หลังจากที่ฉีดยาแก้อักเสบและทำแผลให้หญิงสาวที่อยู่เป็นเตียงเสร็จแล้ว ก่อนกลับหมอโชติกาญจน์ก็ตัดสินใจพูดบางอย่างกับเจ้าของบ้าน
“ฉันคิดว่ามันเกินไปแล้วนะคะคุณกรณ์” คนเป็นแฟนถึงกับดึงข้อศอกเป็นเชิงห้าม
“ผู้หญิงพวกนี้ผมใช้เงินซื้อมานะครับหมอก็รู้” กฤษกรณ์ตอบด้วยสีหน้าปกติไม่รู้สึกผิดแต่อย่างใด ยิ่งทำให้หมอโชติกาญจน์โกรธจนลมออกหู
“แต่ยังไงหมอก็ว่าคุณทำเกินไปนะคะ ลองคิดว่าเธอเป็นน้องเป็นคนรู้จักหรือว่าเป็นภรรยาของคุณดูบ้างสิคะ เผื่อคุณจะได้เข้าใจว่าเธอจะรู้สึกยังไง” หมอโชติกาญจน์เสียงแข็งอย่างคนเก็บอารมณ์ไม่อยู่ ทำให้คนที่ถูกต่อว่าหน้าบูดบึ้งขึ้นในทันที
“มันเรื่องส่วนตัวของผม ไม่ต้องเอาโสเภณีไปรวมกับคนอื่นๆ ที่คุณหมอกล่าวมาหรอกครับเพราะว่ามันเทียบกันไม่ได้”
“จะโสเภณีหรือผู้ดีมาจากไหน มันก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนเหมือนกันทุกคนนั่นแหละค่ะ” หมอโชติกาญจน์ถึงกับหมดความอดทนขึ้นมาจริงๆ ไม่คิดว่าผู้ชายที่มีการศึกษาฐานะดีจะมีแนวคิดเรื่องการแบ่งแยกชนชั้นวรรณะอย่างกับบางประเทศก็ไม่ปาน
“พอเถอะโช อย่างที่กรณ์บอกนั่นละ ผู้หญิงพวกนี้เขาซื้อมาด้วยเงินนะ คุณก็อย่าเก็บมาคิดมากเลย” ดลเทพเลือกที่จะเป็นกลาง
“นั่นสิ เดี๋ยวพอเช้าผมจ่ายเรื่องก็จบ” กฤษกรณ์ยังคงเชื่อว่าตนเองไม่ผิดในเรื่องนี้
“จ่ายก็จบอย่างนั้นหรอคะ คุณรู้หรือเปล่าคะคุณกรณ์ ว่าคุณได้มอบประสบการณ์ครั้งแรกอันแสนจะล้ำค่าของลูกผู้หญิง ด้วยความป่าเถื่อนรุนแรง ช่างเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจจังเลยนะคะ ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าตอนที่คุณทำน่ะ คุณเคยนึกสงสารผู้หญิงที่นอนบอบช้ำไปทั้งตัวคนนั้นบ้างไหม หรือว่าแท้ที่จริงแล้วคุณมันไม่มีหัวใจ อ้อ ลืมไปหัวใจของคุณมันตายไปพร้อมกับคนเก่าแล้วนี่ ถึงได้ไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลยแบบนี้” น้ำเสียงแหลมสูงดังขึ้นอย่างเหลืออด สะบัดหน้าพรืดเดินออกไปด้วยอารมณ์โกรธ ทำให้สองหนุ่มเพื่อนรักหันมามองหน้ากันอย่างงงๆ
“ครั้งแรก? มีแบบนี้ด้วยเหรอวะ” ดลเทพถามด้วยความสงสัย ขณะที่กฤษกรณ์กลับมีสีหน้านิ่งงันไปเล็กน้อย เขาถึงได้ผ่านเธอได้ยากเย็นเหลือเกิน
“ถ้าหมอแฟนแกว่าแบบนั้นก็คงใช่” ถึงจะโกรธหมอโชติกาญจน์แค่ไหนแต่ว่าเขาก็เลือกที่จะไม่ต่อปากต่อคำกับผู้หญิงมากไปกว่านี้
“งั้นเราไปก่อนนะ ก่อนแม่เสือร้ายจะโวยวาย” ดลเทพเอ่ยลาเพื่อน มิวายเหน็บแฟนสาวเล็กน้อย
ไม่นานนักเจ้าของบ้านหนุ่มก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถของหมอโชติกาญจน์ หญิงสาวตั้งใจถอยรถมาชนกระถางต้นไม้ของเขาจนมันล้มระเนระนาดไปคนละทิศคนละทาง จากนั้นก็เหยียบคันเร่งออกจากบ้านเขาไปด้วยความเร็วสูง
กฤษกรณ์อมยิ้มเล็กน้อย ผู้หญิงคนนี้อารมณ์ร้ายเหมือนกัน เพื่อนของเขาจะเอาอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ เกรงว่าความรักของทั้งคู่จะไปกันไม่รอด เพราะว่าปกติแล้วดลเทพมักจะชอบผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยน่ารัก มากกว่าผู้หญิงสวยเก่งข่มคนอื่นแบบหมอโชติกาญจน์ ชายหนุ่มส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วเหลือบไปมองนาฬิกาข้างผนังบ้าน ตีสองครึ่ง เขาจึงได้เดินขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเอง
“เรียบร้อยดีไหมป้าแอ๋ว” หญิงสูงวัยเงยหน้าขึ้นจากมือที่กำลังทายาตามเนื้อตามตัวให้คนที่อยู่บนเตียง ในขณะที่เจ้าตัวยังหลับไม่รู้เรื่องจากฤทธิ์ยาแก้ปวดนั่นเอง นางเบญจมาศถูกเรียกมาเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเลอะรอยเลือดสาวพรหมจรรย์
“ค่ะคุณกรณ์ เสร็จพอดีเลยค่ะ” เอ่ยแล้วก็เก็บยาไปวางไว้ที่เดิม ก่อนจะนำผ้าปูที่นอนกลับลงไปข้างล่างเพื่อรอการซักทำความสะอาดในรุ่งขึ้น
หลังจากนางเบญจมาศออกจากห้องไปแล้ว กฤษกรณ์ก็ล้มตัวลงนอนด้านข้างคนหลับ ซึ่งบัดนี้เขามองไม่เห็นเค้าความงามของเธอเลย นอกจากร่องรอยที่เกิดจากน้ำมือของเขาเอง แววตาของชายหนุ่มไหววูบลงเล็กน้อย แค่เล็กน้อย พลิกตัวมากอดหญิงสาวแล้วหลับลงไปในที่สุด
ช่วงเที่ยงของวันใหม่ใบหญ้าพยายามลืมตาขึ้นอย่างลำบากยากเย็น รู้สึกถึงแรงหนักอึ้งของหนังตา ลำคอแห้งผาก มองเห็นเพดานห้องแปลกตาไป เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็ย้อนเข้ามาให้รู้สึกตัว เริ่มจากถูกบิดาขายใช้หนี้ และเจ้าหนี้ก็ขายเธอให้กับเขา และเขาก็ทำเรื่องเลวร้ายกับร่างกายของเธอ เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในคืนเดียวมันรวดเร็วจนเธอทำใจยอมรับไม่ได้ง่ายๆ
ความเย็นวูบบนผิวกายทำให้ใบหญ้าก้มต่ำมองตัวเอง ดวงตาเบิกโตกับสภาพเปล่าเปลือยไร้อาภรณ์ ตามเนื้อตามตัวเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวไปหมด ริมฝีปากบางขบเม้มเข้าหากันช้าๆ ขยับตัวลุกขึ้นจากเตียงแต่แล้วก็ต้องทรุดตัวลงที่เดิม เมื่อรับรู้ถึงความเจ็บปวดจากกลางร่าง ระหว่างนั้นนางเบญจมาศก็เปิดประตูเข้ามาในห้องพร้อมกับถาดอาหารในมือ
“ตื่นแล้วเหรอคุณ” หญิงสูงวัยถามระหว่างนำถาดอาหารวางลงบนโต๊ะข้างเตียง
“...” ความเงียบและสีหน้าแสดงความแปลกใจของหญิงสาว ทำให้นางเบญจมาศรู้ตัวยังไม่ได้แนะนำตัวเองกับอีกคน
“ป้าเป็นแม่บ้านที่นี่เรียกป้าแอ๋วก็ได้ คุณกรณ์ให้มาดูแลคุณค่ะ ต้องกินข้าวเที่ยงนะคะจะได้กินยาต่อ ตอนเช้าป้าไม่กล้าปลุกเห็นคุณยังหลับอยู่” นางเบญจมาศเลื่อนโต๊ะมาติดกับขอบเตียง
ใบหญ้ามองอาหารในถาด จู่ๆ น้ำตาก็ไหลพรากออกมา หญิงสาวซบใบหน้าลงกับฝ่ามือสะอื้นไห้แรงๆ พยายามไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกมา นางเบญจมาศถึงกับน้ำตาคลอเบ้ากับภาพที่เห็นตรงหน้า เอื้อมมือไปลูบศีรษะหญิงสาวเบาๆ แค่นั้นใบหญ้าก็โผเข้าสวมกอดหญิงสูงวัยเอาไว้แน่น ก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างคนสุดจะกลั้นไหว หญิงสาวกำลังนึกถึงยายผู้แสนดีซึ่งถ้าหากยายยังอยู่บนโลกนี้ เธอคงไม่โชคร้ายแบบนี้แน่
นางเบญจมาศกอดปลอบอีกคนอยู่หลายนาที ก่อนที่ใบหญ้าจะเป็นฝ่ายผละออกห่างและพยายามที่จะหยุดร้องไห้
“เดี๋ยวป้าจะป้อนข้าวคุณเองนะคะ” ทั้งที่ปกติแล้วแม่บ้านสูงวัยคนนี้ไม่เคยชอบผู้หญิงที่กฤษกรณ์พามาเลยสักคน ยกเว้นหญิงสาวที่อยู่ตรงหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะป้าแอ๋ว หญ้ากินเองได้ค่ะ”
“คุณชื่อหญ้าเหรอค่ะ”
“ค่ะป้า ชื่อจริงใบหญ้า” หญิงสาวบอกด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ
“งั้นนี่ค่ะ กินรองท้องก่อนกินยานะคะ” ชามข้าวต้มหมูสับถูกเลื่อนมาใกล้ๆ
“อุ้ย!” ใบหญ้าร้องขึ้นขณะอ้าปากกว้างแล้วเกิดเจ็บบริเวณมุมปาก ยกปลายนิ้วแตะตรงที่รู้สึกเจ็บจนพบสาเหตุว่าตนเองถูกเขาตบจนปากแตก
“ค่อยๆ กินนะคุณ เดี๋ยวแผลมันจะปริ” นางเบญจมาศบอกด้วยความเป็นห่วง
ใบหญ้ากินข้าวต้มได้ไม่มากเท่าไรนัก ขยับปากแต่ละครั้งก็ฝืนความเจ็บจนน้ำตาเล็ด และในที่สุดก็ต้องหยุดกินไปโดยปริยาย
“พอแล้วค่ะป้า หญ้ากินต่อไปไม่ไหวแล้ว”
“คงจะปวดมากสินะ คุณกรณ์นี่ก็กระไรไม่เห็นต้องลงไม้ลงมือกันขนาดนี้เลย” บ่นเสร็จแล้วก็เดินไปหยิบยาที่อยู่ตรงลิ้นชักออกมาจัดแจงให้แก่หญิงสาวกิน
“ยาอะไรคะป้า” ใบหญ้าถามด้วยความสงสัย