”
“แกโตจนรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว ฉันจะไปว่าอะไรแกล่ะ แต่ฉันขอห้ามว่าแกอย่าไปเป็นเมียน้อยเมียเก็บใครเด็ดขาด เพราะลูกผู้หญิงอย่างเรา ถ้าไม่ได้เป็นหนึ่งก็อย่าไปมีมันเลยผัวเนี่ย!”
“จ้าแม่” พูดจบก็เข้าไปกอดประจบก่อนจะพยักหน้ายอมรับว่าพ่อฝรั่งเป็นสามีเมื่อมารดาวกกลับมาถาม ส่วนคนเป็นแม่ก็สอนให้ลูกสาวดูแลเอาใจใส่สามีให้ดีจะได้อยู่กันไปจนแก่เฒ่า
“ว่าแต่ผัวแกชื่ออะไรนะนังรุ้ง เมื่อกี้ฟังไม่ถนัด” เพราะมัวแต่ดีใจเลยฟังชื่อลูกเขยไม่ชัด
“ชื่อ...ชื่อหม่ำจ้ะแม่” รุ้งตะวันอึกอักครู่หนึ่งก่อนจะตอบมารดา
“มันก็เหมาะดี เพราะผัวแกคงหล่อมากกว่านี้แน่ถ้าโกนหนวดโกนเคราออก แต่ผัวหล่อๆ ก็ไม่ดีตรงทีอาจจะมีชะนีหน้าด้านมาแย่ง แกต้องระวังเอาไว้บ้างล่ะ”
“รุ้งจะระวังจ้ะแม่” คนเป็นลูกขานรับด้วยท่าทีกระอักกระอ่วน ก่อนจะเดินออกจากห้องเมื่อมารดาบอกจะอาบน้ำนอนแล้วไล่ให้เธอกลับกันไปได้แล้ว