ตอนที่ 1
‘เอวารินทร์’ นิ่วหน้าขมวดคิ้วเพราะสัมผัสที่รับรู้รอบตัวนี้เหมือนกับว่าหล่อนกำลังอยู่ที่ใดที่หนึ่ง ในลักษณะที่ร่างกายนอนหงายและมีความโคลงเคลงอยู่รอบตัว มันเด้งดึ๋ง นวบนาบ หยุ่นนุ่มเป็นจังหวะจะโคน และก็แข็งใต้แผ่นหลัง
ประสาทสัมผัสพยายามประมวลสิ่งรอบกาย หูฟังเสียง จมูกรับรู้กลิ่น และสัมผัสจากผิว จึงได้คำตอบว่าหล่อนกำลังนอนอยู่ในเรือที่ไม่ใหญ่มาก อาจเป็นเรือหาปลา เพราะหูได้ยินเสียงคลื่นกระทบลำเรือชัด จมูกได้กลิ่นอายเค็มรายล้อม และผิวก็รับรู้ได้ถึงละอองน้ำที่ฝอยกระจายตามจังหวะคลื่น รับรู้ได้ถึงลมทะเลพัดกระทบให้รู้สึกเหนียวกาย แต่หล่อนมาอยู่นี้ได้ยังไง นานแล้วที่หล่อนไม่ได้ยินเสียงไม่ได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้
หรือนี่คือฝัน?
เพราะ 8 ปีที่มาศึกษาต่อและทำงานที่ออสเตรเลีย หล่อนไม่เคยกลับเมืองไทยเลย
เมืองไทย... ‘ประเทศไทย’
ประสาทสัมผัสตื่นตัวทั้งร่าง พยายามลืมตา แต่กลับลืมไม่ขึ้น ใบหน้าส่ายไปมา พยายามอ้าปากจะเปล่งเสียงร้องให้คนช่วย เพราะแค่นึกถึง ‘ประเทศไทย’ ความทรงจำก็พรั่งพรู ก็เมื่อสามทุ่มหล่อนเพิ่งลงเครื่องที่สมุย และเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีที่หล่อนกลับเมืองไทย
แต่ทำไม อะไร ที่ทำให้หล่อนมาตื่นอยู่ในเรือแบบนี้ และจากแสงสว่างจ้า นี่ไม่ใช่กลางคืน!
เปลือกตาหนักอึ้งพยายามจะเปิดออกแต่ก็ทำได้ยาก ปากขยับจะพูดแต่ก็แทบจะไม่เคลื่อนไหว ร่างกายพยายามดิ้นรนแต่ก็เหมือนจะไม่ขยับเลย ทุกอย่างยิ่งทำให้เอวารินทร์ตื่นไปทั้งร่าง เพราะเหมือนใจหล่อนรับรู้แต่ร่างกายไม่รับฟังสิ่งที่หล่อนสั่งการ
‘ลืมตาสิเอวา ลืมตา! เธอต้องลืมตา เอวา!’
บอกตัวเองแบบนั้นแต่ความเป็นจริงคือได้แต่ย่นคิ้ว อย่างอื่นทำไม่ได้เลย
“ยาจะหมดฤทธิ์แล้วมั้ง โปะยาลงไปอีก อย่าให้ตื่นตอนนี้นะ แล้วก็ถอดเสื้อผ้าหล่อนออกให้หมดด้วย จะได้หนีไปไหนไม่ได้”
เสียงผู้ชายฟังดูแล้วไม่ได้เป็นเด็กหนุ่มแต่ก็ไม่ได้แก่ คำพูดของเขาคือหมายถึงหล่อนแน่ ‘ยา’ นั่นเขาหมายถึง ‘ยาสลบ’ ใช่ไหม และเขากำลังสั่งให้ใครคนหนึ่งถอดเสื้อผ้าของหล่อนออก หล่อนจะไม่มีวันยอมให้ใครมาแตะต้องเนื้อตัวของแน่
‘ไม่นะ! อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ไม่นะ!’
เอวารินทร์ดิ้นรนเท่าที่หล่อนจะทำได้ กรีดร้องจนสุดเสียง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกจากริมฝีปากของหล่อนเลย เนื้อตัวที่พยายามดิ้นรนก็คล้ายจะเชื่องช้าเกินกว่าที่ควรเป็น แม้แต่สมองของหล่อนมันก็ช้าและขาดหายเป็นช่วงๆ
“โดนยาไปซะขนาดนั้นยังจะมีฤทธิ์ได้อีก เร็ว! รีบแก้ผ้าออกเร็วๆ ดูสิ ถ้าไม่ได้ใส่อะไรเลยจะหนีไปไหนได้”
‘แก้ผ้า ไม่ใส่อะไรเลย ไม่นะ... ไม่นะ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้! ปล่อยฉัน! ไอ้คนบ้า! ปล่อยฉัน!’
