บทที่ 9 คิดอ่านเยี่ยงสตรีร้ายกาจ

1357 Words
บทที่ 9 คิดอ่านเยี่ยงสตรีร้ายกาจ ลี่เฟยถอนใจเฮือกใหญ่เมื่อเดินเข้ามายังเรือนนอนของตน นางรู้สึกราวกับมีเข็มเล็กแหลมนับพันเล่มทิ่มแทงหัวใจ ขาทั้งสองหนักอึ้งการก้าวเดินไปยังห้องส่วนตัวในยามนี้ช่างยากเย็นเกินกว่าที่จะจินตนาการ แม้จะเคยคิดสงสัยอยู่ลึกๆ แต่คุณหนูไป๋ผู้นี้ก็ไม่คาดคิดเลยว่า น้องรองที่ตนทำดีด้วยมาตลอดในทุกชาติ จะทำกับตนเช่นนี้ได้จริง “จูจู ที่ข้าเคยสั่งไว้ได้คนมาหรือยัง” นางหันไปถามเรื่องที่เคยสั่งให้จูจู หาคนที่สามารถเป็นหนอนบ่อนไส้ในเรือนของฮูหยินรอง และซินหยานไว้สักคนสองคน “ได้แล้วเจ้าค่ะ” จูจูบอกกล่าว แต่ไม่ได้แจกแจงว่าเป็นผู้ใด เพื่อให้ยามที่ถูกจับได้ คุณหนูของตนจะได้ปฏิเสธอย่างหมดจด “ดีจริง ข้าก็นึกว่าจะแอบใช้ความวุ่นวายแกล้งหลงลืมคำสั่งข้า เหมือนตีเนียนอยู่ข้างกาย ทั้งที่สั่งให้ไปพักผ่อนเสียอีก” ลี่เฟยเอ็ดจูจูด้วยความขบขัน “โถ่ มีคนมาเช่นนี้ จูจูควรอยู่ข้างกายจึงจะถูกต้อง” เมื่อบ่าวที่รู้ใจอ้างเหตุผลออกมาลี่เฟยก็ไม่ได้ว่าอันใด ต่อ และเงียบขรึมลงไปครู่หนึ่ง “จูจู…หากวันหนึ่งข้าร้ายกาจ เจ้าจะยังรักข้าหรือไม่” “หากคุณหนูต้องการร้ายกาจ บ่าวก็จะช่วยคุณหนูคิดอ่านอย่างสตรีร้ายกาจเจ้าค่ะ” บ่าวที่อายุมากกว่าลี่เฟยเพียงไม่กี่ปีรับปากอย่างหนักแน่น การเป็นบ่าวผู้อื่นไม่ง่ายเลย มีแต่คุณหนูผู้นี้ของนางที่มากเมตตา หากคุณหนูใหญ่ร้ายกาจใส่ผู้ใด จูจูก็คิดว่ามันผู้นั้นคงกระทำในสิ่งที่สมควรโดนแล้ว “เช่นนั้นข้าจะฝึกฝนตนเอง ให้คิดอ่านสิ่งใดก็ยึดถือเอาสตรีร้ายกาจเป็นแบบอย่างแล้วกัน” ลี่เฟยคลี่ยิ้มเต็มดวงหน้า แล้วเคลื่อนตัวไปนั่งอยู่ขอบหน้าต่างของห้องนอนตนเอง ร่างกายเพรียวลมนั่งอยู่อย่างนั้นจนดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป ทำอย่างไรดี ส่งไปดูน้ำพุเหลืองร่วมกันตอนนี้ได้หรือไม่นะ แม้ไป๋ลี่เฟยจะต้องการให้จ้าวหลินไฉ่ได้ลิ้มรสชาติของความตาย แต่ในเวลานี้นางยังไม่สามารถพอที่จะลงมือทั้งหมด โดยไม่เดือดร้อนมาถึงตัวเอง สิ่งที่นางลงมือได้ควมีแต่การทำให้รู้สึกแสบคันเท่านั้น คุณหนูใหญ่ผู้เหนื่อยล้าคิดได้ว่าชาตินี้ ตนต้องผูกสัมพันธ์กับผู้ที่นางรู้ชัดเจนว่าเป็นปรปักษ์กับองค์ชายสาม และต้องเร่งเลื่อนขั้นให้เหนือกว่าในชาติภพก่อน ส่วนการจะช่วงชิงน้ำหกธาตุพิชิตมาครอบครอง ลี่เฟยคงต้องมีสัตว์ในพันธะไว้คอยช่วยยามเดินทางเสียก่อน หากได้เจอมี่เก๋ออีกคราก็คงดี สัตว์ในพันธะข้างกายของนางในชาติก่อน มีนามว่ามี่เก๋อ จิ้งจอกขาวที่อยู่ร่วมกันมาจนผูกพันนั้น คือส่วนสำคัญในชีวิตของลี่เฟย เมื่อนึกดูแล้วมี่เก๋ออาจเป็นหนึ่งในไม่กี่ชีวิตที่รักและซื่อสัตย์กับไป๋ลี่เฟยอย่างจริงใจ ‘ตุ๊บ’ เสียงของหินก้อนหนึ่งตกกระทบลงบนพื้นห้อง ไป๋ลี่อิงใช้พลังปราณในกายส่งไปยังม่านดวงตาทันที นางสอดส่องดูในความมืดมิด แต่กลับพบแค่ไอปราณบางเบาในทิศทางมุ่งออกไปจากจวนเท่านั้น คืนนี้นางเหนื่อยอ่อนเกินกว่าจะลุกขึ้นไล่ตามผู้ส่งสารที่ลักลอบเข้ามาในจวน ลี่เฟยจึงลงจากขอบหน้าต่างที่นั่งอยู่หยิบก้อนหินที่ห่อกระดาษนั้นขึ้นมาแทน ‘อีกสองวัน ข้าจะรับเจ้าไปสำนักศึกษา โจวเฉิง’ ในจดหมายเป็นสารจากองค์ชายหกนั่นเอง ไป๋ลี่เฟยยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย แม้จะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจ้าวโจวเฉิงเพียงแค่ทำตามสัญญาให้นางได้ออกห่างจากหลินไฉ่ แต่เพราะไม่เคยได้ทำสิ่งที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ สายตาผู้ใหญ่เช่นนี้มาก่อน ก็อดจะรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้ ไป๋ลี่เฟยกลับมาคราวนี้เห็นทีว่าจะกระทำหลายอย่างที่แหกกฎเกณฑ์ไป จนนางแอบรู้สึกว่าชาติที่แล้ว อาจทำตัวน่าเบื่อหน่ายมากไปเสียหน่อย แต่สิ่งที่น่าแปลกใจคือองค์ชายผู้นั้นลอบเข้าจวน หลบเลี่ยงทหารที่ตรวจตราโดยรอบมาได้อย่างไร ในเมื่อระดับปราณขององค์ชายในการรับรู้ของนางนั้นอยู่ที่เขียวขั้นต่ำในอีกหกปีข้างหน้า นั่นทำให้เกิดความสงสัยเสียแล้ว เพราะหากจะลอบเข้าจวนขุนนางชั้นสูง อย่างน้อยก็ต้องมีระดับเขียวขั้นกลาง จึงจะหลบเลี่ยงการตรวจสอบได้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีเพียงตัวนางที่ปกปิดพลังปราณที่แท้จริงเอาไว้เสียแล้ว “เวียนหัวจริง” ไป๋ลี่เฟยมองไปที่มุมห้องเตรียมจะอธิบายให้บ่าวคนสนิทฟังว่าหินก้อนนี้ไม่ได้มาจากผู้ประสงค์ร้าย แต่เมื่อเห็นว่าจูจูสัปหงกอยู่มุมห้องก็หัวเราะเสียงใสออกมา “จูจูเป็นอย่างไรเล่า ข้าบอกให้พักก็ดื้อดึง คิก คิก” ก็หลงนึกว่าที่ไม่ถามเพราะจะรอข้าบอก ที่แท้ก็ไม่ได้รับรู้เรื่องราวใดเลย “จูจู!” ลี่เฟยเรียกเสียงดังครั้งหนึ่ง ก็สามารถปลุกจูจูให้ตื่นได้ และหลังจากขอโทษขอโพยไปชุดใหญ่ และการเรียกร้องบทลงโทษจากบ่าวผู้นี้ สุดท้ายคุณหนูใหญ่ผู้มีพื้นฐานจิตใจงดงามจึงต้องยอมลงโทษบ่าวผู้นี้ โดยการสั่งให้อยู่แต่ในห้องนอนบ่าวและสวนข้างเรือนสองวัน เพื่อบังคับให้จูจูพักทางอ้อม เมื่อจูจูรุดกายออกไปแล้ว ลี่เฟยก็หยิบกระดาษแผ่นน้อยมาสอดเก็บไว้ใต้แผ่นหยกทับกระดาษของตน ก่อนจะนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย สองวันผ่านไป… ไป๋ช่างชางแจ้งกับไป๋มู่ชางผู้เป็นบิดาว่า วันนี้ตัวเขา และไป๋ลี่เฟยจะไปยังสำนักศึกษาพร้อมกับขบวนขององค์ชายหก ในคราแรกขุนนางไป๋คัดค้านเล็กน้อย เพราะเป็นวันรายงานตัวเข้าสำนักศึกษาของไป๋ลี่เฟยและไป๋ซินหยาน แม้จะอยู่ดูได้เพียงห่างๆ ผู้เป็นบิดาก็ต้องการจะไปส่งบุตรสาวด้วยตนเอง แต่เมื่อไป๋ช่างชางหว่านล้อมว่าอย่างไรขบวนของสกุลไป๋ก็มีบิดามารดาไปด้วยอยู่แล้ว เมื่อถึงจุดหมายก็ไม่เป็นปัญหาใด ไป๋มู่ชางจึงยินยอม ด้วยเห็นว่าเด็กทั้งหลายอาจต้องการพูดคุยกันให้สนุกสนานกว่ายามมีผู้ใหญ่ปะปน “พี่รอง!” ไป๋ลี่เฟยร้องทักพี่ชายมารดาเดียวกันที่มายืนรอรับอยู่ วันนี้นางใส่อาภรณ์สีขาวคาดผ้าสีม่วงอ่อนที่ตนเองชอบเช่นเดิม “พักหลังนี้เจ้าใส่แต่สีม่วง เห็นทีหากเจอผ้าสีม่วงที่งดงามคงต้องซื้อเก็บไว้ให้แล้ว” ไป๋ช่างชางหยอกล้อออกไป “ดียิ่ง ข้าจะได้ตัดเพิ่มให้หนำใจ” ดวงตาที่ยกยิ้มขึ้นเป็นจันทร์เสี้ยวปรากฎขึ้น พร้อมกับรถม้าขององค์ชายหกที่เลี้ยวเข้ามาในจวนไป๋ “องค์ชายมาแล้ว พวกเราไปกัน” ไป๋ช่างชางพยักหน้า “ท่านพ่อท่านแม่ไว้พบกันที่สำนักนะเจ้าคะ” ลี่เฟยกล่าวลาบิดามารดาแล้วจึงเดินตามพี่ชายที่พยุงตนขึ้นรถม้า ภายในรถม้ากว้างขวางไม่แน่ว่าอาจจุคนได้ถึงแปดคน เมื่อขึ้นมานั่งแล้วก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเหตุใดจ้าวโจวเฉิงจึงต้องการมารับตนและพี่ชายให้ไปด้วยกัน อ่าา…เป็นคุณหนูผู้นี้สินะที่องค์ชายหกต้องการให้ช่วยกีดขวาง _______ น้ำพุเหลือง หมายถึงปรโลก โลกหลังความตาย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD