“ท่าทางแบบนั้นของคุณ...หมายความว่ายังไง?”
คำถามจากริมฝีปากของคนตรงหน้า จำให้เธอต้องสบมองปฏิกิริยาของตัวเองว่าตอนนี้เธอกำลังแสดงท่าทีแบบไหนอยู่
ซึ่งเธอก็ได้เห็นว่าตอนนี้เธอยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาปิดหน้าอกหน้าใจของตนเอาไว้ผ่านเสื้อเชิ้ตตัวสีขาวสะอาดที่เธอสวมใส่อยู่ และเธอก็เผลอร่นถอยหลังมาจนตอนนี้ขาหลังของเธอติดเข้ากับโซฟาจนไปไหนต่อไม่ได้อีกแล้ว
“แล้วคุณถอดเสื้อทำไม!”
เธอเอ่ยถามโดยที่ยังไม่ยอดลดมือลงจากหน้าอก
ผู้หญิงฝั่งตรงข้ามที่เธอยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อขมวดคิ้วฉงนราวกับคนสับสนกับการกระทำของเธอ...
แต่เดี๋ยวก่อนนะ...เธอยังไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อของเขา แต่เธอกลับกล้าที่จะไว้ใจเข้ามาในห้องของคนแปลกหน้า แล้วไหนจะคนคนนี้ที่สักจนเต็มตัวอีกด้วยต่างหาก หรือมันจะเป็นอย่างที่แม่ของเธอบอกเอาไว้จริง ๆ ว่าคนพวกนี้ไว้ใจไม่ได้ เป็นอันว่าการเปิดใจของเธอส่งผลร้ายต่อเธอแล้วใช่หรือเปล่า?
“ทำหน้าแบบนี้คิดไปถึงไหน...”
“อย่าเข้ามานะ!”
เธอชี้หน้าของเขาที่กำลังจะขยับเข้ามาหากัน
ซึ่งเขาก็ยอมหยุดเท้าของตัวเองลงในทันทีก่อนจะยกมือขึ้นมาเป็นเชิงบอกว่ายอมแพ้แล้ว แต่เธอก็ยังไม่ไว้วางใจเขาอยู่ดีที่อยู่ ๆ เขาก็ถอดเสื้อของตัวเองออกและใส่แค่สปอร์ตบราโล่งโจ้งอยู่อย่างนี้น่ะ!
มันจะคิดเป็นอะไรไปได้อีกที่อยู่ ๆ เขาก็มาถอดเสื้อต่อหน้าของเธอแบบนี้ มันก็มีเพียงแค่เรื่อง...
“ก็ไหนเธอบอกว่าอยากจะรู้เกี่ยวกับเรื่องของรอยสัก”
“แล้วมันทำไม?”
พิมฐายังคงเอ่ยถามอย่างไม่ไว้วางใจ
“ฉันก็ต้องเปิดรอยสักให้เธอเห็นจริง ๆ นี่ไง...เธอคิดอะไรไปถึงไหนกัน!”
เขาเอ็ดกลับมาราวกับเริ่มรำคาญกันเต็มทีแล้ว
ซึ่งเหตุผลของเขาที่ดูจะฟังขึ้นอยู่บ้างก็ทำให้เธอพลันหยุดคิดเล็กน้อย สายตาของพิมฐาสำรวจมองทั่วเรือนร่างของเขาที่มันเต็มไปด้วยรอยสัก มีทั้งแบบลวดลายและแบบที่มันเป็นตัวอักษร
แขนข้างซ้ายของเขานั้นมันเต็มไปด้วยรูปหัวกะโหลกและรูปดอกไม้ ส่วนใต้ราวนมที่เธอสงสัยตั้งแต่ครั้งที่ได้พบเห็นนั้นก็เฉลยให้เธอได้รู้แล้วว่ามันเป็นรูปผีเสื้อ ตรงบริเวณกระดูกไหปลาร้าของเขาก็เป็นตัวอักษรโรมันที่บ่งบอกถึงตัวเลข แล้วนิ้วมือข้างขวาของเขาทั้งห้านิ้วก็สักเป็นรูปเล็ก ๆ แตกต่างกันอีกด้วยต่างหาก
MCMXCVII ที่แปลว่า 1997 จะใช่ปีเกิดของเขาหรือเปล่านะ...
“ที่แขนกับที่ตัวของฉันมันมีรอยสักที่แตกต่างกัน ฉันก็เลยจำเป็นที่จะต้องถอดเสื้อเพื่อให้เธอได้เห็น”
พิมฐาเริ่มได้สติและลดมือของตัวเองลงมาอยู่ข้างตัว
“คิดว่าฉันจะมีอารมณ์กับป้าอย่างเธอหรือไง?”
“นี่!”
เธอตะโกนใส่เขาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
แต่คนฝั่งตรงข้ามของเธอกลับยกยิ้มมุมปากราวกับคนที่มีความสุขนักหนาอย่างไรอย่างนั้นที่สามารถกลั่นแกล้งกันได้สำเร็จ
ถ้าเขาเกิด 1997 อย่างที่สักจริง ๆ งั้นก็แสดงว่าเขาอายุน้อยกว่าเธอ 6 ปี
6 ปีเชียวนะ!
“ว่าไง...อยากลองจับดูไหม?”
เขาเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งดึงสติของเธอให้หวนกลับหลังจากที่เธอคำนวณถึงอายุของเขา
ก่อนที่คนตรงหน้าจะยกมือทั้งสองข้างตั้งฉากขึ้น มุมปากของเขายกยิ้มเล็กน้อยเมื่อยามที่สบมองใบหน้าของกัน แถมเขายังยักคิ้วหลิ่วตาใส่อย่างท้าทายอีกด้วยต่างหาก
พิมฐาสบมองการกระทำของเขา และเธอยอมรับตามตรงเลยว่าเธอยังไม่ค่อยไว้วางใจนักเพราะแม้แต่ชื่อของเขาเธอเองก็ยังไม่รู้จักเลย แล้วอยู่ ๆ จะให้เธอไปจับจิ้มตัวของคนแปลกหน้า(ที่เธอกล้าเข้ามาในห้อง)มันก็จะอย่างไร ๆ ชอบกลอยู่
ตฤมปตีสบมองใบหน้าของพิมฐาที่ขมวดคิ้วฉงนอย่างคนที่กำลังใช้ความคิด มันทำให้เขาพอนึกขึ้นมาได้ว่าพวกเราสองคนน่ะแตกต่างกันมากในทุก ๆ เรื่อง และหล่อนจะไม่จับต้องเขาแน่ ๆ หากเจ้าหล่อนยังรู้สึกไม่ไว้วางใจกัน แม้ดวงตาของเจ้าหล่อนจะสุกใสอย่างใคร่รู้ แต่หล่อนก็ยังคงมีกำแพงสูงใหญ่ที่เขามองเห็น
“ฉันชื่อตฤม”
“คะ?”
“ทีนี้เรารู้จักกันหรือยัง?”
พิมฐาสบมองใบหน้าของเขาอย่างตื่นตระหนก
นี่เขาอ่านใจกันได้หรืออย่างไรเพราะอยู่ ๆ เขาก็โพล่งชื่อของตัวเองขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นเธอเอ่ยปากถามเขาก่อนแท้ ๆ แต่เขากลับไม่ยอมเปิดปากบอกอะไรกันเลยแม้เพียงแต่น้อย...แล้วอยู่ ๆ ก็ดันมาพูดเอาตอนนี้เนี่ยนะ
เขาสักแบบเล่นของหรือเปล่า?
“ถ้ามีความคิดอะไรแบบพิเรนทร์ ๆ อยู่ในหัวก็เลิกคิดได้แล้ว”
“คะ...คุณอ่านใจได้จริง ๆ เหรอ?”
“หน้าเธอมันออกขนาดนั้น เด็กประถมยังดูออกเลยมั้ง!”
“เป็นงั้นไป...”
พิมฐาก้มหน้าหลุบตาลงต่ำและถูมือของตัวเองไปมา
“ว่ายังไง...สรุปจะลองจับดูไหม?”
