ตอนที่ 2
“ฉันจะขึ้นคานหรือลงคาน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขาล่ะ” รุ้งตะวันถลึงตาใส่เพื่อนรักและไม่เข้าใจว่าเพื่อนคิดอะไรอยู่กันแน่
“มันต้องเกี่ยวอยู่แล้ว เพราะฉันรู้ว่าสเปกของแกต้องเป็นผู้ชายต่างชาติ แล้วฉันก็เชื่อว่าถ้าเขาหาย แกกับเขาปิ๊งกันแน่ๆ”
“พอเลย เลิกพูดได้แล้ว” รุ้งตะวันทำหน้าเมื่อยใส่เพื่อนรักที่ดูท่าจะไม่ล้มเลิกความคิดไล่ให้เธอไปหาแฟนแน่ๆ จากนั้นสองสาวก็รีบลุกขึ้นไปหาคุณหมอที่เดินออกมาพอดี
“คุณหมอค่ะ คนไข้ยังไงบ้างคะ” รุ้งตะวันเอ่ยถามทันที เพราะอยากรู้อาการคนป่วย
“อาการของคนไข้ตอนนี้อยู่ในภาวะสูญเสียความทรงจำครับ”
“เขาจะความจำเสื่อมตลอดชีวิตเหรอคะคุณหมอ” จิรันธรย้อนถามตาโตและเริ่มมองเห็นความยุ่งยากแล้ว
“ไม่ใช่ครับ เพราะภาวะความจำของคนไข้ตอนนี้เป็นความจำเสื่อมแบบชั่วคราวครับ กรณีนี้คนใกล้ชิดและครอบครัวมีส่วนสำคัญมากที่จะช่วยทำให้คนไข้รื้อฟื้นความทรงจำกลับมา ซึ่งคนไข้บางรายก็อาจจะต้องใช้เวลานาน แต่บางรายก็ใช้เวลาไม่นานครับ หมอขอตัวไปดูแลคนไข้รายอื่นก่อนนะครับ”
“ค่ะคุณหมอ” สองสาวเอ่ยพร้อมเพรียง ก่อนจะหันมองหน้ากันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เพราะเธอสองคนไม่มีทางไปช่วยรื้อฟื้นความทรงจำให้เขาได้
“จีจี้ เอาไงต่อล่ะ”
“นั่นสิ แต่จะให้ติดต่อไปที่รีสอร์ทอย่างที่แกเคยบอก ฉันก็กลัวว่าเขาจะไม่ปลอดภัย เพราะเรายังไม่รู้เลยว่าทำไมผู้จัดการถึงได้โดนตามฆ่า”
“ถ้างั้นก็เข้าไปดูเขาก่อนแล้วกัน แล้วเราค่อยกลับมาคิดอีกทีว่าจะทำไงต่อ” รุ้งตะวันก็เดินนำเพื่อนรักเข้าไป ทั้งที่ก็ไม่รู้จะพูดจะคุยอะไรกับคนที่นอนลืมตาอยู่บนเตียง
สองสาวเดินมาหยุดอยู่ปลายเตียงแล้วก็พากันส่งยิ้มให้กับคนป่วย แล้วหันมาส่งซิกเกี่ยงกันให้พูดกับคนป่วย ที่มองมาที่สองสาวด้วยสีหน้าเป็นเครื่องหมายคำถาม
“คุณ...สองคนเป็นอะไรกับผม” ผ่านไปเกือบสิบนาทีแต่สองสาวก็เอาแต่ยิ้มเพียงอย่างเดียว คนบนเตียงเลยเป็นฝ่ายถามสองสาวเสียเอง
“เอ่อ... ” รุ้งตะวันอ้ำอึ้งไม่รู้จะตอบไปว่าอะไรดี
“คนนี้ชื่อรุ้งตะวัน เป็นภรรยาของคุณ” จิรันธรโพล่งขึ้นและนั่นทำให้เจ้าตัวโดนหยิกจนเนื้อแทบหลุด
“ภรรยาของผม”
“ใช่ค่ะ ส่วนฉันก็เป็นเพื่อนรักของภรรยาคุณ ชื่อจีจี้ แล้วที่ภรรยาของคุณไม่บอกแต่แรก ก็เพราะตอนนี้ภรรยาของคุณกำลังดีใจมากๆ ที่คุณรู้สึกตัวก็เลยพูดไม่ออก”
“แล้วชื่อผม”
“คุณชื่อ...”
“พอได้แล้วจีจี้” รุ้งตะวันปรามเพื่อนด้วยสีหน้าดุๆ เพราะยังเคืองที่แม่เพื่อนตัวดีดันไปบอกว่าเธอเป็นภรรยาของเขาซะได้ แล้วนี่หากความจำของเขากลับคืนมา เธอคงได้โดนตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงไร้ยางอายแน่
“คุณพักผ่อนก่อนนะคะ เพิ่งรู้สึกตัวมาไม่นานอย่าเพิ่งถามอะไรเลย ส่วนฉันกับเพื่อนขอออกไปข้างนอกสักครู่ แล้วจะกลับมา” รุ้งตะวันพูดกับคนป่วยจบแล้วก็รีบลากแขนเพื่อนรักเดินออกจากห้องทันที
“ยัยรุ้ง แกจะหยิกฉันทำไมนักหนาเนี่ย ดูสิ! แขนฉันเขียวไปหมดแล้ว ยัยเพื่อนบ้า หยิกกันอยู่ได้” จิรันธรโอดครวญหน้าตาเหยเก พลางยกมือลูบแขนตัวเองป้อยๆ
“ก็แล้วแกไปบอกว่าฉันเป็นเมียของเขาทำไม ทำไมไม่บอกว่าแกเป็นเอง เรื่องอะไรมาลากฉันเข้าไปเกี่ยวด้วย” รุ้งตะวันต่อว่าเสียงเข้ม นัยน์ตาขุ่นคลั่ก
“ก็เพราะแกต้องรับเขาไปอยู่ในความดูแลยังไงล่ะ ฉันเลยต้องอ้างไปว่าแกเป็นเมียของเขา เพราะแล้วถ้าไม่อ้าง แกคิดว่าเขาจะยอมไปอยู่กับแกเหรอ”
“แกกำลังหาเรื่องให้ฉันปวดหัว” คนมีสามีแบบไม่คาดฝันทำหน้ายุ่ง
“ไม่ปวดหรอกน่าเชื่อสิ อย่าทำหน้ายุ่งสิเพื่อนรัก ยิ้มหน่อยเร็ว นะนะ ยิ้มหน่อย น่าบึ้งไม่สวยนะ ยิ้มๆ” จิรันธรใช้สองมือจับแก้มเพื่อนดึงเบาๆ เพราะถึงจะเครียดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วในเมื่อหลวมตัวเข้ามาช่วยแล้วยังไงก็ต้องช่วยกันไปจนกว่าความทรงจำของคุณเอโด้จะกลับมา
“เอามือออกไปเลย แล้วไปถามหมอกันว่าจะให้กลับบ้านได้เมื่อไหร่ จะบอกให้ว่าตอนนี้ฉันไม่เงินจะมาจ่ายค่าห้องพักแล้วนะ” เพราะหมดไปหลายแสนแล้ว
“คงไม่ถึงล้านหรอกน่า ว่าแต่แกจะให้ฉันโอนให้เท่าไหร่ล่ะ บอกมาได้เลยนะเพื่อนรัก เงินฉันพร้อมโอนอยู่แล้ว จะมีก็แต่แกคนเดียวนี่แหละที่ไม่ยอมให้ฉันโอนเงินให้”
“รอฉันจ่ายไม่ไหวจริงๆ แล้วจะขอ” ขาดคำสองสาวก็เดินไปสอบถามพยาบาลว่าจะสอบถามเรื่องพาคนไข้กลับบ้านได้เมื่อไหร่ ซึ่งก็ต้องรอคุณหมอที่ดูแลคนป่วยออกจากห้องตรวจเสียก่อน กระทั่งคุณหมอออกมาสองสาวจึงได้รู้ได้คำตอบว่าอีกสองวันก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ ก่อนที่สองสาวจะกลับขึ้นไปห้องคนป่วยเพื่อแจ้งข่าวเรื่องกลับไปพักฟื้นที่บ้านจากนั้นก็อยู่พูดคุยจนกระทั่งใกล้เวลาออกไปทำงาน
“จีจี้ ฉันว่ากลับกันเถอะ เดี๋ยวจะไปทำงานไม่ทัน” รุ้งตะวันหันมาพูดกับเพื่อนรักจบแล้วก็หันไปยิ้มให้คนบนเตียงที่กำลังมองมาที่เธอเช่นกัน
“คุณทำงานกลางคืน?”
“ใช่ค่ะ” รุ้งตะวันตอบแบบไม่เต็มเสียงดีนัก
“ทำไมคุณต้องทำกลางคืนด้วย แล้วผมล่ะ ผมทำอะไร แล้วทำไมต้องมานอนอยู่แบบนี้”
“เอาไว้ให้คุณได้กลับไปพักฟื้นที่บ้านก่อนดีกว่าค่ะ แล้วฉันจะบอกทุกเรื่องที่เกี่ยวกับตัวคุณเท่าที่ฉันรู้ ส่วนตอนนี้ฉันขอตัวไปทำงานก่อนนะคะ”