บัลลังก์เลือดมะกะโท
มะกะโทเป็นสามัญชนคนพื้นบ้านธรรมดา ตั้งบ้านเรือนอยู่ในตำบลตะเกา แขวงเมืองเมาะตะมะ ในรามัญประเทศในอดีต
ปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของประเทศพม่าหรือเมียนมาร์
หนุ่มน้อยหน้ามนคนนี้เป็นผู้มีบุญวาสนา เพราะประกอบด้วยคุณสมบัติ ๓ ประการคือ
๑.มีรูปร่างดี เป็นที่ชอบพอของคนทั้งปวง
๒.มีสติปัญญา เฉลียวฉลาด
๓.มีความกตัญญู
หลังจากบิดาถึงแก่กรรม
มะกะโทได้ประกอบอาชีพค้าขาย เขาเป็นพ่อค้าหนุ่มที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล โดยมีการติดต่อเรื่องการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน
ครั้งหนึ่งเขาคุมลูกค้า ๓๐ คน หาบสินค้าขึ้นไปขายที่เมืองสุโขทัย
ครั้นมาถึงใกล้ภูเขา ลูกค้าคนหนึ่งป่วย มะกะโทจึงเข้ารับเอาหาบลูกค้านั้นแทน
เมื่อขึ้นไปถึงเชิงเขา เวลานั้นมิใช่ฤดูฝน แต่บังเกิดมีพายุใหญ่พัดอึงคะนึงมา ฟ้าร้องคำรามและสายฝนก็พร่างพรูลงมา
สายฟ้าแลบแปลบปลาบ
เปรี้ยง !
ผ่าลงมาถูกไม้คานซึ่งมะกะโทหาบหักลงจากบ่า
เปรี้ยง !
เปรี้ยง !
อสนีก็บันดาลผ่าลงมาถูกคานหักถึง ๓ หน จนครั้งสุดท้ายตะกร้าสินค้านั้นตกกระเด็นลงไปในเหว มะกะโทยืนตัวสั่นและตกตะลึง
เมื่อตั้งสติได้แล้ว มะกะโทเงยหน้ามองไปทางทิศตะวันออก เห็นแสงอรุโณทัยสาดส่องขึ้นเรื่อเรืองประหนึ่งเป็นเวลาเช้าที่สดใส แล้วหันกลับไปมองทางทิศตะวันตก
ฟ้าแลบแล่นแตกกระจายกลายเป็นดอกไม้ไฟ ภาพวิมานสีรุ้งและปราสาทราชมณเทียรปรากฎขึ้นชัดเจน
มะกะโทบังเกิดความเชื่อเป็นนิมิตในใจ
“เหตุใหญ่ ! มหัศจรรย์ ! แต่น่าแปลกพิลึก ไม่มีใครได้รับอันตราย”
พ่อค้าหนุ่มชาวรามัญยกมือประนมไปรอบทิศ พลางรำพึง
“ ตัวข้านี้เห็นจะมีวาสนาในภายหน้าเป็นแน่แท้ !”
ประกอบกับคำทำนายของโหรคนหนึ่งในเมืองสุโขทัยว่า ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินั้นคือนิมิตหมายที่ดีที่มะกะโทจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในภายภาคหน้า
ดังนั้น มะกะโทจึงเลิกทำการค้า เข้าอาสารับราชการอยู่กับพระร่วงเจ้ากรุงสุโขทัย ด้วยความขยัน อดทน พัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง พระร่วงเจ้าชอบพระอัธยาศัย จึงทรงพระกรุณาโปรดตั้งให้เป็น ‘ขุนวัง’ ซึ่งข้าราชการน้อยใหญ่ต่างยำเกรงเป็นอันมาก
เมื่อได้รับตำแหน่งและอำนาจ มะกะโทก็เปลี่ยนไป !
ครั้งนั้น พระร่วงเจ้ายกทัพไปปราบข้าศึกที่ชายแดน
มะกะโทในนามขุนวังผู้มีอำนาจก็ลอบกระทำสังวาส ‘นางเทพสร้อยสุดาดาว’ พระธิดาพระร่วงเจ้า
แต่ด้วยกลัวพระราชอาญาจึงพานางสร้อยสุดาดาวขึ้นช้างพังตัวหนึ่งพร้อมด้วยไพร่พล ๑๗๐ คนออกจากเมืองสุโขทัย หนีกลับไปยังเมืองเมาะตะมะบ้านเกิดเมืองนอน
มะกะโทมีกองกำลังทหาร มีทองคำมากมายและมีความเชื่อเป็นของตน เมื่อกระทำการสิ่งใดมักประสบผลสำเร็จ จึงมีผู้คนท้องถิ่นมาสมัครเป็นพรรคพวก
จนกลายเป็น ‘ผู้มีบุญ’
คนใหม่ของชาวเมืองเมาะตะมะ
ในที่สุดมะกะโทก็วางแผนสำคัญเพื่อทำความเชื่อให้เป็นจริง วางแผนจับเจ้าเมืองฆ่าเสีย แล้วก้าวขึ้นครองเมืองเมาะตะมะ
สถาปนาตนเป็นกษัตริย์นามว่า ‘สมิงจาโร’ หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า พระเจ้าฟ้ารั่ว!
