'น้ำพุตรงนั้นสวยจังเลย เฮียราชย์พาเจ้าจันทร์ไปวิ่งเล่นได้ไหมคะ'
'ได้สิ แต่อย่านานนะ แดดมันร้อน'
ฉันยังจำใบหน้าเรียบนิ่งแต่อ่อนโยนและใจดีเมื่อตอนที่ฉันแค่สิบขวบได้อยู่เลย
ถ้าเกิดว่าเขายังไม่มีแฟนแล้วฉันสารภาพรักกับเขาเมื่อห้าปีก่อน เราสองคนจะมีโอกาสเป็นคนรักกันได้ไหมนะ
เงี้ยว~~
กำลังนึกอะไรเพลิน ๆ เสียงแหลมเล็กของเจ้าสี่ขาขนปุยก็ดังขึ้น ขาขวาฉันรู้สึกจักจี้จากขนปุกปุยนุ่ม ๆ ของเจ้าแคทที่เดินวนรอบขาพร้อมทำหน้าอ้อนให้อุ้มมันขึ้นมา
"กินข้าวเช้าหรือยังครับสุดหล่อ" อ้อนมาแบบนี้ฉันก็อดที่จะอุ้มมันขึ้นมาไม่ได้
เมี้ยว~
ร้องแบบนี้แสดงว่ากินแล้วสิท่า ดูสิ กลิ่นคาวปลายังติดที่ปากอยู่เลย
"อย่ากินเยอะนะ เนี่ยต้องลดหุ่นได้แล้ว" ตอนแรกนึกว่าที่อ้วน ๆ นี่คือพองเพราะขน แต่พออุ้มแบบจริง ๆ จัง ๆ หนักมือน่าดู
เงี้ยวววว~
เหมือนแมวตัวนี้กำลังเถียงว่าไม่อ้วน
"แกรู้ไหมเมื่อก่อนเจ้าจันทร์ชอบมาวิ่งเล่นที่นี่บ่อย ๆ ด้วยแหละ" เมื่อกี้กำลังคิดถึงความหลังอยู่พอดี ตอนนี้มีแมวมาคุยเป็นเพื่อนแล้วเลยไม่เหงา
"เจ้าจันทร์ตัวเล็กกะเปี๊ยกเดียว ชอบถักเปียมัดแกละวิ่งดมดอกไม้ต้นนู้น เด็ดดอกต้นนี้ แล้วก็เอามือมารองน้ำพุตรงนั้น"
ฉันจับขาหน้าเจ้าแคทชี้ไปที่แปลงดอกไม้หลากสีที่เคยมาวิ่งซนต้นนั้นต้นนี้ตามด้วยชี้ไปที่น้ำพุรูปกามเทพที่เมื่อก่อนส่วนสูงฉันคือต้องเขย่งปลายเท้าถึงจะแตะน้ำใส ๆ ในอ่างนั้นได้
"ตอนเป็นเด็กนี่ดีนะ อยากวิ่งเล่น อยากพูด อยากแสดงออกอะไรก็ทำได้หมด" เหมือนจะกลายเป็นการระบายกับเจ้าสัตว์สี่ขาในอ้อมอกไปซะงั้น
"แต่ทำไมพอโตมาเป็นผู้ใหญ่ เรื่องบางเรื่องถึงไม่กล้าที่จะพูดหรือระบายมันออกมาก็ไม่รู้"
มีอะไรเยอะแยะเต็มไปหมดที่ฉันอยากจะพูดอยากจะแสดงออกแต่ก็ยังไม่กล้า
"แกเป็นแมว รู้สึกอึดอัดเวลาอยากคุยกับพวกเราที่เป็นมนุษย์ไหม" พูดแล้วก็ลูบหัวเจ้าแคทเบา ๆ พลางก้มลงมองสบตามัน
เมี้ยวววว...