เสียงกรีดร้องและใบหน้าพยายามส่ายไปมาเหมือนจะทำได้แค่คิด เพราะร่างกายของหล่อนราวไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น แต่จมูกก็ยังรับรู้กลิ่น และสัมผัสจากผ้าชื้นๆ ที่โปะลงมา พร้อมกลิ่นฉุนที่เข้ามาแทนที่กลิ่นอายเค็มของน้ำทะเลก็ทำให้ทุกอย่างรางเลือน ทั้งที่ใจหล่อนยังร่ำร้อง
‘ปล่อยฉันนะ... ปล่อยฉัน... พ่อ... พี่อาร์ต... พ่อ... พี่อาร์ต... ช่วยเอวาด้วย พ่อ...’
ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเกือบดำดุจท้องทะเลในยามค่ำคืนทอดมองเรือนร่างอรชรที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นกระดานเรือ ไม่มีแววเห็นใจมีแต่แววสาแก่ใจให้เห็น เพราะนี่คือเหยื่อในการแก้แค้นของเขา ในเมื่อพูดกันดีๆ ไม่ได้ มันก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟันเท่านั้น และมันก็ต้องเริ่มต้นที่ของรักของหวงของไอ้อำนาจ มันจะได้รับรู้รสชาติของการถูกพรากลูกว่าเป็นยังไง
‘มาร์ติน’ นึกถึงใบหน้ากวนๆ ของ ‘อำนาจ’ นักการเมืองท้องถิ่นและเป็นเจ้าพ่อรังนกคนเดิม ก่อนจะเปลี่ยนถ่ายมาอยู่ในมือเขา เพราะปีนี้เขาเป็นผู้ชนะการประมูลสัมปทานรังนกจากภาครัฐ ด้วยมูลค่าการประมูลถึง 400 ล้านบาท สำหรับเก็บรังนก 10 เกาะ 100 กว่าถ้ำ ในระยะเวลา 5 ปี แต่กลับกลายเป็นว่าเขาประมูลได้แต่เกาะเปล่าๆ ในถ้ำแทบจะไม่มีนกอีแอ่นให้เห็น และรังนกที่ควรจะมีก็หายไปจนเกือบหมด
ทุกถ้ำมีร่องรอยการขโมยอย่างชัดเจน ทั้งที่หมู่เกาะเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่มีค่าของจังหวัด มีเจ้าหน้าที่ของรัฐและเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นร่วมกันดูแลให้ปลอดภัยก่อนที่การเปลี่ยนถ่ายเจ้าของสัมปทานจะมาถึง ซึ่งระยะยื่นซองประมูลทั้งหมดก็กินเวลาร่วม 3 เดือน แต่กลับกลายเป็นว่าเงินลงทุนของเขาแทบจะหายไปในพริบตา
การเก็บรังนกล็อตแรกที่ควรเก็บได้ถึง 2000 กิโลกรัม กลับกลายเป็นว่าเก็บได้ไม่ถึง 200 กิโลกรัม
จริงอยู่ว่าการฟื้นฟูเกาะเพื่อให้นกอีแอ่นกลับมาอาศัยอยู่นั้นทำได้ แต่ก็ต้องใช้ระยะเวลาถึง 2 ปี กว่าสิ่งแวดล้อมจะฟื้นคืน กว่าที่นกคู่ผัวตัวเมียจะบินกลับมา เพราะนกก็ไม่ต่างจากสัตว์ทั่วไปที่ต้องการอยู่ในสถานที่ที่รับรู้ว่าตนเองปลอดภัย
แต่สิ่งที่ทำให้เขาแค้นใจที่สุดก็คือไอ้พวกคนเลวมันหวังจะขโมยรังนกให้ได้มากที่สุด โดยไม่คิดถึงความเสียหายที่จะตามมา เพราะมันไม่ได้ประมูลสัมปทานในปีนี้ และกว่าจะหมดสัญญาก็กินเวลาไปอีก 5 ปี เมื่อเวลานั้นมาถึงพวกมันก็สามารถประมูลกลับคืนไปได้ ทั้งยังได้เก็บรังนกล็อตใหม่