วิมานในอากาศคราวนั้นยังชัดเจนในความจำ
พระเจ้าฟ้ารั่วจึงดำเนินการขั้นต่อไป
ทรงสร้างปราสาทประหลาด ผิดวิสัยมนุษย์ทั่วไป เวลาจะเอาเสาเอกลงหลุมปราสาทนั้น ได้ตั้งเสาเอกไว้เหนือหลุม จับผู้หญิงมีครรภ์ใส่ลงในหลุม แล้วก็ตัดเชือกให้เสาเอกนั้นหล่นกระแทกลงไปในหลุม
โดยพิธีกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อสนองความเชื่อว่าจะช่วยค้ำราชบัลลังก์ให้มั่นคง และเพื่อแสดงว่าผู้มีอำนาจเหนือสามัญชนเท่านั้นจึงสามารถกระทำได้
ผลปรากฏว่าเลือดของหญิงมีครรภ์ผู้น่าสงสารนั้นกระเด็นขึ้นมากลายเป็นงู ๘ ตัว
โดยงู ๗ ตัวตายทันทีที่ปากหลุม ส่วนอีกตัวเลื้อยทุรนทุรายไปตายอยู่ห่างปากหลุมออกไปทางทิศตะวันตก
หยดเลือดเหล่านั้นนำไปสู่เหตุการณ์วิบากกรรมในเวลาต่อมา
หยดที่หนึ่ง
พระเจ้าฟ้ารั่วเสวยราชสมบัติในเมืองเมาะตะมะได้ ๒๖ ปี มีโรคเบียดเบียนอย่างทุกข์ทรมานขณะทรงพระชนม์ เมื่อสวรรคต มุขมนตรีทั้งปวงจึงเชิญพระศพเข้าถวายพระเพลิงในปราสาท กวาดเอาพระอัฐิและพระอังคารประมวลเข้าแล้วก่อพระเจดีย์สวมไว้
หยดที่สอง
เจ้ามะกะตา น้องชายพระเจ้าฟ้ารั่ว อยู่ในราชสมบัติไม่นานก็ถูกพี่เขยจับฆ่า
แล้วตั้งลูกชายของตนคือ พระเจ้าแสนเมืองมิ่ง ครองเมืองเมาะตะมะ
หยดที่สาม
พระเจ้าแสนเมืองมิ่ง ครองเมืองท่ามกลางความยุ่งยาก การแย่งชิงอำนาจจากขุนนางจนสิ้นพระชนม์
หยดที่สี่
เจ้าชี อนุชาเจ้าแสนเมืองมิ่งขึ้นครองเมืองเมาะตะมะได้ ๘ ปี ถูกขุนนาง นามว่า ‘ชีปอน’ ปลงพระชนม์
หยดที่ห้า
ชีปอนตั้งตนเป็นกษัตริย์อยู่ได้ ๗ วันก็ถูกอุ้มฆ่าโดยขุนนาง ‘เจตสงคราม’ แล้วยก ‘เจ้าอายกำกอง’โอรสพระเจ้าแสนเมืองมิ่งขึ้นครองราชสมบัติ
หยดที่หก
เจ้าอายกำกองครองราชสมบัติไม่กี่วันก็ถูกนางจันทรมังคละวางยาพิษสิ้นพระชนม์
หยดที่เจ็ด
นางจันทรมังคละยกเจ้าอ้ายลาวสืบราชสมบัติ แต่อยู่ในตำแหน่งนั้นอย่างง่อนแง่น คลอนแคลนเต็มที เพราะขุนนางแตกแยกเป็นหลายก๊กหลายก๊วน
หยดที่แปด
พระยาอู่ โอรสเจ้าชีครองราชสมบัติ แล้วก็เกิดความวุ่นวายขึ้นในเมืองเมาะตะมะ เมื่อพระยาอู่เสด็จไปคล้องช้าง ให้สมิงพะตะบะอยู่รักษาเมือง
ปรากฎว่าสมิงพะตะบะกลับเป็นกบฎ เตรียมศาสตราวุธรักษาหน้าที่บนเชิงเทินไม่ยอมให้พระยาอู่เข้าเมือง จึงเกิดศึกชิงความเป็นใหญ่ขึ้น
แต่พระยาอู่เสียเปรียบทุกอย่าง จึงปราชัย เลยต้องกระเด็นจากเมืองเมาะตะมะไปอย่างน่าเวทนาและสิ้นพระชนม์ที่เมืองอื่นด้านทิศตะวันตก
สายฟ้าผ่าเปรี้ยง !
บันดาลให้มะกะโทเกิดพลังความเชื่อมั่นในตัวเอง เขาก้าวไปด้วยความมุ่งมั่นและทำทุกอย่างเหมือนมีอำนาจวิเศษเหนือคนธรรมดาจนกระทั่งประทับนั่งเหนือบัลลังก์ได้สำเร็จ
แต่หยดเลือดที่กระเด็นขึ้นจากปากหลุมแห่งอำนาจเถื่อนไม่ใช่นิมิตแห่งความสถาพร แต่มันคือลางร้ายชี้ชะตากรรมบัลลังก์ทองที่มะกะโทได้สถาปนาขึ้น
มันได้จบสิ้นลงอย่างน่าเศร้า!
******