บทที่ 13 ส่งจดหมายทุกวัน
ไป๋ลี่เฟยยิ้มบางเบาส่งออกไป หากนางจะต่อกรกับคนระดับองค์ชาย พรรคพวกเช่นนี้คือพรจากฟ้า ลี่เฟยตัดสินใจบอกกล่าวความจริงว่าตัวนางนั้นได้ใช้ชีวิตนี้เป็นครั้งที่สอง ยกเว้นไว้เฉพาะเรื่องราวการหักหลังเพื่อน้ำหกธาตุพิชิตไว้ บอกเพียงว่าองค์ชายสามคือบุคคลผู้ไม่สมควรได้ครอบครองบัลลังก์
“…” ตงหม่าจางอ้าหุบปากคล้ายจะพูดบางสิ่ง แต่ก็กลืนคำเหล่านั้นลงไป สลับกันอยู่เช่นนี้
“ศิษย์พี่พูดมาเถิด ข้ารู้ว่าเรื่องเช่นนี้เชื่อถือได้ยาก” ไป๋ลี่เฟยยิ้มแห้งส่งไป เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายคิดเห็นอย่างไร
“เช่นนี้…ข้าควรเป็นศิษย์น้องหรือศิษย์พี่กัน” ตงหม่าจางยกมือเกาขมับเบาๆ หากลี่เฟยย้อนเวลากลับมาดวงจิตในร่างย่อมต้องมากอาวุโสกว่า
“ฮ่าๆ ข้าเป็นศิษย์น้องจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“หากเจ้าว่าเช่นนั้นก็ตามใจ แล้วเจ้าย้อนกลับมานี้ เพื่อขัดขวางองค์ชายสามหรือ” ตงหม่าจางที่แม้จะรู้สึกว่าเหลือเชื่อ แต่หากอาจารย์เชื่อถือนาง ก็ไม่มีเหตุอันใดให้เขาต้องสงสัย
“เป็นเช่นนั้น แม้ยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ไม่ควรเป็นคนเห็นแก่ตัวกระหายอำนาจเช่นจ้าวหลินไฉ่” ไป๋ลี่เฟยมานั่งครุ่นคิด หากเรื่องราวที่ปรากฏบนกล่องสี่เหลี่ยมคือบันทึกของซินหยานและทหารผู้นั้น เรื่องการครองราชย์ขององค์ชายสามพวกเขาจะแต่งเติมให้ดูดีอย่างไรก็ได้ ด้วยนิสัยของหลินไฉ่การเป็นฮ่องเต้ผู้ยุติธรรมดูจะเกินจริงไปเสียหน่อย
“เช่นนั้นน้องสาวของข้า เรามีงานการให้ทำอีกมาก เริ่มต้นกันเถิด” หม่าจางหยิบม้วนตำราขึ้นมา อ่านวิธีการเดินปราณ แล้วเริ่มต้นการฝึกขั้นแรกในทันที
.
.
.
สามวันผ่านไป ก็วนมาถึงวันหยุดพักผ่อนของศิษย์ในสำนักศึกษาหลวง ในโลกแห่งนี้แบ่งการศึกษาและทำงานไว้สี่วัน และวันพักผ่อนสามวัน
องค์ชายหกส่งเทียบเชิญผ่านพี่ชายของลี่เฟย ให้พี่น้องบุตรฮูหยินเอกแห่งบ้านสกุลไป๋ ไปเที่ยวเล่นที่วังลมพฤกษาของเขา
นั่นทำให้ไป๋ลี่เฟยต้องตื่นแต่เช้า ทั้งที่ต้องการจะพักผ่อนต่ออีกเสียหน่อย การฝึกตำราโบราณนั้นไม่ง่ายเลย แม้จะอ่านอักษรโบราณเหล่านั้นได้ แต่ข้อความที่ปรากฎมิได้บอกวิธีการอย่างชัดเจน ต้องให้ผู้ฝึกฝนนำมาตีความอีกทอดหนึ่งก่อนจึงต้องลองฝึกลองถูกกันหลายขั้น แต่หากจะให้อาจารย์ชี้หนทางถอดความหมาย ทั้งนางและหม่าจางคงหมดสนุก
“ข้าขอหลับพักสายตาสักหน่อย พี่ชายปลุกข้าด้วยนะเจ้าคะ จูจูหากพี่ชางไม่ปลุกเจ้าก็ปลุกข้าด้วย” ไป๋ลี่เฟยที่คิดฟุ้งซ่านจนง่วงงุนหลับไหลบนรถม้าที่โยกไหวคล้ายมีคนไกวเปลไปในที่สุด
.
.
.