เขาเอ่ยถามย้ำขึ้นมาอีกครั้งให้เธอเงยหน้าสบมองเขาอีกหน
ดวงตาของพิมฐาสำรวจมองเรือนร่างของเขาอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้เธอใช้สายตาของตัวเองกวาดมองรอยสักของเขาอย่างละเอียดตั้งแต่รอยที่มองเห็นภายนอกได้ลามเข้ามาถึงภายในร่างกายของคนตรงหน้า
อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนตัวเองหลุดเข้ามาในโลกอีกใบหนึ่งที่เธอไม่รู้จัก...และไม่เคยคิดที่จะรู้จักเพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเด็ก
แม่ของเธอมักจะบอกเธอเสมอเวลาที่เราออกไปไหนมาไหนด้วยกันว่าให้หลีกเลี่ยงคนพวกนี้เอาไว้ ท่านกำชับนักหนาให้มันค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใต้สำนึกของเธอว่าพวกคนเหล่านี้เป็นคนไม่ดี แม้เธอไปเรียนที่ต่างประเทศและต้องพบเจอคนที่มีรอยสักอย่างเปิดเผยมานักต่อนักแต่เธอก็จะหลีกเลี่ยงพวกคนเหล่านั้นเสมอ
เธอเอาแต่เชื่อฟังจนบางทีเธอก็ลืมมองโลกแห่งความเป็นจริง...
คนที่มีรอยสักมากมายในมหาวิทยาลัยต่างประเทศที่เธอไปเรียนนั้นจบมาด้วยเกียรตินิยมก็มีมากมายให้เธอได้เห็น พวกแพทย์และตำรวจในประเทศของเขาบางคนก็สักมากมายแต่พวกเขาก็ยังเป็นคนดีไม่ได้เลวร้ายไปทั้งหมดอย่างที่แม่ของเธอเคยเหมารวมเอาไว้
จริง ๆ แล้วรอยสักมันก็เป็นศิลปะความชอบชนิดหนึ่งของบุคคลนั้น ๆ พวกเขาเลือกที่จะตกแต่งร่างกายของตัวเองโดยที่ไม่ได้ทำร้ายใคร หรือแม้แต่พวกที่ทำร้ายคนอื่นนั้นก็ไม่ใช่แค่คนที่มีรอยสักทั้งหมด
คนเราที่เลือกจะสักร่างกายมันก็เกิดมาจากความชอบทั้งนั้น...แล้วจะมีใครบ้างหรือเปล่าที่เลือกจะสักเพราะปิดบังรอยแผลเป็นแห่งความเจ็บปวดในอดีตที่เลวร้ายของพวกเขา?
อยู่ ๆ พิมฐาก็เกิดคำถามนี้ขึ้นมาพอดีกับที่เธอเอื้อมมือขึ้นไปจับที่ไหปลาร้าซึ่งขึ้นเป็นนูนสวย นิ้วของเธอกรีดกรายไปยังรอยสักที่เป็นเลขโรมัน ก่อนที่เธอจะลากนิ้วลงต่ำเมื่อสายตาดันไปสนใจกับสิ่งอื่นแทนแล้ว
“ตรงนี้เคยเป็นแผลเป็นหรือเปล่า?”
พิมฐาเอ่ยถามในขณะที่มือของเธอลูบไล้รอยสักที่ใต้ราวนมของหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า
เธอเงยหน้าสบมองคนที่มีส่วนสูงมากกว่าเธออยู่พอสมควรอย่างคนที่พึ่งจะรู้สึกตัวว่าเธอเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าของเขา...แถมเราสองคนก็ยังยืนใกล้กันมากจนแทบจะสิงร่างกันได้อยู่แล้ว
“นอกเหนือจากเรื่องของรอยสัก...ฉันขอไม่ตอบ”
น้ำเสียงแหบทุ้มของเขาที่ก้มหน้าลงมาเอ่ยตอบกันนั้น ทำให้เธอพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
แต่จะว่าไปแล้วเสียงของเขาแหบต่ำกว่าทุกทีหรือเปล่านะ...
มือของพิมฐายังคงลูบไล้ไปตามท่อนแขนของเขาข้างที่มีรอยสัก ซึ่งหลังจากที่เธอได้สัมผัสมันแล้วเธอก็พบว่ามันก็เหมือนกับผิวปกติทั่วไปของเธอไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย ถ้าหากจะแตกต่างก็ยังจะมีเพียงแค่ผิวของเขาเท่านั้น...ที่มีลวดลายสวยงามประดับเอาไว้ให้เธอเริ่มที่จะสนใจมันมากขึ้นเข้าให้เสียแล้ว
หลังจากที่ได้จับต้องแขนของเขาจนพอใจแล้ว เธอก็ใช้นิ้วมือของตนเองกรีดกรายที่เรียวนิ้วยาวของเขาข้างที่มีรอยสัก จับเล่นพลิกไปพลิกมาอย่างสนใจ แต่เธอจะรู้ไหมว่ากำลังทำให้ใครคนหนึ่ง...เริ่มอยู่ไม่สุข
“หนาวเหรอคะ?”
เธอเอ่ยถามเพราะสัมผัสได้ถึงร่างกายของเขาที่เริ่มสั่นไหวเมื่อเธอยังคงลูบไล้ไปตามผิวกายของเขาอยู่
“ปะ เปล่า...ทีนี้จะลองจับคิ้วดูไหม?”
“อ๊ะ! เกือบลืมไปเลย”
เธอพยักหน้าหงึกหงักและใช้มือขึ้นไปลูบที่คิ้วของเขา
พิมฐาสัมผัสลงไปที่จิวสีเงินวาวที่อยู่บนคิ้วของเขาทั้งด้านบนและด้านล่าง มันเป็นขรุขระขึ้นมาเมื่อเธอลากนิ้วไปโดนจิว
“เจ็บหรือเปล่าคะ?”
“ตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว”
“แสดงว่าตอนนั้นเจ็บเหรอ?”
“ก็...ไม่เท่าไร”
เขายักไหล่ยืนยันในสิ่งที่ตนเองนั้นเอ่ยตอบ
“ต่อไปขอจับที่มุมปากได้ไหม?”
“มาขนาดนี้แล้วอยากจะจับตรงไหนก็จับเถอะ”
ตอบรับสไตล์คนเย็นชาหรือไงกัน...
พิมฐาขยับมือของตนเองลงมาที่ริมฝีปาก เธอลูบไล้ริมฝีปากของเขาตั้งแต่ตรงกลางไปจนถึงตรงมุมปากที่มันมีจิวเจาะเอาไว้ ลูบซ้ำไปซ้ำมาด้วยความสงสัย หากเจาะที่มันเป็นห่วงวงกลมแบบนี้ แสดงว่าด้านในของเขาจะต้องมีอีกครึ่งวงกลมอยู่ด้วยไหมนะ...
หมับ!
อยู่ ๆ ตฤมปตีก็เอื้อมมือมาจับเข้ากับมือของเธอที่ลูบไล้ริมฝีปากของเขาให้เธอต้องตวัดสายตาไปสบมองสายตาของเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักกับการกระทำในครั้งนี้
แต่แล้วเธอก็สัมผัสได้ถึงแววตาที่วูบไหวของเขา...มันเหมือนกำลังอ้อนวอนขอร้องอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ยังไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี
ตฤมปตีสบมองใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า และเขาพึ่งได้สังเกตอย่างจริงจังในตอนนี้ว่าเธอสวยงามมากเมื่อยามที่แววตากำลังหลงใหลได้ปลื้มกับสิ่งใดบางอย่าง
และสิ่งที่เจ้าหล่อนกำลังหลงใหลโดยไม่รู้สึกตัวอยู่ในตอนนี้มันก็คือรอยสัก...ที่อยู่บนร่างกายของเขา
ในตอนนี้พิมฐากำลังสบมองใบหน้าของเขาด้วยแววตาสั่นไหวราวกับคนกำลังรู้สึกผิด หล่อนคงจะคิดว่าเขากำลังเจ็บปวดกับการที่เธอเข้ามาสัมผัสร่างกายของเขา...แต่แท้จริงแล้วเพียงแค่ในตอนนี้เขากำลังต้องการสัมผัสร่างกายของเธอต่างหาก
แววตาที่ไม่รักดีของเขามันก็ดันปิดไม่มิดเสียนี่...
“ฉันทำให้คุณเจ็บหรือเปล่าคะ ฉันขอ...”
“ที่บอกว่าฉันจะไม่มีอารมณ์กับป้าอย่างเธอน่ะ...เป็นอันว่าฉันขอถอนคำพูด”
พิมฐาสบมองใบหน้าของเขาอย่างประมวลผลในคำบอกกล่าว
ก่อนดวงตาของเธอจะค่อย ๆ เบิกโพลงอย่างตื่นตระหนก ผิดกับเขาลิบลับที่ยังคงทำหน้าตายอย่างไม่ได้รับรู้เลยว่าคำพูดของตัวเองน่ะ...ทำให้ใครคนอื่นว้าวุ่นกับมันแค่ไหน
ถ้าไม่นับแววตาที่สุกใสออกมาอย่างไม่ปิดบัง...เธอจะคิดว่าเขากลั่นแกล้งให้เธอเขินอายอีกสักครั้งอย่างแน่แท้
“คะ คุณ...”
“...”
“หมายความว่ายังไงกันคะ!”