คงตอบว่าอึดอัดล่ะมั้ง ก็เราคุยคนละภาษานี่เนอะ
"เจ้าจันทร์อยากกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งจังเลย" เพราะตอนเด็ก ฉันได้รับความเอาใจใส่จากใครบางคนมากกว่าตอนนี้น่ะสิ
"เจ้าจันทร์ กลับบ้านได้แล้วลูก" เสียงแม่ตะโกนมาจากด้านหลัง ฉันเลยหันไปโบกมือให้ท่าน
"เจ้าจันทร์ต้องกลับแล้วนะ คงคิดถึงแกน่าดูเลย" ไม่รู้หลังจากนี้จะมีโอกาสได้มาที่นี่อีกหรือเปล่า
ถึงแม้จะบอกว่าบ้านหลังนี้ให้การต้อนรับที่อบอุ่นเหมือนเคย แต่ด้วยวัยที่ไม่น่าจะเข้าออกที่นี่ได้เหมือนแต่ก่อนแบบไม่คิดอะไรอีกแล้วมันเลยรู้สึกอึดอัดใจ
อืม... อาจจะไม่ใช่เพราะวัยที่เพิ่มขึ้น อาจจะเพราะใจไม่บริสุทธิ์ของฉันมากกว่าถึงได้รู้สึกกระดากอายเวลาจะมาที่นี่
เมี๊ยวววว~
เหมือนเจ้าแคทจะรู้ว่าฉันกำลังจะไปมันเลยซุกเข้าที่อกฉันใหญ่เลย
"ไม่อ้อนกันสิ ที่นี่บ้านแก เจ้าจันทร์เองก็มีบ้านต้องกลับนะ"
พูดแล้วน้ำตาก็จะไหล เพิ่งเจอกันแค่วันเดียวยังรู้สึกผูกพันขนาดนี้เลย
"เจ้าจันทร์ มาได้แล้วลูก" เสียงแม่ตะโกนมาอีกครั้งทำให้ฉันต้องรีบอุ้มเจ้าแมวอ้วนไปด้วย
"นี่เราอุ้มเจ้าตัวนี้ได้ด้วยเหรอ" ทันทีที่เดินมาถึงจุดที่ทุกคนยืนรอพร้อมหน้าพร้อมตาแม่ฉันก็ถามด้วยสีหน้าแปลกประหลาดใจ
"ค่ะ น้องเชื่องดีนะคะ" ฉันตอบไปพลางลูบหัวมันไป
"แบบนี้เรียกว่าแมวเจ้าชู้ได้หรือเปล่าขจี" แม่หันไปหยอกป้าขจีที่ยืนมองมาที่ฉัน
"แมวก็คงจะเหมือนเจ้าของมันนั่นแหละ" คนถูกถามอมยิ้มบาง ๆ นี่ถ้าไม่สังเกตคงมองไม่เห็นพร้อมสายตาที่เหล่มองอีกคนที่กำลังเช็กเครื่องยนต์อยู่
"ก็คงจะจริง เพราะตาราชย์สนิทกับเจ้าจันทร์แต่เด็ก แมวตัวนี้ก็คงจะรู้สึกแบบนั้นด้วย"
ไม่เห็นจะเกี่ยวเลยแม่ ตอนนี้ฉันเหมือนคนนอกสายตาเฮียราชย์ไปแล้ว ถ้าแมวเหมือนเจ้าของ เจ้าแคทคงตบฉันเลือดซิบหลายแผลไม่ยอมให้กอดแบบนี้แล้วแหละ
"ไว้วันหลังจะแวะมาเยี่ยมใหม่นะ" แม่บอกลาเพื่อนสนิท
"เดี๋ยวให้คนใช้ขนเอง หนูเจ้าจันทร์พาแม่ไปขึ้นรถเถอะจ้ะ" มือที่กำลังจะดึงที่จับเพื่อลากกระเป๋าเดินทางไปขึ้นรถถูกป้าขจีขัดไว้
"งั้นหนูลานะคะ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับกลับมาค่ะ" ฉันไหว้ลาทั้งป้าขจีและลุงจอมศักดิ์ก่อนจะเดินตามหลังแม่ไปขึ้นรถเบนซ์สีขาวเอี่ยมอ่องตรงหน้า โดยมีสารถีคือผู้ชายหน้าตาดีแต่ไม่มีรอยยิ้มใด ๆ ปรากฏออกมา
"ขับรถดี ๆ นะเรา ไม่ต้องซิ่งมาก" เสียงป้าขจีร้องบอกลูกชายที่กำลังปิดประตูรถโดยที่อีกฝ่ายไม่ได้โต้ตอบใด ๆ กลับแม่เขาเลย
"กิจการที่สนามแข่งเป็นยังไงบ้างจ๊ะ"
เมื่อรถออกจากบ้านทวีทรัพย์ไพศาลมาได้ระยะหนึ่งแม่ที่นั่งหลังคนเดียวโดยที่ไล่ฉันมานั่งหน้าคู่กับคนขับก็ถามขึ้น
"ก็ดีครับ" เขาตอบแม่ฉันด้วยน้ำเสียงปกติแต่ฟังดูสุภาพไม่เยือกเย็นเหมือนเวลาคุยกับฉันสักนิด
"แล้วเราล่ะลูก กลับมาครั้งนี้วางแพลนชีวิตไว้หรือยัง" แม่หันมาถามฉันเมื่ออีกคนใช้สมาธิในการขับรถ
"ลูกสาวเพิ่งกลับมาได้ไม่กี่วัน แม่ก็จะให้เริ่มทำงานแล้วเหรอคะ"
ไม่ได้ขี้เกียจนะ แค่กำลังแกล้งแม่เล่นแค่นั้นเอง
"อีกไม่กี่เดือนก็ยี่สิบห้าแล้วนะ อย่าทำเป็นเล่นสิ ดูพี่เขาเป็นตัวอย่างหน่อย มีธุรกิจเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยี่สิบเอง" แม่ดูภูมิใจกับลูกคนอื่นนะ
"ก็เฮียราชย์เก่งนี่คะ" ลืมตัวเผลอชมอีกคนที่นั่งข้าง ๆ อย่างนิ่ง ๆ
"งั้นเราก็ต้องเรียนรู้จากพี่เขาเยอะ ๆ เอาพี่เขาเป็นแบบอย่าง" ได้ทีแม่ก็สอนสั่งฉันยกใหญ่จนพูดอะไรต่อไม่เป็น ก่อนที่ทุกอย่างจะลามมาที่ฉันไปมากกว่านั้น มือถือแม่ก็ดังขึ้น
"ว่าไงศศิ?"
"..."
"อะไรกัน! นั่นมันงานที่ฉันสั่งไว้ตั้งแต่สามวันที่แล้วนะ นี่ยังเคลียร์ไม่เสร็จอีกเหรอ พวกเธอทำฉันผิดหวังจริง ๆ รออยู่ที่นั่นแหละเดี๋ยวฉันเข้าไปดูให้"
"มีอะไรเหรอคะแม่" ฉันเอี้ยวตัวมาถามแม่เมื่อเห็นว่าคิ้วโก่งสวยกำลังขมวดจนชนกัน
"ก็พนักงานที่ท่าเรือนั่นแหละลูก แม่สั่งงานไว้แล้วมีปัญหาแต่ไม่ยอมโทรมาบอก เพิ่งจะยอมมาสารภาพเอาวันนี้"
แบบนี้นิสัยแย่จัง งานนั้นคงสำคัญมาก ไม่งั้นแม่ฉันที่จิตใจดีไม่แสดงอารมณ์แบบนั้นออกไปแน่
"รบกวนตาราชย์จอดให้น้าลงป้ายหน้าได้ไหมลูก"
"แม่จะไปไหนคะ"
"ไฟแดงข้างหน้าก็เป็นทางผ่านไปท่าเรือเราแล้ว แม่ว่าจะเข้าไปดูงานที่มีปัญหาเลยน่ะ"
"ให้เจ้าจันทร์ไปเป็นเพื่อนนะคะ"
"ไม่เป็นไรลูก เดี๋ยวจะเสียเวลาพี่เขา จอดตรงนั้นให้น้าเลยจ้ะ" แม่รีบสะพายกระเป๋าเตรียมตัวจะลงจากรถ แต่คนขับรถกลับไม่จอด เขาหักเลี้ยวซ้ายแล้วขับตรงไป
"เดี๋ยวผมไปส่ง" เสียงทุ้มเอ่ยอย่างราบเรียบ พร้อมตั้งใจขับรถต่ออย่างไม่อิดออดใด ๆ
"ขอบใจนะลูก"
ฉันได้แต่แอบมองเสี้ยวหน้าคมเข้มที่ไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกบนนั้นนอกจากความนิ่งและดูสุขุม
ไม่นานรถที่เรานั่งมาก็จอดเทียบที่ท่าเรือขนาดใหญ่ของตระกูลศิริมุตตา
"ขอบใจมากจ้ะ ฝากเราไปส่งน้องที่บ้านให้น้าหน่อยนะ" แม่ลงจากรถโดยทิ้งฉันไว้บนนี้กับเจ้าของรถแล้วรีบเอ่ยอย่างเร่งรีบโดยไม่สนใจคำตอบใด ๆ จากคนที่ไหว้วานสักนิด
"ถ้าเฮียราชย์ไม่ว่าง ส่งเจ้าจันทร์ตรงถนนก็ได้นะคะเดี๋ยวเรียกแท็กซี่กลับเอง"
เพราะเห็นสีหน้าท่าทางเขาเหมือนหงุดหงิดเล็กน้อยจึงรีบบอกแบบนั้นออกไป
"นั่งเงียบ ๆ" เขาส่งเสียงกลับมาแค่นั้นก็บึ่งรถกลับไปทางเดิม จุดหมายคือบ้านของฉัน โดยที่หลังจากนี้บรรยากาศภายในรถเงียบกริบ
ใช้เวลาราว ๆ ยี่สิบนาทีรถหรูสีขาวก็จอดเทียบที่หน้าบ้านหลังใหญ่ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้กลับมาเหยียบบ้านหลังนี้
"ขอบคุณนะคะ" ยกมือไหว้ขอบคุณตามมารยาทก่อนจะเปิดประตูลงไปเอาข้าวของที่อยู่ท้ายรถ
เสียงประตูอีกฝั่งดังตามมาติด ๆ พร้อมร่างสูงที่เดินมาเปิดท้ายให้
"คงช่วยตัวเองต่อได้" กระเป๋าเดินทางสามใบถูกยกออกมาวางไว้นอกรถเป็นอันเรียบร้อยพร้อมคำถามที่ฟังดูกึ่งประชดกลาย ๆ
"ได้ค่ะ" เขาไม่ได้รอฟังคำตอบนั้น คล้ายกับมันไม่ใช่คำถามตั้งแต่แรก
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มพร้อมตัวรถสีขาวเอี่ยมอ่องเคลื่อนตัวออกไปจนลับสายตา
ต่อหน้าผู้หลักผู้ใหญ่เฮียราชย์คงจะเกรงใจเลยมาส่งฉันตามคำขอนั้น แต่พอเราอยู่กันตามลำพัง ฉันในสายตาผู้ชายคนนี้ก็คงไม่ต่างกับเหลือบไรที่ไม่น่ามอง
Rrr..กดเปิดประตูบ้านได้ไม่ทันไร มือถือที่อยู่ในกระเป๋าสะพายสีฟ้าอ่อนแสนหวานก็ดังขึ้น
"ว่าไงเพื่อนรัก" กรอกเสียงใสลงไปพร้อมกับพยักหน้ารับไหว้สาวใช้คนหนึ่งที่วิ่งออกมาช่วยขนกระเป๋าเดินทาง
[มะรืนนี้ลิซจะบินกลับไทยแล้ว เจ้าจันทร์อยู่ที่นั่นแล้วใช่ไหม]
ฉันฉีกยิ้มอย่างดีใจที่ได้ยินแบบนั้นก่อนตอบเพื่อนที่ถือสายรอ
"อืม เจ้าจันทร์เพิ่งถึงเหมือนกัน อยากให้ถึงมะรืนไว ๆ จังเลย" คิดถึงเพื่อนในสายคนนี้มาก
เธอชื่อ 'ลลิตตา' หรือเรียกสั้น ๆ ว่า 'ลิซ' เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เรียนมหา’ลัย เอาเข้าจริง ๆ ตอนนี้ฉันกำลังเดินตามรอยแม่กับป้าขจีเหมือนกันนะที่มีเพื่อนดี ๆ จริงใจด้วยคบมาตั้งเกือบสิบปีแล้ว
[อย่าลืมหาร้านเตรียมฉลองให้ลิซล่ะ]
"ได้เลยแม่กระต่ายน้อย" เสียงหัวเราะเมื่อฉายาถูกใจถูกเอ่ยขึ้น
[เดี๋ยวตีเลยแม่กวางน้อยนี่]
"รีบ ๆ มาตีล่ะ"
[แล้วกวางจะถูกกระต่ายฟัด ลิซโทร.มาบอกแค่นี้ ตอนแรกกะจะเซอร์ไพรส์ แต่กลัวกวางน้อยตกใจเลยโทรบอกดีกว่า]
"ดีมาก ถ้ามาแบบเซอร์ไพรส์จริงเจ้าจันทร์คงตกใจแย่"
[เดี๋ยวเอาฟันกระต่ายเฉาะเลย แค่นี้แหละ ไว้เจอกัน]
"จ้า เพื่อนรัก"
ลิซกดวางสายไปแล้ว ฉันเดินขึ้นมาบนห้องก่อนจะเปิดประตูเข้าไปห้องตัวเองที่ไม่ได้มาเหยียบตั้งหลายปีแต่สภาพยังสะอาดสะอ้านเพราะแม่คงให้คนใช้มาทำความสะอาดให้ทุกวัน