แต่ยังไม่ทันจะต้องให้ใครปลุกจากห้วงฝันลี่เฟยลืมตาขึ้นมาดั่งรู้ล่วงหน้า นางกระพริบตาไล่ความง่วงงุนในจังหวะที่รถม้ากำลังเคลื่อนผ่านป้ายสลักอักษรสีทองวาววับบ่งบอกฐานะเจ้าของจวน หากไม่รู้มาก่อนว่าองค์ชายหกมีสถานะกำเนิดที่ไม่ใคร่จะสูงส่ง คงอดคิดไม่ได้ว่าจ้าวโจวเฉิงผู้นี้ต่างหากที่ถูกวางตัวไว้เป็นองค์รัชทายาท
รถม้ามาจอดอยู่ด้านหน้าสวนเขียวขจีสลับกับสีของดอกไม้ที่ออกดอกแข่งขันกันเต็มบริเวณ ทำให้วังขององค์ชายหกดูมีความเป็นส่วนตัวบดบังสายตาสอดรู้ และสวนสวยยังได้โอ้อวดความงามต่อผู้มาติดต่อเป็นสิ่งแรกอีกด้วย
“ไป๋ช่างชาง ไป๋ลี่เฟย พวกเจ้ามากันแล้ว ไปนั่งบนศาลากันเถิด ข้าเตรียมของว่าง และน้ำชาไว้ให้ชิมเสียมากมาย” จ้าวโจวเฉิงที่เดินออกมาจากสวนเอ่ยทักสองพี่น้องไป๋
“ถวายพระพรองค์ชายหกเพคะ” ไป๋ลี่เฟยยอบกายทำความเคารพ ผิดกับไป๋ช่างชางที่เป็นสหายมานานจึงค้อมหัวลงเล็กน้อยเท่านั้น
“ลี่เฟยไม่ต้องมากพิธีเช่นนั้น อย่างไรก็คนกันเอง” โจวเฉิงเดินเข้ามาใกล้ ก่อนจะแตะเบาๆ ให้นางยืดตัวขึ้น
“เพคะ” ลี่เฟยขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่แน่ใจนักว่าเหตุใดองค์ชายจึงดูถึงเนื้อถึงตัว แค่รถม้าเลี้ยวเข้าจวนมา ก็สร้างความเคลือบแคลงต่อ ‘ความรัก’ ของตัวนางและองค์ชายสามได้แล้ว
หรือว่า…คุณหนูเสิ่นอยู่ด้วยงั้นหรือ
ทั้งสองเดินตามองค์ชายผู้เป็นใหญ่ในจวนนี้จนไปถึงศาลากลางสวน ไป๋ลี่เฟยก็พบกับสาเหตุที่นางและพี่ชายจำต้องมา ‘เที่ยวเล่น’ ในวังลมพฤกษาแห่งนี้เข้าแล้ว
อยู่จริงสินะ ข้าคงต้องเพิ่มเงื่อนไขหน่อยแล้ว…หากจะเรียกมารับมือเช่นนี้ สมควรบอกให้รู้ก่อนล่วงหน้า
“คุณหนูเสิ่น วันนี้มาที่วังลมพฤกษาด้วยหรือ” ไป๋ช่างชางเป็นผู้เอ่ยทักขึ้นก่อน ตามนิสัยที่ชอบเข้าหาคนของเจ้าตัว
“เจ้ามีตาก็เห็นอยู่จะถามทำไมเจ้าคะ” เสิ่นหรงฮวาที่เห็นว่าวันนี้นางหมดโอกาสที่จะใช้เวลาส่วนตัวกับจ้าวโจวเฉิงก็ยกแขนขึ้น กอดอกแสดงท่าทีไม่พอใจอย่างเปิดเผยออกมา
“คุณหนูเสิ่นไม่สบอารมณ์เช่นนี้พาข้าเดินดูรอบสวนได้หรือไม่ จะได้สงบใจลงนะเจ้าคะ” ลี่เฟยโยนคำถามที่รู้ว่านางจะปฏิเสธออกไป แต่อย่างไรถูกเรียกมาจัดการให้ออกห่างก็สมควรลองดูหน่อย
“ไม่เอา ข้ามาที่วังบ่อยแล้ว มิได้อยากดูสิ่งใด ข้าไม่อยากเดิน” หรงฮวากล่าวโดยไม่มองมาเสียด้วยซ้ำ เสมือนเป็นการสื่อว่าตัวไป๋ลี่เฟยไม่สำคัญพอให้ชายตาแล
“เช่นนั้น…องค์ชายหกเพคะ พาหม่อมฉันเดินดูรอบๆ ได้หรือไม่เพคะ” ไป๋ลี่เฟยหันไปยิ้มหวานให้กับจ้าวโจวเฉิงที่เงียบงัน รอดูเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างตั้งใจ หางตาลอบมองคุณหนูเสิ่นเล็กน้อย
เมื่อข้าเรียกเจ้าแล้วเจ้าไม่ไป เช่นนั้นข้าก็จะเรียกชายที่เจ้าพึงใจให้ออกไป
“ไม่ได้นะ แล้วข้าจะอยู่กับใครกัน” เสิ่นหรงฮวาหันกลับมาโวยวายจนสุดตัว เมื่อได้ยินว่าศัตรูหัวใจของตน กำลังออดอ้อนให้องค์ชายพาไปเดินเล่นอย่างไม่อายฟ้าดิน
“ก็อยู่กับพี่ช่างชาง พี่ชายของข้าเองก็มาบ่อย คงไม่ต้องการจะเดินดูแล้ว” ลี่เฟยส่งยิ้มที่อ่อนหวานจริงใจออกไป เพราะยามนี้นางเองก็กำลังมีความสุขกับการมองดูคุณหนูเสิ่นหาทางออกให้ตนเอง
“อืม เดี๋ยวข้านั่งเป็นเพื่อนเอง” ช่างชางพยักหน้า มิได้ถือสากับความเอาแต่ใจของหรงฮวาแต่อย่างใด เพราะสำหรับช่างชางคุณหนูผู้นี้ยังเป็นเด็กเล็กๆ ในสายตาตน พฤติกรรมของคุณหนูเสิ่นไม่ต่างกับบุตรอนุที่ยังไม่พ้นสิบหนาวในจวนไป๋เลย
“จริงสินะ ทั้งสองมาบ่อยแล้วก็จิบน้ำชารออยู่ตรงนี้เถิด มิต้องเมื่อยล้าไปด้วยกัน อีกครู่หนึ่งโอจินโม่ และหลินเจียหยุนเองก็จะมาที่นี่ ลี่เฟยไปกันเร็วเข้า” จ้าวโจวเฉิงตัดบท และเดินนำออกไป ส่วนเสิ่นหรงฮวาที่ลุกพรวดตามออกมา พุ่งชนเข้ากับกาน้ำชาที่ไป๋ช่างชางกำลังยกเท จนทำให้ทั้งคู่เปียกเลอะ แต่หรงฮวาก็ยังดื้อดึงจะตามไปให้ได้
“ว๊าย องค์ชายหกรอด้วยเพคะ” เสิ่นหรงฮวาจะวิ่งตามไป แต่ก็ถูกรั้งด้วยบ่าวของตน และร่างของไป๋ช่างชางที่กำลังสะบัดชายผ้าที่เปียกปอนขวางไว้
“คุณหนูเปลี่ยนอาภรณ์ก่อนเถิดนะเจ้าคะ เช่นนี้ไม่งาม” บ่าวคนสนิทของคุณหนูเสิ่นต้องกล่อมอยู่ครู่ใหญ่กว่าที่คุณหนูคนงามจะยอมไปผลัดเปลี่ยนเป็นชุดใหม่
“คนสกุลไป๋ซุ่มซ่ามจริง ชั้นต่ำ” เสิ่นหรงฮวาปึงปังออกไป
“คุณชายไป๋ เดี๋ยวตามบ่าวมาเปลี่ยนอาภรณ์ดีกว่าขอรับ” บ่าวขององค์ชายหกนำทางไปอย่างนอบน้อม
.
.
.
“คุณหนูท่านนี้เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้กัน” ไป๋ลี่เฟยพึมพำเบาๆ กับตนเอง เอาแต่ใจก็เรื่องหนึ่ง แต่นิสัยดูถูกคนนี่สิที่นางว่าแปลก หากรังเกียจคนที่มีสถานะต่ำต้อยกว่าตน เหตุใดจึงปักใจกับองค์ที่มีมารดาแท้ๆ เป็นชาวบ้านป่าเช่นนี้
ประหลาด!
“มาเดินเล่นควรดูบรรยากาศ มิใช่พูดเรื่องผู้อื่น” จ้าวโจวเฉิงพูดหยอกล้อออกมา
“ผู้เป็นเจ้าบ้านก็แนะนำเถิดเจ้าค่ะ ว่าสวนนี้มีดีอย่างไร” ไป๋ลี่เฟยกลอกตาให้เห็นชัดเจนว่านางเริ่มจะไม่พึงใจองค์ชายหกแล้ว “หลอกให้ลี่เฟยมากันท่าคนไม่มีแม้คำเตือน แล้วยังจะหาว่าหม่อมฉันขี้นินทาอีกเช่นนี้น่าน้อยใจนัก”
“เอ๋..ข้าไม่ได้บอกหรือว่าเสิ่นหรงฮวามาด้วย อ่าขออภัยแม่นาง” องค์ชายหกก้มหัวเล็กน้อย ขยับกายเข้าใกล้กล่าววาจาเสียงเบาจนดูเหมือนกระซิบให้รู้เพียงสองคน “เช่นนั้นข้าจะส่งจดหมายให้เจ้าที่สำนักศึกษาทุกวันก็แล้วกัน พบกันที่ใดดีเล่า ต้องไม่ประเจิดประเจ้อ และไม่ลับตาเกินไป”
หากทำเช่นนั้น ถือว่าเป็นการนัดพบผู้ชายอย่างที่เหล่าคุณหนูในสำนักลอบสนทนากันหรือไม่นะ…
ไป๋ลี่เฟย จู่ๆ ก็มีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา นางรีบหันมองว่าจูจูยืนอยู่ใกล้พอที่จะได้ยินหรือไม่ เมื่อเห็นว่าห่างไปพอสมควรในสมองไม่รักดีก็กลับขัดเขิน เพราะนึกได้ว่ายามนี้ตนเองและองค์ชายหกยืนอยู่ใกล้ชิดกัน ท่ามกลางต้นบุปผาหลากสีสัน