ตอนที่ 2 : First Kiss

2553 Words
ติ๊ง!! ประตูลิฟต์เปิดออกที่ชั้นหนึ่ง ชายหนุ่มหันไปมองทันทีเมื่อได้ยินเสียง เขาหายใจเข้าแรงแล้วสะดุดไปทันที เมื่อเห็นหญิงสาวเอวบางร่างน้อย นัยน์ตากลมโต ใบหน้าคมหวาน ผมดำยาวสลวยสยายเต็มหลัง สวมชุดแม็กซี่เดรสสีขาวปักฉลุลายดอกไม้ตัวยาวจนถึงข้อเท้า แขนยาวสามส่วนเลียนแบบชุดอาบายะห์ แต่จะออกไปในสไตล์ตะวันตกมากกว่า ซึ่งเข้ากันได้ดีกับรองเท้าผ้าหุ้มส้นพิมพ์ลายดอกไม้วินเทจสีเทา กำลังเดินเข็นกระเป๋าเดินทางออกมาจากลิฟต์ รูปร่างหน้าตาของหญิงสาวทำให้หลายๆ คนในล็อบบี้มองมาอย่างสนใจ เขาได้สติรีบลุกเดินเข้าไปทักทาย ด้วยหัวใจที่กำลังเต้นรัวแรง พูดอะไรไม่ออกอยู่ชั่วครู่ ราวกับสายตากำลังถูกตรึงวิญญาณก็กำลังถูกดูดกลืนหายไปด้วยเสียอย่างนั้น “มิสนรากร?” ชายหนุ่มมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครา มีดีอยู่ตรงที่นัยน์ตาคมยาวรี ที่เวลาเปิดปากยิ้มแล้วทำให้ดวงตาคมกริบนั้นดูหวานและมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก เขาทักขึ้นก่อน เพื่อยันยันว่าใช่คนที่กำลังรออยู่หรือเปล่า “ค่ะ ฉันเอง” หญิงสาวยิ้มรับเพียงเล็กน้อยให้กับใบหน้าที่เต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังนั่น แล้วส่งมือให้ ชายหนุ่มจับมือตอบเป็นการทักทาย แล้วกดเน้นปลายนิ้วชี้ลงบนฝ่ามือบอบบางด้านในเพื่อเป็นการส่งสัญญาณ หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย เขาพูดภาษาอังกฤษเสียงเบาที่ได้ยินเพียงแค่สองคน ในขณะที่ฉีกยิ้มจนแทบไม่เห็นว่ากำลังขยับริมฝีปาก “ผมอิฟราอิม จะคอยดูแลคุณที่นี่ และเพื่อความสมจริง เราควรจะแสดงออกว่าเป็นคู่รักต่างชาติที่เพิ่งจะได้พบกันเป็นครั้งแรก จะเป็นการดีต่อภารกิจของเราที่สุด คุณเห็นควรว่าอย่างไร?” “เดี๋ยวนะคะ! ฉันคิดว่า..” ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ เขาก็สวมกอดเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว แขนแข็งแรงราวกับปลอกเหล็กรัดรอบตัวเธอเอาไว้แน่นไม่ให้ดันตัวออกมาได้ พร้อมกับกระซิบเบาๆ “อยู่นิ่งๆ มีคนแอบดูอยู่ด้านนอก!” พอได้ยินดังนั้น ริมฝีปากแดงก่ำก็คลี่ยิ้มหวานออกมา เป็นรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าเขย่าหัวใจผู้ชายได้ทั้งโลกเลยทีเดียว แขนเรียวเล็กโอบไปรอบคอ ยื่นหน้าเข้าไปชิดเล็กน้อย จนปลายจมูกเฉียดแก้มเขาไปนิดหนึ่งแล้วถอยออก เขารู้สึกว่าเป็นการหว่านเสน่ห์ที่เย้ายวนอย่างร้าย “คิดถึงคุณจังเลยค่ะ ฉันรอเวลาที่เราจะได้พบกันแบบนี้มานานเหลือเกิน! อุ้บส์!” หญิงสาวตกใจที่เขาเล่นนอกบทเพื่อให้สมจริงโดยไม่บอกล่วงหน้า อิฟราอิมจุมพิตเบาๆ ที่ริมฝีปากครั้งหนึ่งแล้วถอนออก นัยน์ตามองนิ่งที่ริมฝีปากอิ่มแดงระเรื่อคล้ายกำลังเผลอ ก่อนจะกดริมฝีปากให้หนักขึ้นอีกอย่างห้ามใจไม่อยู่ คนแอบดูบ้านญาตินายสิ!! นี่มันนอกบทชัดๆ!! หญิงสาวไล้นิ้วเรียวจากลำคอเสยเข้าไปในกลุ่มผมบริเวณท้ายทอย แล้วจิกเล็บเรียวแหลมลงบนหนังศีรษะของเขาอย่างไร้ซึ่งความสงสาร พร้อมๆ กัดไปที่ริมฝีปากล่างของเขา ไม่แรงแต่ก็ไม่เบาเช่นกัน "อึ้บ!!" หนุ่มนักแสดงได้สติถอนริมฝีปากออกเกือบจะทันที เหลือบสายตามองมาอย่างตัดพ้อ แต่กลับทำให้ดวงตาดูเป็นประกายมีเสน่ห์ชวนหลงไหล หญิงสาวไล้ปลายนิ้วไปที่ริมฝีปากบางเย็นของเขา แล้วยิ้มหวานเคลือบความสะใจเอาไว้เล็กน้อย “ที่รัก! อย่าวู่วามสิคะ ที่นี่มันที่สาธารณะ เวลาฉันเขินมักจะมือไม้กระตุก ควบคุมตัวเองได้ไม่ดี ว่าแต่ตอนนี้..เราจะไปกันได้หรือยังคะ?” เขาไม่พูดอะไร ยกนิ้วโป้งไล้บริเวณที่ถูกกัด ในดวงตามีประกายชื่นชมวาบผ่าน ในขณะที่ปล่อยร่างเล็กออกจากอ้อมแขน แต่ก็ยังโอบเอวไว้ข้างหนึ่ง อีกมือลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไปด้วยราวกับไร้น้ำหนัก แล้วพาออกเดิน … “น่าจะเป็นคู่รักกันจริงๆ ไม่ใช่คนที่เราสงสัยหรอก” เสียงหนึ่งที่ซุ่มดูอยู่ในรถหน้าโรงแรมพูดขึ้นมา “อีกเดี๋ยวก็รู้!” อีกเสียงหนึ่งพูด แล้วสตาร์ทรถ ขับตามรถคันหน้าไปอย่างระแวดระวัง ……………………. หลังจากที่โดนขโมยจูบแรกอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เธอก็หมายหัวผู้ชายคนนี้ทันทีว่าเป็นบุคคลอันตราย ปากว่ามือถึง ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรอยู่ใกล้ๆ จะดีที่สุด ซึ่งคล้ายๆ กับความคิดของชายหนุ่ม เขาแกล้งโยนสถานการณ์ใส่หน้า เพื่อรอดูปฏิกิริยาและไหวพริบในการแก้ไขปัญหา ไม่เพียงเธอเอาตัวรอดได้ดี ยังมีเขี้ยวเล็บรอบตัว ไม่ใช่กุหลาบไร้หนามอย่างที่เขาคิดไว้แต่แรก ชายหนุ่มยอมรับกับตัวเองว่า รู้สึกติดใจริมฝีปากอวบอิ่มนั่นอยู่ไม่น้อย กลิ่นที่หอมอ่อนๆ จากกายหญิงสาวมันทำให้อารมณ์ของเขาปั่นป่วนอยู่ภายใน จนทำให้เกือบลืมตัวว่าอยู่ท่ามกลางที่สาธารณะ เห็นควรว่าต้องอยู่ให้ห่างไว้เป็นดีที่สุด จะได้ไม่เสียงาน เมื่อรถจอดติดสัญญาณไฟแดง ต่างคนต่างหันออกไปมองนอกรถ ไม่มีใครคิดอยากจะสื่อสาร หรือพูดอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการทำลายความเงียบสงัดจนดูเป็นวังเวงนี้เลยสักคน เขาชะลอความเร็วและขับช้าเกือบเป็นคลาน เธอจึงหันมามองตรง เลยเห็นว่ามีกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงเป็นจำนวนมากอยู่หน้าสถานทูตเปเรซ เธออ่านตามป้ายข้อความที่เขียนเป็นภาษาอาหรรับเหล่านั้น ส่วนใหญ่จะเขียนร้องขอไม่ให้มีสงคราม มีด่านตรวจอยู่ข้างหน้า ชายหนุ่มหันมาจ้องตาเธอนิ่งอยู่ชั่วครู่แต่ไม่พูดอะไร จากนั้นก็หมุนกระจกทักทายเจ้าหน้าที่ที่อยู่ด้านนอก “อัสลามุอะลัยกุม” เขากล่าวทักทาย ความหมายของประโยคนี้ก็คือ ขอความสันติสุข หรือความสุขจงมีแด่ท่าน “วะอะลัยกุมมุสลาม ขออนุญาตดูเอกสารประจำตัวด้วยครับ” อิฟราอิมยกตัวขึ้นเล็กน้อย หยิบกระเป๋าหนังใบเล็กสีน้ำตาลออกมาจากกระเป๋าหลังของกางเกงยีนส์ แล้วหยิบการ์ดใบเล็กส่งให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งขณะนี้ก็กำลังจ้องมองนิ่งมาที่คนนั่งข้างคนขับอย่างไม่วางตา “สุภาพสตรีต่างชาติท่านนี้เป็นอะไรกับคุณครับ?” “เอ่อ..จะเรียกว่าแฟนก็ได้ เราคุยกันผ่านแอปพลิเคชันกันมาเป็นปีๆ ก่อนที่จะได้พบตัวจริงกันครั้งแรกวันนี้” “มีหลักฐานการคุยเพื่อยืนยันสถานะไหมครับคุณผู้หญิง?” เจ้าหน้าที่พูดกับเธอเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งถ้าเป็นคนต่างชาติที่ไม่รู้ภาษาเขา ก็จะไม่รู้ว่าบทสนทนาก่อนหน้านี้ได้คุยอะไรกัน ซึ่งแน่นอนว่าถ้าต้องการจริงๆ เธอก็ไม่มีจะให้ “หลักฐานอะไรคะ? ราอิมคะ! ช่วยอธิบายหน่อย ฉันไม่เข้าใจภาษาของคุณ!” หญิงสาวตีเนียนเรียกชื่อชายหนุ่มคนข้างๆ อย่างสนิทสนม โดยไม่ได้ขออนุญาต เขาไม่ตอบ แต่หยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ตรงคอนโซลมาเปิดหาแอปพลิเคชันที่อ้างถึง แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ได้ดู ทางนั้นรับไปแล้วสไลด์เลื่อนอยู่สี่ถึงห้าครั้งจึงส่งคืน “ขอดูพาสปอร์ตด้วยครับ” เจ้าหน้าที่พูดภาษาอังกฤษ ขอตรวจสอบเพิ่มเติมอีกอย่างไม่ไว้ใจ หญิงสาวเลยเปิดกระเป๋าถือ แล้วยื่นส่งให้ “มาจากประเทศทีแลนด์ มาทำอะไรที่นี่ครับ?” “แน่นอนว่าต้องการพบแฟนฉันคนนี้” หญิงสาวเอื้อมมือไปทาบบนหลังมือชายที่อ้างว่าเป็นคนรัก มือใหญ่ที่กำลังจับเกียร์อยู่ก็พลิกฝ่ามือหงายขึ้นมากอบกุมมือเธอไว้กระชับ พร้อมกับส่งยิ้มและนัยน์ตาหวานมาให้ หญิงสาวยิ้มตอบ “ฉันเป็นยูทูปเบอร์ด้วยค่ะ และเพื่อให้ทริปนี้เป็นการเดินทางที่คุ้มค่าและเป็นความทรงจำที่ดี ก็เลยคิดจะทำคอนเทนท์ประชาสัมพันธ์ประเทศเปเรซไปด้วยในตัว” “ญาซากัลลอฮ์ ขอบคุณที่ให้ความสำคัญกับประเทศของเรา หวังว่าแฟนของคุณจะแนะนำสถานที่ที่พวกเราภาคภูมิใจให้กับคุณ เพื่อที่จะทำคอนเทนต์ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่เป็นนามบัตร หากคุณต้องการความช่วยเหลือ หรือต้องการสอบถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับเปเรซ อย่าลังเลที่จะติดต่อเรา และขอโทษที่ทำให้ต้องเสียเวลาด้วยครับ เชิญ” เขาผายมือเล็กน้อย เพื่อให้ผ่านไปได้ “ญาซากัลลอฮ์ ค็อยร็อน” อิฟราอิม กล่าวขอบคุณตอบ หญิงสาวเหลือบตามองคนข้างๆ แต่เขากำลังมองที่กระจกมองหลัง เธอจึงเอี้ยวตัวมองบ้าง เห็นเจ้าหน้าที่คนนั้นเดินไปคุยกับคนในรถคุ้นตาที่จอดอยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มหันมามองอากัปกิริยาอยากรู้อยากเห็นของคนที่นั่งข้าง ทำให้มุมปากบางเชิดขึ้นเล็กน้อย “เรามาทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการอีกสักครั้งดีไหม? ผมพันเอกอิฟราอิม อัลอิสมาอิล ผู้ร่วมงานในภารกิจครั้งนี้” หญิงสาวหันหน้ามามองเขา เอ่ยกล่าวมาเสียงเรียบไม่บอกความรู้สึก “พริมโรส นรากรค่ะ รับหน้าที่หน่วยไซเบอร์ ยินดีที่ได้ร่วมงาน” “คุณทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองรัฐบาล หรือเป็นสายลับทหาร?” “รัฐบาลค่ะ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี แต่จริงๆ แล้วหน้าที่ไม่แตกต่าง สามารถทำงานร่วมกันได้ เพียงแต่หน่วยฉันจะเน้นไปทางการก่อการร้ายทางไซเบอร์ ให้ข้อมูลการติดตาม และรายงานตำแหน่งของผู้ก่อการร้ายให้กับทุกหน่วยงาน” “คุณมีเวลาพักแค่คืนนี้ ก่อนจะเริ่มงานอย่างจริงจังในวันรุ่งขึ้น ไหวไหมทหาร?” เขาพูดล้อ “เซอร์ เยส เซอร์!” หญิงสาวตอบรับมุกเขา พร้อมแตะสองนิ้วที่ปลายคิ้ว ทำให้เขายกยิ้มที่มุมปากอย่างชอบใจ “คุณทำงานเสี่ยงอันตรายแบบนี้ แฟนคุณเขาไม่เป็นห่วงบ้างหรือไง?” พริมโรสนิ่ง เพราะรู้ว่าเขาแกล้งถามเรื่องส่วนตัวจึงเลือกไม่ตอบ เขาหันมามองนิดหนึ่งเห็นหญิงสาวมองตรงไปข้างหน้า ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ปล่อยให้บรรยากาศเดทแอร์ไปเสียอย่างนั้น “คุณส่งอะไรให้เจ้าหน้าที่เขาดู?” จู่ๆ หญิงสาวก็ถามขึ้นมา “ก็แชทที่คุยกับสาวๆ พร้อมกับภาพส่วนตัวนิดหน่อย” หญิงสาวหน้าแดง เพราะคิดลึกไปกับคำว่าส่วนตัวของเขา ถ้าเกิดเจ้าหน้าที่นั่นต้องการให้พิสูจน์ความสัมพันธ์ตามแชทส่วนตัวที่ว่านั่น ไม่อยากจะเดาเลยว่า หมอนี่จะลังเลหรือเปล่า “ขอโทษที่ฉันเรียกชื่อคุณเฉยๆ พอดีว่าสถานการณ์มันบังคับ” “ผมไม่ถือ เราควรจะมีชื่อเรียกที่แสดงให้เห็นว่าเป็นคู่ที่รักกันอย่างมาก คุณมีชื่ออื่นสำหรับเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวเรียกกันไหม?” “พริมค่ะ พ่อฉันเรียกว่าพริม” “แล้วแฟนล่ะ เรียกคุณว่าอะไร?” หญิงสาวมองหน้า เพิ่งจะรู้ตัวว่าถูกเขาต้อนมามุมเดิมอีกแล้ว “ฉันก็มีอยู่ชื่อเดียว เขาจะเรียกอะไรก็แล้วแต่” หญิงสาวพูดเป็นกลางๆ ไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น ก็ยกยิ้มที่มุมปาก “งั้นผมจะเรียกคุณว่าอัลบีดีไหม?” พริมโรสหน้าแดง หันมองออกนอกหน้าต่างด้านข้าง กลัวเขาจะรู้ว่าเธอรู้ความหมายของคำนั้น คำที่มีความหมายว่าที่รักในภาษาอาหรับจะมีหลายคำ อัลบีก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอรู้สึกเอือมกับความหน้ามึนของเขา ที่สามารถดึงบทสนทนาให้เข้าข้างตัวเองได้อยู่ตลอด “บ้านโฮสต์นี่เป็นคนของคุณด้วยหรือเปล่าคะ?” พริมโรสเปลี่ยนเรื่องคุย “ใช่ เขาทำงานอยู่หน่วยข่าวกรองทั้งคู่ คุณสามารถเป็นตัวของตัวเองได้สบายโดยไม่ต้องระแวดระวัง” “นอกจากคุณกับทีมของฉันแล้ว ยังมีคนอื่นอีกไหมคะ?” “ไม่น่าจะมี ผมสั่งให้เขาปิดรับไปแล้ว เสียงคุณดูเนือยๆ นะ ง่วงหรือเปล่า? จะนอนก็ได้นะ ถึงแล้วผมจะปลุก” “เกรงใจคุณจัง เมื่อวานพอมาถึงที่พัก ก็เขียนคอนเทนต์ต่ออีกจนดึก เลยออกจะเพลียๆ” “นอนเถอะ ปรับเบาะลงเลย จะได้สบายตัว” “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวไม่ค้านอีก รีบปรับเบาะตามคำแนะนำ แล้วหลับไปเกือบจะทันทีที่เปลือกตาหลุบลง … “คุณ! ตื่นเถอะ ถึงแล้ว!” ชายหนุ่มเรียก จับไหล่บอบบางเขย่าเบาๆ แต่ไม่มีทีท่าว่าหญิงสาวจะรู้สึกตัว เขาเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วเดินอ้อมไปฝั่งตรงข้าม กำลังจะเปิดประตูก็มีเสียงทักเสียก่อน “ผู้พันมาเสียมืดเลย มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?” “เจอด่านตรวจน่ะ เลยรถติดยาว” “เรามีปัญหาอย่างหนึ่งคือ.. มีเซิร์ฟจองเข้ามาก่อนที่เราจะปิดรับ พยายามขอยกเลิกแล้ว แต่เขาไม่ยินยอม ผมกลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เลยจำเป็นต้องตอบรับ” “ไม่เป็นไร แต่จะทำอะไรก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน” “ครับผม” เขารับคำแล้วเดินไปท้ายรถ ขนกระเป๋าออกมาวางที่พื้น สายตาเหลือบมองชายหนุ่ม ที่กำลังอุ้มหญิงสาวร่างเล็กเดินเข้าไปในตัวบ้าน อิฟราอิมเกรงว่าหญิงสาวจะตื่นขึ้นมาแล้วตกใจที่เห็นเขาอุ้มเธออยู่ในอ้อมแขน จึงประคองอย่างระวัง แต่หญิงสาวกลับทำตรงกันข้ามกับความคิด เธอขยับตัวเล็กน้อยซุกเบียดไปกับอกกว้างเพื่อให้อยู่ในท่าที่สบายขึ้นแล้วครางออกมาเบาๆ อย่างพึงพอใจ เขามองใบหน้าหวานนวลเนียน แล้วยิ้มออกมาอย่างเอ็นดู ก่อนที่จะเดินตรงไปยังห้องพัก “ผู้พัน! มิสนรากรเป็นอะไรคะ ทำไมคุณต้องอุ้มเธอเข้ามาอย่างนั้น?” อัลวานีภรรยาเจ้าของบ้านทักถามขึ้นมาอย่างตกใจ “เพลียน่ะ! ปลุกไม่ตื่นเลยต้องอุ้มเข้ามาแบบนี้ล่ะ” “อ๋อ! โล่งอก! ห้องของมิสทางนี้ค่ะ” อัลวานีรีบเดินนำขึ้นบันไดไปก่อน แล้วเปิดประตูทางขวามือ หลบทางหนึ่งเพื่อให้ชายหนุ่มเดินเข้าไป “ห้องของคุณอยู่ตรงข้าม สามีฉันบอกแล้วใช่ไหมคะว่าเราจะมีเซิร์ฟมาพักด้วยอีกคน” “บอกแล้ว ห้องนี้พักกี่คน?” “เราจัดให้มิสนอนคนเดียวค่ะ ส่วนของคุณพักร่วมกับอีกสองคน สะดวกไหมคะ” “ไม่สะดวก! ผมกับมิสนรากรจะต้องแสดงเป็นคู่รักกัน ถ้าแยกกันคนละห้องอาจจะเป็นที่สงสัย แล้วคนที่จะมาใหม่ล่ะ?” “ให้พักห้องข้างล่างค่ะ อยู่ตรงข้ามห้องฉันเลย จะได้คอยจับตาดูด้วย” “อืม” “ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้บาซิม เอากระเป๋ามาไว้ห้องนี้ คุณทานอะไรมาหรือยัง? เราทำอาหารเตรียมไว้ให้ แต่ก็ไม่รู้ว่าพวกคุณจะมาถึงกันกี่โมง” “เอาสิ! กำลังหิวเลย” อัลวานียิ้มแล้วเดินออกไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD