ต้องทำอย่างไร

1687 Words
“ข้าต้องขอบใจเจ้ามากนะลี่มี่ หากมิได้เจ้าเอ่ยเตือนในวันนั้น ข้าคงต้องตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว” กวนอู๋ท่งเอ่ยขอบใจลี่มี่ยาวเหยียด ด้วยเพราะเมื่อวานที่อู๋ท่งขึ้นเขาไปเก็บเผือกมัน มีงูพิษตัวใหญ่เท่าแขน พุ่งเข้ามากัดน่องของเขา ดีที่เขาพันผ้าไว้ที่น่องตามที่ลี่มี่บอก จึงช่วยให้รอดพ้นมาได้ “ขอบใจเจ้ามาก นี่เป็นของฝากจากครอบครัวข้า เจ้ารับไว้เถิด” ท่านลุงกวนผู้ใหญ่บ้าน ยกตะกร้าที่เต็มไปด้วยเนื้อหมู เนื้อไก่ กุ้ง และปลามาวางตรงหน้าสามยายหลาน “หากข้าช่วยได้ ข้าก็ยินดี แต่ข้ามิรับของหรอกเจ้าค่ะ” “รับไว้เถิดมี่เอ๋อร์ พวกข้าเต็มใจยิ่งนัก หากเจ้ามิรับไว้ข้าคงรู้สึกติดค้างในใจไปชั่วชีวิต” ท่านป้ากวนเอ่ยเสริมพลางหยิบขนมที่นางทำเองมายื่นให้ลี่หมิง เด็กชายเหลือบมองไปทางท่านยายและพี่สาวราวกับต้องการขออนุญาต เมื่อเห็นว่าทั้งสองมิได้เอ่ยห้าม จึงส่งมือเล็กๆ ไปถือขนมไว้ “ขอบพระคุณขอยับ” “เช่นนั้น ข้าก็ขอรับไว้ ขอบพระคุณเจ้าค่ะ” อยู่พูดคุยกันได้ไม่นาน ครอบครัวผู้ใหญ่บ้านก็ขอตัวกลับเรือนไป จึงเหลือเพียงสามคนยายหลานที่นั่งอยู่ที่เดิม “ยสดียิ่ง อื้มมม” ลี่หมิงนำขนมเข้าปากคำแล้วคำเล่า ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่เรือนสกุลเหมา เด็กน้อยก็ทานอาหารได้มากขึ้น ทั้งยังหิวบ่อย จนบัดนี้ร่างผอมบางเริ่มดูมีน้ำมีนวลขึ้น แก้มขาวกลมโตขึ้นมาก จนผู้เป็นพี่สาวอดไม่ได้ที่จะกดจุมพิตลงไปบนแก้มเนียนทั้งสอง “อย่ากินให้มากนักเล่า ประเดี๋ยวจะมิหิวข้าว” เหมาไป่เอ่ยเตือนเด็กชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ขอยับ หากพี่มี่เอ๋อร์ช่วยคนได้มากคงจะดี น้องจะได้กินขนมอีก คิกๆ” คำพูดเรื่อยเปื่อยของเด็กชายทำให้หญิงชราและเด็กสาวหันมองหน้ากัน โดยมิได้นัดหมาย “นั่นสิเจ้าคะ หากว่าข้ารู้นิมิตกาลข้างหน้าเช่นนี้ ก็สามารถนำไปช่วยคนได้ ไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เงินจากพวกเขาด้วยนะเจ้าคะ” ลี่มี่ยกยิ้มขึ้นเต็มใบหน้า เหมาไป่เมื่อลองคิดตามสิ่งที่หลานว่าก็พยักหน้าเห็นด้วย หากว่าลี่มี่สามารถช่วยเหลือผู้คนได้ เช่นเดียวกับที่ช่วยกวนอู๋ท่งคงจะดีไม่น้อย แต่เมื่อนึกถึงเรื่องเงินทอง หญิงชรากลับต้องนิ่งคิดชั่วขณะ “แล้วคนอื่น เขาจะมิกล่าวว่าเราหลอกลวงชาวบ้านหรือ” “หากเราช่วยพวกเขาได้ ก็มิถือเป็นเรื่องหลอกลวงนะเจ้าคะ อย่างพี่อู๋ท่ง หากว่าเขามิได้ทำตามที่ข้าบอก ไม่แน่ว่าอาจจะถูกพิษงู จนถึงแก่ชีวิตได้ ใช้เงินเพียงเล็กน้อยแลกกับชีวิตก็ถือว่าคุ้มค่านะเจ้าคะ” ลี่มี่คิดตามหลักเหตุและผล ความสามารถที่นางมีบัดนี้ สามารถนำไปช่วยเหลือผู้คนได้ แต่ทว่าจะให้นางทำโดยมิหวังผลตอบแทน แล้วนางกับครอบครัวจะกินอยู่กันอย่างไร ในเมื่อนางใช้ความสามารถแลกกับเงินทอง เช่นนี้จะว่านางหลอกลวงมิได้ “ก็จริงดังที่เจ้าว่า แต่เรื่องภาพนิมิตที่เจ้าเห็น ยังไม่แน่ชัดว่าจะทำอย่างไรให้รับรู้ได้ เรื่องนี้เราคงต้องดูกันไปเรื่อยๆ ก่อน” “เจ้าค่ะ แต่ที่แน่ชัดคือ การไปที่สระมรกตแห่งนั้น ทำให้ข้าเห็นภาพนิมิตในกาลข้างหน้าได้ ข้าคิดว่าจะต้องเป็นเพราะดอกบัวและสระมรกตนั้นเป็นแน่” “อืม ยายเองก็คิดเช่นนั้น” “น้องเองก็คิดเช่นนั้นขอยับ” “ฮ่าๆ รู้เรื่องกับเขาด้วยหรือ หืม หืม” ลี่มี่มันเขี้ยวน้องชายจนต้องลงโทษ โดยการแย่งกัดขนมในมือน้องชายกิน เรือนสกุลเหมาจึงเริ่มเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้น “ระวังตัวด้วยนะมี่เอ๋อร์ ดูแลน้องให้ดีเล่า” “เจ้าค่ะท่านยาย” วันนี้ลี่มี่ตั้งใจจะไปซื้ออาภรณ์มาใส่ในช่วงฤดูหนาว ทั้งยังจะออกไปทดลองว่าต้องทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิต หากว่านางจะทำเป็นอาชีพ อย่างไรก็ต้องรู้ให้ได้ว่าเงื่อนไขที่จะทำให้เกิดภาพนิมิตนั้นมีอันใดบ้าง “ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดที่ทำให้ข้ามีนิมิต ขอช่วยให้ข้ารับรู้ทีเถิดว่าทำอย่างไรจึงจะเห็นภาพนิมิตเหล่านั้น” ลี่มี่หลับตาตั้งจิตภาวนาอยู่หน้าเรือน สองมือประสานกันไว้กลางอก จิตใจตั้งมั่นจนน้องชายที่มองอยู่ถึงกลับต้องรีบทำตาม หากมีผู้ใดมาพบเห็นภาพของสองพี่น้องยืนภาวนาอยู่หน้าเรือนจะต้องกลั้นขำมิได้เป็นแน่ “ไปกันเถิดอาหมิง วันนี้พี่จะพาเจ้าไปซื้อถังหูลู่ดีหรือไม่” “ดีขอยับ น้องขอสามไม้” ลี่มี่มองน้องชายด้วยสายตาขบขัน มือบางจับจูงมือน้องชาย แต่ทันใดนั้น… เฮือก! “พี่มี่เอ๋อร์” “คิๆ พี่เห็นเจ้าทำถังหูลู่ตกพื้น ฮ่าๆ” “ห๊า!!! น้อง น้องจะถือดีๆ ถือแน่นๆ ขอยับ ไม่ตกแน่นอน” ท่าทางระมัดระวังของน้องชายทำให้ลี่มี่หัวเราะออกมาเสียงดัง มือเล็กกำก้านไม้ถังหูลู่แน่น สองขาค่อยๆ ก้าวเดิน เพราะกลัวว่าขนมของตนเองจะตก แต่เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เพราะยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะได้เดินออกห่างร้านถังหูลู่ กลับมีเด็กชายร่างสมส่วนวัยประมาณ 5 หนาว วิ่งมาชนลี่หมิงจนถังหูลู่ที่อยู่ในมือน้อยตกเกลื่อนเต็มพื้น ลี่หมิงมองไปที่ถังหูลู่บนพื้นดินอย่างเศร้าสร้อย นัยน์ตาสั่นระริก น้ำสีใสเริ่มไหลมาคลอที่หน่วยตา มิเพียงเท่านั้นปากแดงยังเริ่มเบะคว่ำอย่างน่าสงสาร “เดินไม่ดูทาง ชนข้าแล้วเห็นหรือไม่” เด็กชายร่างสมส่วนเอ่ยขึ้นราวกับว่าเป็นลี่หมิงที่กระทำผิด “เจ้าเด็กน้อยผู้นี้! เป็นเจ้าที่มาชนน้องชายข้าจนขนมของเขาตก ยังมิเอ่ยปากขออภัยอีก” ลี่มี่เอ่ยตักเตือนเด็กชายตรงหน้า ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายแล้ว คงจะเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ มิแปลกที่จะหยิ่งผยองเช่นนี้ “นี่เจ้า! มิรู้หรือว่าข้าเป็นผู้ใด” เด็กชายยกมือขึ้นเท้าสะเอวด้วยสีหน้ามิพอใจ “มิรู้ แล้วก็มิอยากรู้ด้วย” ลี่มี่เองก็มิคิดจะยอมยกมือเท้าสะเอว เลียนแบบเด็กตรงหน้า “ข้าจะบอกทหารมาลากเจ้าออกจากตลาด คอยดู” “ฮ่าๆ เจ้าเป็นเจ้าเมืองหรือไร” “ก็ข้า-” “ฮึก ฮื่อ ฮื่อ” เสียงสะอึกสะอื้นเบาๆ ของลี่หมิง ทำให้เด็กชายตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ สีหน้าประดักประเดิดของคุณชายน้อยตรงหน้าทำให้ลี่มี่ขำออกมาเบาๆ คงจะรู้สึกผิดอยู่สินะ เอาเลยอาหมิงร้องต่อไปอย่าพึ่งหยุด “งะ เงียบนะ” “ฮื่อ ฮื่อ ฮื่อออออ” นอกจะไม่เงียบแล้ว ลี่หมิงยังร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม “เงียบเสีย ข้าจะซื้อให้ใหม่” “ฮื่อ~” “ขะ ข้าซื้อให้ใหม่สี่ไม้…” “ฮึก” “ห้าไม้เลยก็ได้ ห้าไม้!” “จริงหยือ” ลี่หมิงปาดน้ำตา เมื่อได้ยินว่าจะได้ถังหูลู่อันใหม่ถึงห้าไม้ ตากลมมองไปยังคนใจดีที่จะซื้อถังหูลู่ให้อย่างคาดหวัง เมื่อเห็นว่าเด็กแก้มอ้วนตรงหน้า หยุดร้องไห้แล้ว คุณชายน้อยจึงเดินไปซื้อถังหูลู่มาห้าไม้ตามที่ได้สัญญาเอาไว้ “เอานี่” “ขอบพระคุณขอยับ คุณชาย…” “โจวหวังเยี่ยน นามข้า” ยังไม่ทันที่ลี่มี่และลี่หมิงจะเอ่ยสิ่งใดต่อ โจวหวังเยี่ยนที่เห็นว่าพี่เลี้ยงของตนกำลังวิ่งตรงมาทางนี้ ก็รีบวิ่งหนีไปทันที “คุณชายเจ้าคะ คุณชาย! รอบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” ลี่มี่เห็นหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นบ่าวรับใช้วิ่งตามคุณชายน้อยไปก็ส่ายหัวไปมา “เห้อ ผู้มีเงินทองเขาเป็นเช่นนี้กันหรอกหรือ ไปกันเถิดอาหมิง” ลี่มี่พาน้องชายเข้าร้านขายอาภรณ์ แต่ด้วยนางมิได้มีเงินทองมากนัก จึงเลือกเสื้อผ้าที่คุณภาพต่ำและเป็นแบบสำเร็จรูป สำหรับใส่ในช่วงฤดูหนาวคนละหนึ่งชุด หมดเงินไปถึงหนึ่งตำลึงเงิน แต่จะมิซื้อก็มิได้ เพราะอาภรณ์ของพวกเขาชำรุดมากแล้ว ทั้งยังมิอุ่นพอจะใส่ในฤดูหนาว ทำให้บัดนี้ลี่มี่เหลือเงินเพียงสี่ตำลึงเงินกับอีกสองร้อยอีแปะ “นี่เงินเจ้าคะ” ลี่มี่ยื่นเงินให้หญิงวัยกลางคนเจ้าของร้าน แต่จังหวะที่มือของลี่มี่สัมผัสกับฝ่ามือของหญิงคนนั้น ภาพต่างๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาหัวอย่างรวดเร็ว เฮือก! “เอ่อ…ท่านระมัดระวังการขึ้นลงบันไดไว้เสียหน่อยนะเจ้าคะ บันไดที่บ้านท่านดูเหมือนว่าจะมีขั้นที่มันผุอยู่” เอ่ยเพียงเท่านั้นลี่มี่ก็พาน้องชายออกจากร้านทันที เด็กสาวเดินไปคุ้นคิดไป เมื่อครู่นางเห็นภาพนิมิต ยามที่สัมผัสมือของแม่ค้าร้านขายอาภรณ์ หรือว่านิมิตนี้จะเกิดจากการสัมผัสที่มือ คราแรกที่นางเห็นภาพนิมิตของอาหมิงก็เป็นตอนที่นางก้มลงจุมพิตมือน้อยของน้องชาย ของท่านยายก็เช่นกัน เกิดขึ้นตอนที่นางกุมมือท่านยาย แต่ของพี่อู๋ท่งเล่า ตอนนั้นท่านพี่อู๋ท่งเพียงช่วยพยุงนางเท่านั้น มิได้สัมผัสมือกันสักนิด จริงสิ! หรือว่าจะเป็นเพราะการสัมผัสร่างกาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD