5

1797 Words
จวนแม่ทัพฟ่าน เมื่อกลับมาที่เรือนของตน ฟ่านหรันซีเอาแต่เงียบ หากนับว่าดีที่นางกินข้าว และของว่างรวมถึงยาด้วย “เสี่ยวซี... คนผู้นั้นทำให้เจ้าหมางใจหรือไม่” ฟ่านอันเฟิงห่วงใยน้องสาว ยิ่งนางกลายเป็นสตรีที่สูญเสียความทรงจำ เขาก็ดูแลเป็นพิเศษ กระนั้นภาระชายหนุ่มมีมากเหลือเกิน ทั้งยามนี้ดินแดนชิงซานยังถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษ เนื่องจากคนจากแคว้นต้าอู่จะสร้างคุกหลวงแห่งใหม่ไว้คุมขังนักโทษทางการเมือง ดังนั้นต้องมีการย้ายเจ้าหน้าที่บางส่วนมาประจำที่นี่ รวมถึงการให้ขุนนางในท้องที่สับเปลี่ยนไปยังเมืองหลวง เรื่องนี้สร้างความไม่สบายใจแก่ฟ่านอันเฟิง เพราะมีรายชื่อของเขาอยู่ในนั้น “ใครหรือ เฟิงเกอ” น้องสาวถาม สีหน้านางสดใส แต่ดวงตาดูเหนื่อยล้าราวกับพบเรื่องราวมากมายก่อนหน้านี้ “เขา...” ฟ่านอันเฟิงถามแล้ว ก็ลังเลที่จะเอ่ยถึงผู้ที่มาจากแคว้นต้าอู่ “ปีศาจจากต้าอู่ ใช่หรือไม่” พอนางเอ่ยถึงจุดนี้ ฟ่านอันเฟิงก็หัวเราะร่วน ใช่หลี่สิงหยางสมควรเป็นเป็นปีศาจ “ขะ ข้าวาดยันต์คุ้ม ภะ ภัยแล้ว ขะ เขาไม่มารังแกขะ ข้าอีก” ฟ่านหรันซีว่าแล้วจึงอวดรูปตัวอักษรโบราณของตนกับพี่ชาย นางเขียนมันลงกระดาษสีแดงแล้วพับเก็บไว้ในถุงหอมที่ห้อยไว้ข้างเอว “ซีซี มะ ไม่ กลัว” นางยืนยันอย่างนั้น พี่ชายก็โล่งใจขึ้นมาได้บ้าง “หากเขาไม่คิดร้ายต่อเจ้าก็คงดี ทว่าองค์ชายห้าผู้นี้ ผีเห็นยังขยาด เทพเซียนก็ไม่คิดเข้าใกล้ ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใด ฮ่องเต้ถึงส่งเข้ามาคุมการก่อสร้างคุกแห่งใหม่ รวมถึงดูแลเรื่องคดีของขุนนางต้องโทษ ดูเหมือนผืนดินชิงซาน ต้องพบเรื่องเลวร้ายไม่เว้นวันแน่” พี่ชายอฺธิบายเช่นนี้ ฟ่านหรันซีก็ประติดประต่อเรื่องต่างๆ เข้าได้ด้วยกัน นี่คือช่วงเวลาก่อนที่นางจะถูกจับขึ้นเกี้ยวไปเข้าหอกับหลี่สิงหยาง ผิดแต่เขาไม่ได้มาคุมการก่อสร้างใดๆ ที่ดินแดนชิงซาน และคนที่ทำหน้าที่นี้แต่แรกคือองค์ชายคนอื่น พร้อมขุนนางกังฉิน “ซีซี จะช่วยเฟิงเกอ” นางกล่าวเช่นนั้น ด้วยล่วงรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หญิงสาวต้องเดินทางออกจากดินแดนชิงซาน เพื่อไปเข้าหอกับหลี่สิงหยางนั่นเอง รุ่งเช้าวันต่อมา ฟ่านหรันซีขังตนเองไว้ในห้อง หวานหว่านร้อนใจหนัก นางไม่รู้จะทำเช่นไร แม่ทัพฟ่านก็ไปประจำป้อมทางใต้ ห่างจากจวนแห่งนี้ห้าร้อยลี้ แม้ไม่ไกลมาก แต่จะให้กลับมาจวนปุบปับก็ใช่ว่าจะกระทำได้โดยง่าย เรื่องบางเรื่องฮูหยินผู้เฒ่าและคุณชายรองฟ่านจะจัดการเอง ทว่าเป็นเหตุบังเอิญที่ท่านย่าของฟ่านหรันซีไปงานศพงานญาติ ส่วนผู้เป็นพี่รองของหญิงสาวถูกเรียกตัวด่วน เนื่องจากมีคนจากแคว้นต้าอู่มาที่ชิงซาน และฝ่ายนั้นก็คือเหล่าท่านอ๋อง และขุนนางชั้นสูง “คุณหนูสาม... เปิดประตูให้บ่าวเถิดเจ้าค่ะ” หวานหว่านร้องอยู่หลายหน กระทั่งรับรู้ได้ว่าเสียงด้านในเงียบผิดปกติ นางจึงต้องเรียกคนมาช่วยกันงัดแงะเข้าไปด้านใน และในยามนั้นพบว่า ห้องคุณหนูสาม มีสาวใช้คนหนึ่งถูกมัดมือมัดปากไว้ และนอนอยู่บนเตียง ส่วนฟ่านหรันซีหายตัวไป ฟ่านหรันซีแม้อยู่ในร่างที่สูญเสียความทรงจำไปบางส่วนจากอุบัติเหตุรถม้าพลัดตกเขา แต่เรื่องราวในชาติภพก่อนนางล่วงรู้ว่าจะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง ถึงอย่างนั้นหลายได้เปลี่ยนไป เรียกว่าการย้อนคืนมามีลมหายใจของนางกระทบต่อหลายสิ่ง กระนั้นยังมีผู้คนที่นางต้องขัดขวางไม่ให้พวกเขาได้สร้างความทุกข์ร้อน ต่อตนเองและคนที่รัก ยามนี้ที่นางต้องจับตาเป็นพิเศษก็คือฟ่านจื่อรั่ว สตรีที่หญิงสาวต้องไปเป็นเจ้าสาวแทนอีกฝ่าย เป็นยามฟ้าสางที่นางพาตนเองออกจากทางหมารอดและมาพบกับคนเลี้ยงม้าของบิดา ซึ่งก็คือเหล่าตง (ตงเหลียง) “เอ๋ คุณหนูสาม ท่านออกมาที่นี่ได้อย่างไร” หญิงสาวยิ้มตาใส พร้อมชี้ไปที่ม้าตัวโตของตน ความคุ้นเคยกับสัตว์สี่เท้าทำให้นางมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก “บ่าวให้ม้าไม่ได้ขอรับ” ตงเหลียงยืนกราน แต่น้ำเสียงเบา สีหน้าดูผ่อนปรนมาก “เชื่อข้าเถิด จะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ อีกอย่าง... ขะ ข้าจะไปช่วยพี่รอง แล้วหน้าที่เหล่าตงคือ ส่งข่าวถึงพี่ใหญ่ รวมถึงท่านย่า” “โถ คุณหนูสาม บ่าวชราแล้ว เมียก็ตายจาก ลูกไปเป็นทหาร หลานยังเล็ก คนหนึ่งก็พิการ อีกคนพูดยังไม่ได้ ต้องหาเลี้ยงพวกเขาไปอีกหลายสิบปี อย่าให้บ่าวต้องเสี่ยงภัยเลยขอรับ” ได้ฟังเหล่าตงกล่าวเช่นนั้น ฟ่านหรันซีก็หลุดหัวเราะเสียงดังลั่น ใช่แล้ว ตงเหลียงผู้นี้ ไม่ได้เปลี่ยนนิสัยไปจากเดิมสักนิด พูดมากเป็นที่สุด ทั้งขึ้นชื่อว่าตาแก่เจ้าจอมเล่ห์ เป็นผู้แอบสอนวิชายุทธ์ให้นาง โดยอยู่ในการดูแลของบิดา รวมถึงเรื่องม้านั้น เขาก็จัดหาไว้ให้ และนางขี่เป็นตั้งแต่อายุได้เพียงแปดเก้าขวบ “ถะ ถึงเวลา ทะ ที่ข้าต้องเป็นจอมยุทธ์หญิง” โอ้ ตงเหลียงนึกว่าตนหูฟาด อนิจจาบิดานางคือแม่ทัพใหญ่ ส่วนในอดีตมารดาผู้ล่วงลับเป็นยอดนางโจรภูเขา ยามนี้ชายชราตกที่นั่งลำบากแล้ว และเขาได้ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกสตรีน้อยผู้นี้ “แต่คุณหนูสามยังไม่หายป่วย ทั้งความคิดอ่านนั้น เหมือนเด็กเล็กวัยสามขวบ บ่าวไม่อาจปล่อยไปจากจวนได้ และเรื่องขี่ม้ายิ่งไม่มีวัน” ฟ่านหรันซียยิ้มอีกหน และรู้สึกเป็นสุขในรอบหลายปี นางได้ย้อนเวลามามีลมหายใจอีกคน ได้พบว่าตนยังเป็นสตรีเด็ดเดี่ยว ทั้งพอมีฝีมือเอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ สมแล้วที่นางเป็นบุตรสาวของแม่ทัพ สตรีเช่นนางหากชาติก่อนไม่ต้องขึ้นเกี้ยวเข้าหอแทนผู้อื่น ย่อมได้เป็นแม่ทัพหญิงแกร่ง ส่วนถ้อยคำที่คนแซ่หลี่ดูถูกนางไว้ ล้วนเป็นความเท็จ และเขาคงไม่พ้นต้องชดใช้มันแก่นาง “เหล่าตง แม้ดูเผินๆ สมองข้า คล้ายเด็กเล็ก ทว่ามิใช่สตรีเบาปัญญา หรือท่านเห็นว่าข้าเป็นเช่นนั้น” ตงเหลียงคล้อยตาม และเริ่มจะเอะใจหลายส่วน ท่าทางนางคำพูด การใช้น้ำเสียงราวกับคนที่ผ่านโลกมามิน้อย ไม่ใช่ดรุณีแรกรุ่นอย่างที่เขารู้จัก ด้วยอย่างไร ฟ่านหรันซีก็คือลูกศิษย์ของเขา ความคุ้นเคยย่อมมี “คุณหนูสาม อย่างไรข้าก็เป็นอาจารย์ของท่าน ดังนั้นขอให้สิทธิ์ ของเหล่าซือห้ามไม่ให้ทำสิ่งใดโดยพละการ” หญิงสาวถอนหายใจแรงๆ “พี่ใหญ่ออกเรือไปค้าขายแดนไกล ท่านย่ากำลังเดินทางกลับอีกสองสามวันจึงจะถึงจวน บิดาข้ามีภารกิจมากมาย คิดๆ แล้ว ใครกันที่ว่างพอจะยื่นมือคอยช่วยเหลือพี่รองกันเล่า นอกจากยอดหญิงแห่งตระกูลฟ่านคนนี้” “ท่านแต่งตั้งตนเองโดยแท้” “ใช่ ข้าชื่นชมความสามารถของตนมิน้อย ดังนั้นเหล่าตงอย่างขัดขวางเลย” “แต่ทั้งม้าตัวนี้ และการเดินทางไปคนเดียว เสี่ยงอันตรายเกินไป บ่าวตัดสินใจเรื่องนี้ไม่ได้” “เยี่ยงนั้น ท่านก็ไปด้วยกัน เพียงเท่านี้ก็สิ้นเรื่อง” ตงเหลียงถอนหายใจแรงๆ ก่อนจะตบที่ข้างลำตัวม้าสีดำ พร้อมสั่งให้มันทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี “บ่าวชราแล้ว เช่นนั้นหากมีเรื่องรุนแรง เกรงว่าอาจเก็บกวาดไม่สะอาด” เขาหมายถึง หากต้องใช้กำลังถึงขั้นมีใครเสียชีวิต ทางการอาจสืบสาวมาถึงตระกูลฟ่านได้ “อย่ากังวล ข้าไปจัดการกับผู้ร้าย ดังนั้นพวกมันจะไม่กล้านำเรื่องต่างๆ ไปแจ้งศาลเมืองแน่นอน” กล่าวจบฟ่านหรันซีก็บังคับม้าออกไปท่ามกลางแสงแรกของเช้าวันนี้ แต่ถึงนางในชาติภพใหม่นี้ฉลาดเฉลียวและมองเห็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นในภายหน้าได้ ทว่านางคงลืมไป ด้วยชายผู้ที่ผูกวาสนากับนางนั้นชื่อว่า ปีศาจหลี่สิงหยาง “องค์ชายห้า สตรีนางนั้นออกจากจวนได้แล้วขอรับ” เส่าซิง หรือขันทีเส่า คือบ่าวรับใช้ของหลี่สิงหยางรีบแจ้งข่าว ฝ่ายเขาบิดขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับร่าง เมื่อคืนเขามีอาการกำเริบ ร่างกายผะผ่าวร้อนจัด การมาที่ซิงซานนอกจากเป็นประสงค์ของฮ่องเต้ เขายังต้องขึ้นเขาเพื่อตามหาหมอเทวดาเพื่อตอกหมุดเจ็ดเล่มเพื่อควบคุมพิษในร่างกาย มิเช่นนั้นอาจทำให้ภายหน้าเขาจะกลายร่างเป็นครึ่งคนครึ่งผี จากการที่ถูกพิษร้ายกำเริบ “ไหน เจ้าบอกให้ข้าฟังที จากที่จับตาดูนาง พบความผิดปกติใดหรือไม่” เส่าซิงเงียบอยู่ราวๆ หนึ่งอึดใจ ก่อนเอ่ยตามความจริงทั้งหมด “ก่อนหน้านั้น นางเหมือนคนถูกควักสมองออกไปขอรับ แต่จู่ๆ หลังที่ไปพบการพลอดรักของลูกสาวเจ้าดินแดนชิงซานกับคุณชายฉาง ฝ่ายคุณหนูสามก็ประหนึ่งจะจดจำหลายสิ่งได้ อาการนางดูแปลกประหลาดสักหน่อย” ได้ยินอย่างนั้นหลี่สิงหยางก็หัวเราะเสียงดังอย่างสำราญใจ “ฮ่าๆ ๆ หากคะเนไม่ผิด นางคงชอบถูกกระตุ้นด้วยเรื่องลามกใต้สะดือ ดีๆ ๆ ไว้ข้าจับตัวนางได้เมื่อใด จะรีดเอาความลับจากนาง ด้วยวิธีเยี่ยงโจรราคะ ย่อมนับว่าเหมาะสม” เส่าซิงแม้จะมีดวงตาเรียวเล็ก แต่เขาก็พยายามทำให้โตเต็มที่ ก่อนมองผู้เป็นเจ้านายตน “องค์ชาย กระหม่อมคิดว่า เรื่องนี้ไม่สมควรแน่ๆ คุณหนูสามอายุยังน้อย อีกทั้งสมองนางมีปัญหา หากทำสิ่งใดรุนแรงไป บิดานางที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่ย่อมไม่ยอมง่ายๆ” “ฮ่าๆ ๆ ดี... ข้ารอให้เกิดเรื่องเช่นนั้นใจจะขาดแล้ว และสมรมพระราชทานจะได้เป็นจริง ซึ่งหญิงเดียวที่ข้าอยากพาขึ้นเตียงด้วย อย่างไรย่อมต้องเป็น ฟ่านหรันซี!”
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD