บทที่ 11 ศิษย์ที่ไม่เหมาะสม

1763 Words
บทที่ 11 ศิษย์ที่ไม่เหมาะสม คุณหนูไป๋ถูกจับจ้องมองมาเป็นตาเดียว หลังนางขยับกายออกจากแถวแสดงตนให้โฉ่โม่จินเห็นว่าอยู่จุดใด ไป๋ลี่เฟยมีเม็ดเหงื่อผุดพราวจากการจมอยู่ในแถว แต่นั่นกลับทำให้ผู้คนตีความไปว่านางเหงื่อออกเพราะกำลังกลัวความผิดบางอย่าง “มาสิ” อาจารย์โฉ่ของสำนักศึกษาหลวงเรียกให้ไป๋ลี่เฟยออกไปหา เมื่อนางเดินมาถึงบริเวณหัวแถว ผู้ช่วยอาจารย์ที่นั่งเฝ้ากระดาษลงชื่อมองไป๋ลี่เฟยด้วยมุมปากหยักโค้งน้อยๆ คล้ายจะเย้ยหยันนาง เสียงอื้ออึงของศิษย์ใหม่ทั้งหลายที่เคยมี เงียบเฉียบลงจนน่าหวาดหวั่น ทุกคนต้องการจะรู้ว่าอาจารย์ที่เก่งกาจในวิชาศาสตร์โบราณและการประยุกต์ที่สุดในสำนัก ต้องการอันใดจากศิษย์ระดับม่วงที่ยังไม่เข้าเรียนกัน “ท่านอาจารย์ ศิษย์กำลังรอลงชื่อเจ้าค่ะ” ลี่เฟยคลี่ยิ้มให้อาจารย์ของตน “อ่า ไม่ต้องๆ เดี๋ยวเจ้าตามข้ามา” โฉ่โม่จินโบกมือน้อยๆ “นางทำอันใดให้ท่านอาจารย์โฉ่ขุ่นเคืองหรือ หากไม่ลงชื่อวันนี้นางจะต้องไปเป็นศิษย์สำนักอื่นเชียวนะท่านอาจารย์” ผู้ช่วยอาจารย์ที่รับลงชื่อเอ่ยออกมาคล้ายเป็นห่วง แต่ความจริงมีอารมณ์สมน้ำหน้า เพราะตัวเขานั้นเป็นชาวบ้านธรรมดาที่บังเอิญระดับพลังสูง จึงได้มานั่งชูคออยู่ในสำนักศึกษาหลวง แต่เด็กที่นี่บางคนวัดได้แค่ส้ม แดง หรือม่วง แต่กลับได้เข้าเรียนในสำนักที่ดีที่สุด เพียงเพราะมาจากสกุลใหญ่โต “อ้อ…ข้าจะรับไป๋ลี่เฟยเป็นศิษย์ในของข้า ต้องไปลงทะเบียนไว้กับอาจารย์ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนกลาง เจ้าไม่ต้องต่อแถวแล้ว” ประโยคหลังอาจารย์หันมาบอกกล่าวกับไป๋ลี่เฟย ออกท่าทางว่าตนเหนือชั้น ชวนให้ศิษย์ตัวน้อยรู้สึกหมั่นไส้ ท่าทีมีอารมณ์ขันเช่นนี้ อาจารย์โฉ่จะมีให้เฉพาะกับคนสนิทและศิษย์ในของตนเองเท่านั้น “แต่นางพึ่งเข้าศึกษา การเลือกอาจารย์จะเกิดขึ้นตอนจบปีหนึ่งมิใช่หรือเจ้าคะ” ศิษย์ในระดับม่วงที่อยู่หัวแถวถามออกมาอย่างมึนงง “ทั่วไปแล้วก็เป็นเช่นนั้น แต่กรณียกเว้นก็มีอยู่ สามารถพิจารณาได้ตามเหมาะสม” โฉ่โม่จินคลายสงสัยให้ “แต่นางไร้ความเหมาะสม!” คุณหนูเสิ่นตะโกนออกมาจากแถวสีส้มที่ผู้คนน้อยกว่า นางจึงอยู่บริเวณด้านหน้า ทั้งที่มาถึงเวลาเดียวกัน “คุณหนูท่านนี้กล่าวเกินไปแล้วหรือไม่!” ไป๋ซินหยานพูดแทรกขึ้นมา เมื่อเห็นว่าคุณหนูผู้หนึ่งว่ากล่าวพี่สาวตนซึ่งหน้า เสมือนเป็นการดูหมิ่นคนสกุลไป๋ทั้งหมด “ไม่เป็นไรซินหยาน…อย่างไรเสียนางก็มิใช่ผู้ตัดสิน อาจารย์เก่งกาจกว่าพวกเรานักคงมีมุมมองที่พวกเราไม่อาจเข้าใจ” ไป๋ลี่เฟยตอบออกมาเบาๆ ยกอาจารย์มายอเพื่อให้เสิ่นหรงฮวารู้ตัวว่า หากนางโต้แย้งเท่ากับดูหมิ่นผู้เป็นอาจารย์อาวุโส “ไปกันได้แล้ว อย่างที่เจ้าว่าข้าเป็นผู้ตัดสินใจ” อาจารย์โฉ่พูดจบก็เดินออกไปโดยไม่สนเสียงนินทาของผู้คน ที่กำลังคับข้องใจ หากอาจารย์ผู้นี้เลือกเด็กจากระดับสีน้ำเงินคงจะเข้าท่ามากกว่านี้ ส่วนขุนนางไป๋และฮูหยินเอกต่างมองหน้ากันด้วยความฉงน แต่ก็ไม่อาจเข้าไปก้าวก่ายการจัดการของสำนักศึกษาหลวง มีแต่ต้องรอสอบถามเอาในภายหลัง ส่วนมารดาของไป๋ซินหยานออกอาการหงุดหงิดใจที่บุตรสาวของตนไม่มีอาจารย์มาดึงตัวไปเช่นเดียวกัน ทั้งที่มีระดับสูงกว่า “ยิ้มเช่นนั้น สมน้ำหน้าข้าอยู่หรือ” ลี่จีฮวาตวัดสายตาจิกกัดจงว่านกุ้ย “จีฮวา…ทุกสิ่งมิได้เกี่ยวข้องกับเจ้าไปเสียหมด วันเช่นนี้ไม่ควรมีอารมณ์ด้านลบ” จงว่านกุ้ยส่ายหัวระอา เกือบยี่สิบแล้ว สตรีนางนี้ก็ยังไม่ปล่อยวางความชิงชังในหัวใจลง แม้จะเข้าใจแต่ว่านกุ้ยเหนื่อยล้าเหลือเกินแล้ว เมื่อความวุ่นวายจบลงไป๋ซินหยานเดินกลับมาพูดคุยกับผู้ใหญ่ในบ้านตน เพื่อรอประกาศว่าต้องทำสิ่งใดต่อ “เหมือนว่าข้าจะได้อยู่ชั้นเรียกเอกด้วยท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านแม่ใหญ่” “น่ายินดี แม่ใหญ่ยินดีกับเจ้าด้วย” ว่านกุ้ยกล่าว “เก่งมากลูกพ่อ” ท่านเจ้ากรมไป๋ที่ลาราชการมาเป็นพิเศษปลื้มใจกับบุตรทั้งสองยิ่งนัก ทว่าเมื่อแยกไปยืนกับมารดาแท้ๆ ไป๋ซินหยานกลับถูกหยิกต้นขา จนน้ำตาคลอเบ้า ด้วยเหตุความผิดที่ว่าคุณหนูรองผู้นี้ไม่มีอาจารย์มารับเป็นศิษย์ในทันที . . . “ท่านอาจารย์ทำเช่นนี้ แปลกเกินไปแล้ว ระดับของศิษย์ต่ำเกินไปที่จะถูกดึงตัว” ไป๋ลี่เฟยกล่าวเมื่อเดินห่างออกมาแล้ว “แล้วเจ้าจะไม่เบื่อหรือไร หากต้องไปเรียนพื้นฐานซ้ำอีกคราน่ะ” โฉ่โม่จินส่ายศีรษะขบขันออกไป “อ่า จริงสิ ดวงจิตคงปิดการรับรู้ไปเลยทีเดียว” ลี่เฟยยกยิ้ม เล่าเรื่องราวว่าชาติที่แล้วอาจารย์โฉ่ต้องแย่งกับอาจารย์อีกสามท่านเพื่อชิงตัวนางไปเป็นศิษย์ใน ทั้งลี่เฟยยังกล้าหาญขอเลือกอาจารย์พร้อมเพื่อนศิษย์ด้วยกัน เพื่อหาความชอบของตนเอง และเพราะไป๋ลี่เฟยสนใจวิชาประยุกต์มากกว่าจึงได้เลือกอาจารย์โฉ่ผู้นี้ อาจารย์อาวุโสท่านอื่นก็มีความเก่งกาจแตกต่างกันไป วิชาพลังธาตุ กระบวนยุทธ มนตราโอสถ และสัตว์ในพันธะ ล้วนเป็นวิชาที่ได้รับความนิยม อาจารย์อีกสามท่านล้วนแบ่งกันเป็นเอกในศาสตร์เหล่านี้ แต่แม้จะเป็นเพียงศิษย์นอกของอาจารย์ท่านอื่น แต่เพราะความเก่งกาจในชาติที่แล้ว จึงทำให้ได้เรียนในห้องที่อาจารย์ทั้งสามเป็นผู้สอนในวิชาเหล่านี้อยู่ เมื่อคิดได้ดังนี้ลี่เฟยก็รู้ว่าในภพนี้ตนเองคงมีบางวิชาที่ได้เรียนกับอาจารย์ท่านอื่นเสียแล้ว จากลำดับการเลือกนางคงมิได้เลือกวิชาเรียนก่อนใครอย่างที่เคยอีก เห้อ…ต่อแถว ต่อๆๆๆ ต่อตลอดกาล เอาเถอะอาจารย์คนอื่นก็เก่งเช่นกัน อย่างไรก็เป็นสำนักหลวง “ลี่เฟย!” อาจารย์โฉ่ดีดนิ้วตรงหน้าไป๋ลี่เฟย “เจ้าคะ…ขออภัยเจ้าค่ะ คิดอะไรเพลิดเพลินไปเสียหน่อย” ไป๋ลี่เฟยที่พึ่งรู้ตัว ยามนี้ยืนอยู่หน้าห้องของอาจารย์ใหญ่ที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีม้วนกระดาษมากมายจัดวางอยู่บนชั้น สลักอักษรบอกหมวดหมู่ไว้พร้อมสรรพ อาจารย์ใหญ่ที่ไม่ได้รับศิษย์ในมาหลายปี พยักหน้ายิ้มรับอาจารย์โฉ่ และตัวนางให้เข้ามาในห้องทำงานส่วนตัว “มาลงชื่อนางเป็นศิษย์ในหรือ” “ขอรับท่านอาจารย์ใหญ่” อาจารย์โฉ่ตอบรับ อาจารย์ใหญ่ยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันมาท่านไป๋ลี่เฟย “เมื่อได้รับสิทธิ์เช่นนี้ ต้องอดทนต่อคำนินทา” “เจ้าค่ะ” ไป๋ลี่เฟยรู้สึกขนลุกวาบไปทั้งร่าง อาจารย์ใหญ่ผู้นี้ยามมองมาคราใด ล้วนแต่ทำให้รู้สึกว่าอาจารย์กำลังมองทะลุร่างจนเห็นทุกสิ่งอย่าง คุณหนูไป๋ผู้ไม่โดดเด่นในชาตินี้ นั่งลงตวัดพู่กันเขียนชื่อเข้าเป็นศิษย์ในของอาจารย์โฉ่โม่จินเป็นครั้งที่สอง และในชาตินี้นางตั้งใจจะไปถึงระดับสีขาว เพื่อตอบแทนอาจารย์โฉ่ให้จงได้ “ไปกันเถิด” เมื่อมาถึงเรือนเรียนของอาจารย์โฉ่ ของสำหรับทำพิธีกราบไหว้เป็นอาจารย์ก็ถูกยัดใส่มือนาง ไป๋ลี่เฟยรับถาดนั้นมาคำนับอาจารย์ตามลำดับขั้นตอนอย่างไม่มีผิดพลาด คราแรกลี่เฟยคิดว่าอาจารย์จะให้ตนเป็นศิษย์ในสามัญไปก่อน ไม่นึกเลยว่าจะรับเข้าเป็นศิษย์ในสืบทอดตั้งแต่แรกเช่นนี้ แม้ในความคิดจะสับสนแต่คล้ายร่างกายจดจำได้เองว่าต้องทำสิ่งใด ท่องขานคำใด จึงทำให้ศิษย์พี่ที่เตรียมจะนำศิษย์น้องคนใหม่นี้ให้ทำตามขั้นตอนชะงักเล็กน้อย แล้วจึงปล่อยให้ทำไปจนถึงตอนจบที่ต้องยกถาดน้ำชาขึ้นเหนือหัว “อืม” อาจารย์โฉ่โม่จินรับจอกชาบนถาดมายกดื่มจนหมดก็ถือเป็นอันเสร็จสิ้นพิธี “แม้จะรับมาแล้วแต่ศิษย์ขอถามบางอย่างได้หรือไม่ท่านอาจารย์” ศิษย์พี่ที่มีพลังระดับเขียวขั้นต่ำเอ่ยถาม ‘ตงหม่าจาง’ ผู้นี้มาจากสกุลวานิช แต่เพราะพลังที่อยู่ในระดับสูงจึงถูกทาบทามให้มาเรียนในสำนักศึกษาหลวง “ข้ามองเห็นแววในตัวของศิษย์น้องของพวกเจ้าผู้นี้” “ระดับพลังของข้าอาจจะไม่ได้น่าตื่นตาตื่นใจ หากแต่ที่อาจารย์เจาะจงเลือกข้ามา เป็นเพราะข้าสามารถใช้พลังธาตุได้แล้วเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ทั้งหลาย” ไป๋ลี่เฟยยอมเผยความลับส่วนนี้ เพราะอย่างไรก็เป็นส่วนที่พลั้งเผลอแสดงให้องค์ชายหกเห็นไปแล้ว หากบอกเรื่องนี้อาจทำให้คำดูหมิ่นเจือจางลงบ้าง ไม่สูงเกินไปหรือต่ำเกินไป และรักษาชื่อเสียงอาจารย์ให้ไร้มลทินดังเดิม ไป๋ลี่เฟยกลัวว่าจะไม่ได้รับความเชื่อถือ นางจึงตั้งสมาธิสร้างลูกลมก้อนเล็กๆ ปัดผมศิษย์พี่ที่อยู่ข้างกายให้พลิ้วไหว “อืม ผู้ใช้ธาตุลม แม้จะยังควบคุมลมได้อ่อนๆ แต่ก็นับว่าก้าวหน้ากว่าพวกเรายามที่พลังปราณพึ่งตื่นขึ้น” เมื่อตงหม่าจางเห็นว่าแม่นางน้อยที่อาจารย์พามา มิได้เข้ามาด้วยเส้นสายของสกุลชั้นสูงก็พยักหน้ายอมรับ “คนล่าสุดที่ใช้พลังธาตุได้ตั้งแต่ปราณตื่นขึ้น เหมือนจะสิบปีที่แล้วเลยมิใช่หรือ” ศิษย์คนอื่นพูดแทรกขึ้น “ถูกต้อง ศิษย์พี่รุ่นห่างๆ ของพวกเจ้าอย่างไรเล่า เอาล่ะอย่างไรเรื่องนี้ก็รู้กันเฉพาะเรา ข้าชิงตัวนางมาโดยง่ายเพราะอาจารย์ผู้อื่นยังไม่รู้ก็เท่านั้น” โฉ่โม่จินยิ้มแย้ม ก่อนจะสั่งให้ศิษย์แต่ละระดับฝึกฝนวิชาเดิม จากนั้นเรียกไป๋ลี่เฟยออกไปทดสอบส่วนตัว เพื่อหาการต่อยอดวิชาที่เหมาะสมกับตัวนางในยามนี้
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD