ด้านงามวิไล เธอได้ข้อเสนอจากพี่สามีเรื่องงานของเพื่อนรัก ในเมื่อหมอติณณ์เสนอมา เธอก็รีบบอกเพื่อนทันที โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าสะพายถูกล้วงออกมาพร้อมกดเบอร์ของเพื่อน
"ฮัลโหล..วิ แกว่างคุยไหม"
(ว่างสิ)
ปลายสายตอบเพียงสั้นๆ งามวิไลเธอก็ไม่รอช้า จัดการบอกเรื่องที่เธออยากเล่า
"แกได้โรงบาลหรือยัง"
(ยัง ยังไม่มีที่ไหนเปิด บางที่มีก็ไกลเกิน)
เธอเงียบไปสักพัก คิดตามที่เพื่อนพูด พร้อมประมวลคำถามคำตอบถ้าหากจะถามไปเพื่อนจะตอบแบบไหนจะได้รับมือทัน
"เอางี้ไหม พี่ติณณ์เขาบอกว่ามีตำแหน่งว่าง เอกชนคงได้เงินดี แกจะไม่ลองคิดดูหน่อยหรอ"
(กรุงเทพนะ ฉันไม่ชอบกรุงเทพ)
"เอ้า! ยัยคนนี้ ชอบไม่ชอบเพื่อเงินหรือแกจะไม่เอา" นั้นนะสิงามวิไลเธอพูดถูก ถ้าเงินดีมันก็น่าคิด วิลาวัลย์เธอยังไม่ได้พูดอะไรต่อ งามวิไลเธอก็พูดขึ้นอีก
"อีกอย่างพี่ติณณ์เขาเสนอให้แกเข้าทำงานที่คลินิกด้วยนะ หรือว่าอยากอยู่ประจำที่คลินิกก็ได้ เงินเดือนสองหมื่น แต่มีค่าล่วงเวลา เสาร์ อาทิตย์ แกไม่หยุดก็ได้พิเศษ รวมๆก็ได้เยอะกว่าตอนนี้อีก หรือแกจะไม่สน ส่วนที่พัก พี่ติณณ์เขาจะหาให้ใกล้ๆ คลินิกนั้นแหละ"
ประโยคยาวๆของเพื่อนทำเอา วิลาวัลย์เงียบไป ทั้งฟังทั้งคิดตาม เรื่องเงินมันก็ได้เพิ่มก็จริง แต่ที่พักคงแพงน่าดู
(ขอคิดดูก่อนแล้วกัน)
"แกอย่าคิดนานละ เดี๋ยวคนอื่นจะได้ไปก่อน ส่วนแกก็ทำที่โรงบาลเดิมต่อไป"
พอพูดกับเพื่อนแล้วก็วางสาย ส่วนวิลาวัลย์นั้น พอเพื่อนวางสายแล้วเธอก็นั่งคิด อีกใจก็อยากลองหาประสบการณ์ใหม่ๆบ้าง โดยส่วนตัวนั้น เธอไม่ชอบเมืองกรุงที่วุ่นวาย ถ้าเงินเดือนดีนั้นมันก็น่าสน
หมอติณณ์ทานอาหารเรียบร้อยก็เดินทางกลับมาที่คลินิกตามเดิม เพราะคนไข้ที่มาหาหมอเริ่มทยอยแน่นคลินิกแล้ว
คลินิกแห่งนี้หมอจ้างคนมาช่วย เป็นผู้ช่วยรับคิวคนไข้ ช่วยจัดยาให้ตามใบสั่ง แต่ป้าแกก็อายุมากแล้วการทำงานในคลินิกนั้นที่คนเยอะก็ไม่ค่อยคล่องตัว ถึงแม้จะเคยเปิดรับพนักงานประจำคลินิกแต่พอทำสักพัก เด็กพวกนั้นก็ลาออก อย่างว่า วุฒิการศึกษาก็มีส่วน บางคนไม่ได้จบพยาบาล หรือเรียนสายนั้นมา แต่จบหลักสูตร ม.ปลาย หมอก็เคยรับ แต่เงินเดือนนั้นก็ไม่ได้ให้เท่ากับที่เสนอเพื่อนของงามวิไลไป บางวันอาจจะเหนื่อยหน่อย ถ้าช่วงไหนคนไข้เยอะความวุ่นวายของเด็กๆก็ต้องมี นี่คงเป็นเหตุผลที่บางคนอาจไม่ชอบงานบริการแบบนี้ หมอถึงอยากได้คนที่เรียนมาทางนี้และมีความรับผิดชอบ
"น้องเป็นอะไรมาครับ"
หมอติณณ์เอ่ยถามมารดาของเด็กน้อยที่อุ้มลูกเข้ามายังห้องตรวจ
"น้องมีน้ำมูกแล้วก็เริ่มไอค่ะ"
ประโยคของแม่เด็กที่บอกอาการลูกน้อยอายุขวบเศษนั้น ทำเอาคุณหมอต้องใช้ที่หูฟังตรวจเช็คดูปอดของเด็กว่าปกติดีไหม
"ไหนลองอ้าปากได้ไหมครับคุณแม่ ดูสิว่าคออักเสบไหม"
แม่ของหนูน้อยวัยกำลังซนนั้นจับลูกนอนแล้วคุณหมอก็ทำให้เด็กอ้าปาก ส่องไฟเข้าไปดูภายในลำคอของเด็ก
แอ้..
เสียงเด็กร้องเพราะตกใจกลัวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หมอติณณ์หลอกล่อทำให้เด็กเงียบพร้อมทั้งหนุดร้องไห้
"คอแดงนะ เดี๋ยวหมอจัดยาแก้อักเสบ กับยาแก้ไอให้ แล้วกลางคืนมีไข้ไหม?"
หมอพูดแล้วก็ถามต่อจนกระทั่งคุณแม่ตอบขึ้น
"เมื่อคืนมีค่ะ แต่เช้ามาหาย"
"อ๋อครับ งั้นหมอจัดยาแก้ไข้ให้นะ แถมวิตมินซีให้ด้วย เรียบร้อยแล้วนะครับ"
คุณแม่ท่านนั้นอุ้มลูกน้อยออกจากห้องตรวจ ออกมานั่งรอรับยาข้างนอกโดยคุณหมอกำลังเขียนใบสั่งยาให้กับป้าผู้ช่วยที่เป็นคนจัดยาให้ พร้อมกับเดินเข้าไปตรวจคิวคนไข้คนต่อไป
การทำงานของหมอติณณ์ก็เป็นแบบนี้ทุกวัน เฉพาะวันจันทร์ถึงศุกร์ ที่ช่วงเย็นจะแสนวุ่นวาย แต่เสาร์อาทิตย์นั้นคลินิกจะเปิด แปดโมงถึงห้าโมงเย็นเท่านั้น แตกต่างจากวันธรรมดา ที่เปิดห้าโมงถึงสามทุ่ม
"คุณหมอเป็นไงบ้าง เหนื่อยไหมคะ วันนี้คนไข้เยอะกว่าเมื่อวาน"
เสียงป้ารัตนาผู้ช่วยประจำคลินิกเดินเข้ามาหาคุณหมอที่ห้องตรวจเพราะตอนนี้สองทุ่มเข้าไปแล้วคนไข้ที่ล้นทะลักคลินิกก็เริ่มหมดลง คุณหมอนั่งก้มหน้าเขียนเอกสาร ก่อนจะเคยหน้าถอดแมสปิดจมูก
"ครับ เหนื่อยครับแต่ทำไงได้เรารักอาชีพนี้ไปแล้ว แล้วป้าละ เวียนหัวเลยไหมเด็กเยอะนะวันนี้"
"นิดหน่อยค่ะ ดีนะคลินิกเรากว้างขวางมีที่ให้เด็กเล่น รอ ไม่งั้นผู้ปกครองคงเหนื่อยกว่าเรา"
ที่ป้ารัตนาพูดก็ถูก เด็กเล็กบางคนงอแง ร้องไห้ไม่หยุด ส่วนหมอก็พยักหน้าเห็นด้วย
"ผมกำลังหาคนมาประจำคลินิกเรา ถ้าได้เธอมาอยู่ น่าจะเบาลง เธอจบพยาบาล อีกอย่างถ้าเปิดทั้งวันช่วงกลางวันผมอาจจะแวะเข้ามาตรวจได้"
"แล้วเธอจะมาวันไหนละคะ"
สิ่งที่ป้ารัตนาถามทำเอาหมอติณณ์ชะงักเพราะตอนนี้ทางนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะมา ไม่รู้ว่าน้องสะใภ้จะคุยกับเธอได้หรือเปล่า
"ผมไม่แน่ใจว่าเธอจะยอมมาไหม เธออยู่ต่างจังหวัด อาจจะไม่ชอบความวุ่นวายในกรุงเทพก็ได้ แต่ผมได้ยินเธอบอกว่าจะย้ายโรงบาล โรงบาลที่เธอทำอยู่เป็นของรัฐบาลของจังหวัด ใช้ทุนครบแล้วคงอยากไปทำที่อื่น"
ประโยคบอกเล่าของคุณหมอนั้นป้ารัตนาก็แค่ฟังเงียบๆ แต่ก็แอบคิดถ้ามีคนมาช่วยก็คงดีไม่น้อย เพราะป้าแกจะว่างแค่ช่วงหลังเลิกงาน ตอนกลางวันก็ดูแลสามีที่ไม่สบาย พอลูกๆกลับจากทำงานก็เป็นแกที่ออกมาทำงานแทน ตอนแกมาสมัคร แกเรียนมาสูงแต่ด้วยชีวิตที่ผลิกผลัน ทำให้แกไม่ได้ทำงานประจำ และมาสมัครอยู่กับหมอติณณ์ตั้งแต่คลินิกเปิดจนตอนนี้จะหกปีแล้ว
*ฉากเข้าพระเข้านาง อาจจะยังมาไม่ถึงดังนั้นอยู่กันยาวหน่อยนะ ยังไงก็เม้นเป็นกำลังใจให้คุณหมอบ้างนะคะ