คำสาปขุนบรม
ในอดีตกาลคำว่า ‘สุวรรณภูมิ’ หมายถึงดินแดนหลายประเทศรวมกันในย่านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือที่เรารู้จักกันดีว่าอาเซียนในปัจจุบันซึ่งประกอบด้วย ไทย พม่า ลาว เขมร เวียดนาม มาเลเซีย รวมทั้งหมู่เกาะบางส่วนของอินโดนีเซีย บรูไนและฟิลิปปินส์
คนต่างชาติชาวชมพูทวีป เช่น กษัตริย์ นักการเมือง และขุนนางตกอับซึ่งเนรเทศตัวเองเดินทางมาหลบเร้นเลียแผลที่นี่ ไม่เว้นแม้กระทั่งนักบวช สาวกของศาสนาต่าง ๆ ก็จะมาเผยแพร่ลัทธินิกายกันให้คึกคักไปหมด
ดังหลักฐานทางโบราณสถาน โบราณวัตถุที่ปรากฏอยู่ทั่วไป อีกทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณีวิถีชีวิตของผู้คนในแถบถิ่นดังกล่าวข้างต้นจึงคล้ายคลึงกัน เพราะความเชื่อที่สืบทอดกันมาจากกลุ่มบุคคลในสายอารยธรรมเดียวกัน
ความไม่ปรองดองของผู้คนภายในหรือภายนอกขอบเขตก็ตาม ล้วนมีวิวัฒนาการมาจากอดีตกาล ประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิได้จารึกร่องรอยไว้ ซึ่งคนรุ่นหลังยังเล่าขานกันอยู่ตามท้องถิ่นต่าง ๆ
ความขัดแย้งและการเข่นฆ่าระหว่างดินแดนยังไม่หมดไป แถมบางแห่งยังรุนแรงขึ้น อดนึกถึงคำสาปของผีบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งบ้านเมืองในยุคแรก ซึ่งเรารู้จักกันดีในวงการศึกษาเรื่องตำนานว่า
“ขุนบรม”
ขุนบรมผู้นำชุมชนในยุคแรกได้ตั้งเมือง ‘นาบ่อน้อย’ ขึ้นระหว่างใจกลางของดินแดนสุวรรณภูมิ ก่อนสถาปนาเสาหลักปักลงฝังดิน ขุนบรมได้ประกอบพิธีกรรมบวงสรวงฟ้า ดินและสายน้ำ ตั้งจิตอธิษฐานร่วมกันเป็นเครือญาติที่เหนียวแน่น จากนั้น การบริหารกิจการบ้านเมืองจึงดำเนินไปด้วยดี อีกทั้งฝนฟ้าก็ตกต้องตามฤดูกาล ผลผลิตอุดมสมบูรณ์
เมื่อประชาชนมีสุขภาพกายแข็งแรง สุขภาพจิตดีประชากรก็ก่อเกิดและทวีขึ้นตามลำดับดังคำกล่าวว่า
‘มากดั่งทราย หลายดั่งน้ำ’
ประชากรทุกคนคือทรัพยากรที่มีค่ากว่าสิ่งใด เพราะเป็นทรัพย์สินมีชีวิต มีจิตใจและมีศักยภาพในตัวเองอย่างไม่สิ้นสุด ซึ่งจะร่วมมือกันสร้างสรรค์สิ่งดีงามให้กับบ้านเมืองเพื่อส่งทอดไปถึงลูกหลาน เหลนในอนาคต
ทุกคนในเมืองนาบ่อน้อยต่างขยันขันแข็ง และอดทนในการประกอบอาชีพ
‘ฝูงไพร่ก็ไถนา ฝูงข้าก็ฟันไร่’
ขุนบรมมีลูกชาย ๗ คนซึ่งเกิดจากภรรยา ๒ คน คือ
๑. ขุนลอ
๒. ยี่ผาลาน
๓. สามจูสง
๔. ไสผง
๕. งัวอิน
๖. ลกลม
๗. เจ็ดเจิง
เมื่อลูกชายเติบโต ขุนบรมก็แบ่งปันสมบัติให้อย่างยุติธรรม เริ่มด้วยมอบรางวัลอันมีความหมาย เอางาช้างด้านขวามาตัดออกเป็น ๔ ท่อน แบ่งให้ลูกชายคนที่ ๑,๒,๓ และ ๗ ซึ่งเกิดจากภรรยาคนที่หนึ่ง เอางาช้างด้านซ้ายมาตัดออกเป็น ๓ ท่อน แจกลูกชายคนที่ ๔,๕ และ ๖ ซึ่งเกิดจากภรรยาคนที่สอง
จากนั้นก็แบ่งปันทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่มีอยู่มากมายมหาศาลคือ ‘ทองคำ’ ให้เท่ากัน
ในการบริหารกิจการบ้านเมืองนั้น ขุนบรมได้ยึดนโยบายพึ่งตนเองมาโดยตลอด
ปรัชญาและวิสัยทัศน์ที่ขุนบรมมอบให้ลูกชายทั้งหมดคือ ความสมัครสมานสามัคคี ห้ามพี่น้องเบียดเบียนกัน ห้ามแย่งชิงทรัพย์สมบัติตลอดทั้งให้เคารพกันและกัน
ข้อห้ามดังกล่าวคือกฎอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งประกาศก้องต่อแผ่นฟ้า สายน้ำและผืนดิน ว่า
“ถ้าผู้ใดเอารี้พลไปตกแดน
เอาหอกดาบเขนแพนไปตกทุ่ง
รบเอาบ้านเอาเมืองกัน
ให้ผู้นั้นพินาศฉิบหาย
ทำอันใดอย่าได้เป็น
เข็นอันใดอย่าให้ได้ !
เที่ยวทางให้ฟ้าผ่า!
เที่ยวป่าให้เสือกิน!.”
เมื่อขุนบรมสิ้นชีวิต ลูกชายทั้งหมดก็ปฏิบัติตามคำสั่งของบิดาอย่างเคร่งครัดกล่าวคือ น้องคนเล็กคือเจ็ดเจิงอยู่ครองเมืองบ้านบ่อน้อย ส่วนพี่ชายทั้ง ๖ ได้แยกย้ายกันไปสร้างเมืองตามดินแดนต่าง ๆ ทั่วสุวรรณภูมิ ดังนี้
ขุนลอ ไปสร้างอาณาจักรล้านช้าง
ยี่ผาลาน ไปสร้างอาณาจักรสิบสองพันนา
สามจูสง ไปสร้างอาณาจักร หัวพันทั้งห้า หก
ไสผง ไปสร้างอาณาจักรล้านนา
ลกลม ไปสร้างอาณาจักรพันพัน ลังกาสุกะ
งัวอิน ไปสร้างอาณาจักร อโยธยา
อาณาจักรเหล่านั้นมีความสัมพันธ์ด้วยดีในฐานะบ้านพี่เมืองน้อง เกี่ยวดองสัมพันธ์ทางเครือญาติที่มีความเป็นปึกแผ่น แน่นหนาทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร
ครั้นเวลาผ่านไปผู้สืบเชื้อสายก็เริ่มหย่อนยานในข้อปฏิบัติ กระทั่งฝ่าฝืนกฎอันศักดิ์สิทธิ์ !
เริ่มจาก แม่ทัพเชื้อสายสามจูสงผู้ไปสร้างหัวพันทั้งห้าหกได้ยกกองทัพข้ามเขตมาตีเมืองหลวงพระบางเชื้อสายลูกผู้พี่ครองอยู่ เจ้าเชียงลอโอรสองค์ใหญ่ออกต่อสู้ สิ้นพระชนม์ในที่รบ พระไชยจักรพรรดิ์ขึ้นทำการรบแทน แต่สุดท้ายต้องหลบหนีออกจากเมืองไปหลบภัยที่เมืองเชียงคาน คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของโอรสองค์ต่อมาคือเจ้าแท่งคำรับอาสาออกป้องกันเมืองอย่างสุดความสามารถ
แล้วสิ่งไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น !
ในขณะนั้นเกิดลมพายุพัดกระหน่ำ ฝนตกฟ้าคะนองหนัก แล้วเกิดแสงประกายเจิดจ้าขึ้นกลางอากาศ ลูกไฟมากมายร่วงกราว แตกกระจายกลางกองทัพเชื้อสายสามจูสง แม่ทัพพร้อมทหารถูกเซ่นสังเวย
เหตุการณ์อัปยศคราวนั้นถูกจารึกให้เป็นฉากแรกแห่งความขัดแย้งระหว่างสายเลือดขุนบรม ซึ่งจบลงด้วยอาญาฟ้า-ดิน ซากศพกองเกลื่อนกลาดทั่วสมรภูมิ ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งอยู่นานนับเดือน เพราะแร้งกาไม่สามารถแทะทึ้งให้หมดสิ้นภายในเร็ววัน
อีกทั้งยังส่งผลกระทบหลายอย่างต่อผู้คน เช่น มลภาวะ ความเครียด และโรคระบาด
สภาพการณ์ปกครองเริ่มหวั่นไหว คลอนแคลน เนื่องจากตำแหน่งปกครองหลายตำแหน่งว่างลงพร้อมกันในทันทีทันใด
บุคคลผู้อ่อนด้อยประสบการณ์และอายุ ขาดการสั่งสมความดีที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญ ในที่สุดก็เกิดความหวาดระแวงกันและกัน จึงเอาแต่จับดาบเข้าประหัตประหารกันอย่างคลุ้มคลั่งราวกับชาตินี้อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้
นับแต่บัดนั้น ร่องรอยจากหน้าพงศาวดาร ประวัติศาสตร์ที่สร้างแล้วและอยู่ระหว่างการก่อสร้างก็ตามล้วนขีดเขียนด้วยรอยเลือดและไฟอาฆาตที่เผาผลาญเมืองและผู้คนผ่านยุคผ่านสมัยมาหลายร้อยปี
ดินแดนสุวรรณภูมิได้เปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง แต่ทว่าสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เหนียวแน่นคือกฎอันศักดิ์สิทธิ์ของขุนบรมซึ่งนับวันผลุดโผล่ขึ้นมากล่าวโทษและลงทัณฑ์ขั้นรุนแรง
ไม่มีอำนาจใดยับยั้งได้เพราะ
นี่คือคำสาปขุนบรมผีเจ้าโคตร
******