“อือ...”
นิ้วเรียวยาวที่อยู่ภายใต้ถุงมือสีดำสนิทนั้นค่อย ๆ ไล้ไปตามเรือนร่างของหญิงสาวที่นอนเปลือยกายอยู่บนเตียง
“อ๊ะ! ตรงนี้เจ็บนะ”
“ก็บอกให้อยู่เฉย ๆ ไง”
ร่างสูงเอ็ดในขณะที่ร่างกายของตัวเองนั้นหันไปอีกทางหนึ่ง
ก่อนที่เขาจะหันกลับมาลงแรงที่เรือนร่างของหญิงสาวที่อยู่บนเตียงอีกครั้ง ใบหน้าบิดเบี้ยวบ่งบอกถึงความเจ็บปวดของหญิงสาว จำให้ร่างสูงตัดสินใจหยุดมือลงแม้ว่าเขาจะยังไม่เสร็จกิจสิ่งที่กำลังทำอยู่ก็ตามแต่
“หยุดทำไม?”
สาวเจ้าเอ่ยถามในขณะที่สายตาก็ตวัดขึ้นมาสบมองกันอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
“แต่ว่าฉันยัง...”
“ผิวแดงไปหมดทั้งตัวแล้ว ฝืนไปก็มีแต่จะทำให้เธอยิ่งเจ็บตัว”
ตฤมปตีละมือออกจากทุกสิ่ง พร้อมทั้งทำการเช็ดทำความสะอาดร่างกายของหญิงสาวที่อยู่บนเตียงให้เสร็จสรรพ
ร่างสูงหันไปจัดเก็บข้าวของที่อยู่บนโต๊ะข้างตัวของตัวเองซึ่งทั้งหมดนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์สำหรับการสักทั้งสิ้น ก่อนที่เขาจะถอดถุงมือทิ้งเป็นลำดับสุดท้ายเมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว แต่เมื่อเขาหันกลับมาที่เตียงก็กลับพบว่าสาวเจ้ายังไม่มีทีท่าว่าจะยอมลุกขึ้นไปใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแต่อย่างใด
ซึ่งบริเวณที่เขาทำการสักในครั้งนี้นั้นเป็นตรงกลางหน้าอก ตฤมปตีพยายามบอกให้หญิงสาวปกปิดเรือนร่างของตนเองโดยการใส่ที่ปิดจุกแล้ว...แต่สาวเจ้ากลับไม่ยอมสวมใส่และยืนยันว่าจะสักทั้งร่างกายที่เปลือยเปล่า
เขาที่เป็นเพียงแค่ช่างสักนั้นก็ได้แต่เอือมระอากับผู้หญิงคนนี้เต็มที แต่เขาก็ปฏิเสธการสักกับเจ้าหล่อนคนนี้ไม่ได้...เพราะหล่อนเป็นลูกค้ารายแรก ๆ เลยก็ว่าได้ที่ยอมสละผิวให้กับเธอได้ทำการทดสอบในตอนที่เธอเริ่มเป็นช่างสักมือใหม่
สาวเจ้าที่ยังนอนอยู่บนเตียงสักนั้นเท้าแขนลงกับเตียงและยกยิ้มให้กับเธอด้วยแววตาเป็นประกายสุกใส
“ถ้าอย่างนั้นเรามาทำอย่างอื่นกันต่อดีไหม?”
หญิงสาวเอ่ยถามและค่อย ๆ ยันกายลุกยืนจนเต็มความสูง
เจ้าหล่อนย่างกรายเข้ามาหากันทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเลยแม้เพียงสักชิ้นเดียว ผิวหนังที่ถูกสักด้วยฝีมือของเขาตั้งแต่ลายแรกนั้นปรากฏเด่นชัดแก่สายตาของตฤมปตี ซึ่งสาวเจ้าก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะยอมหยุดเดินแต่กลับยิ่งเดินเข้ามาประชิดก่อนจะยกมือขึ้นมาโอบรอบคอของกันเอาไว้อย่างยั่วยวน
“หยุดใช้สายตาเย็นชาแบบนั้นมองลี่...”
“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรจะเข้าใจคำตอบแล้วสิ...”
“เทียวมาหามาสักด้วยบ่อย ๆ ตั้งหลายปีแล้วนะ...ไม่ใจอ่อนให้กันบ้างเลยหรือไง?”
ตฤมปตีสบมองใบหน้าของสาวเจ้าที่อยู่ใกล้เพียงแค่ลมหายใจกั้นขวางอย่างไม่คิดเกรงกลัว
เราทั้งสองคนจดจ้องมองกันเนิ่นนานราวกับกำลังเล่นเกมกันอยู่ว่าหากใครหลบสายตาก่อนก็จะเป็นผู้พ่ายแพ้ ซึ่งสุดท้ายแล้วผลชนะมันก็ปรากฏ หญิงสาวที่ยกมือโอบรอบคอของกันเมื่อสักครู่นั้นค่อย ๆ ถอนออก และร่างของสาวเจ้าก็ค่อย ๆ ถอยห่างออกไปอย่างยอมแพ้
“ยังใจแข็งเหมือนเดิมเลยนะ”
“ฉันจะออกไปรอข้างนอก”
ตฤมปตีพูดจบ เขาก็ค่อย ๆ พาร่างของตัวเองเดินจากออกไป
โดยที่เขาไม่แม้แต่จะสนใจในรูปประโยคที่เต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจของเจ้าหล่อนเลยแม้เพียงแต่น้อย...
“แล้วก็เลิกทำเสียงแบบนั้นสักที...”
“ฮืม?”
“ฉันแค่สัก...ไม่ได้ทำเรื่องอะไรแบบนั้นกับเธอ”
“ไม่หลงกลอยากฟังเสียงเต็ม ๆ ตอนมีเซ็กซ์หรอกเหรอ?”
เขาที่โผล่หน้าเข้ามาพูดกับเจ้าหล่อนได้แต่ทำหน้าเอือมระอากับใบหน้าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของหญิงสาว
“จะให้ฉันพูดอีกร้อยครั้งฉันก็จะตอบว่าไม่”
“ใจร้าย!”
ร่างสูงเดินเลี่ยงไปทางห้องครัวเปิดตู้เย็นและหยิบน้ำเปล่าขวดเล็กออกมาดื่ม
ศีรษะของเขาหันไปด้านข้างซึ่งมันเป็นกระจกบานใหญ่ที่มองเห็นได้เกือบจะทั่วทั้งเมืองจากความสูงชั้นที่ 23 เขาปล่อยตัวปล่อยใจไปกับแสงสีส้มของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า...แต่ใครเล่าจะรู้ว่าภายในใจของเขาที่เหม่อลอยอยู่เช่นนี้มันว่างเปล่าไร้สิ่งใดที่อยู่ภายใน
ตฤมปตีก็เคยเป็นคนหนึ่งที่เกลียดผู้ชายและรอยสัก...
แต่สุดท้ายแล้วความเกลียดเหล่านั้นก็กลับกลายมาเป็นอาชีพของเขา และเขาก็สามารถละเลงความเจ็บปวดทั้งหมดลงไปกับร่างกายของตัวเองได้โดยไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว...ว่าใครจะมาพบเห็นสิ่งที่เขาตั้งใจซ่อนมันเอาไว้
ตฤมปตี...
ชื่อจริงที่ถูกแต่งตั้งโดยผู้ให้กำเนิดซึ่งมันแปลความหมายได้ว่ายินดีและพอใจ แต่ทำไม...เธอกลับมองว่าพวกเขาไม่ได้ยินดีกับการที่มีเธอ เหมือนดั่งชื่อที่พวกเขาตั้งให้กับเธอเลยแม้เพียงแต่น้อย
“ตฤม!”
เขาได้สติหวนกลับเมื่อได้ยินเสียงเรียกของหญิงสาวที่ดังออกมาจากห้องที่เธอมีไว้สำหรับใช้สัก
“มีคนกดกริ่งนานแล้ว ไม่ออกไปดูหรือไง?”
“อืม”
เขาคานรับก่อนจะวางขวดน้ำลงที่เคาน์เตอร์
ตอนนี้ในสมองของตฤมปตีกำลังนึกคิดว่าใครกันที่มาหาเพราะเขาจำได้ว่าในวันนี้เขาไม่มีนัดสักรอบดึกกับใครแล้ว
ร่างสูงพาร่างของตัวเองเดินไปทางประตูหน้าห้อง เขาสอดส่องมองดูที่ตาแมวว่าใครกันที่มาหา แต่ก็คิดไปก่อนแล้วว่าอาจจะเป็นเจรดาที่ชอบมาหมกตัวอยู่ที่สตูดิโอสักของเขาเป็นประจำเวลาที่มันว่าง ๆ ซึ่งเมื่อเขาได้พบเห็นคนที่อยู่ด้านหน้าประตูห้องของตนแล้ว คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดชนกันเพราะเขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าคนที่มาหากันนั้นจะคนคนนี้
ตฤมปตีปลดล็อกประตูแต่ครั้งนี้เขาเลือกที่จะเปิดประตูอ้ากว้างในครั้งแรกไม่เปิดให้เห็นแค่ดวงตาของตัวเองอีกต่อไป แต่เมื่อเขาเปิดประตูกว้างออกมาเผชิญหน้ากับหญิงสาว เธอคนนั้นก็กลับสะดุ้งโหยงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบมองกันจนเต็มดวงราวกับคนที่ยังไม่ได้เตรียมใจจะพบเจอกันอย่างไรอย่างนั้นทั้ง ๆ ที่เธอเป็นคนมาเคาะห้องของเขาด้วยตนเอง
“?”
“คือ...”
พิมฐากระอึกกระอัก แต่เขาที่เห็นกล่องขนมในมือของเจ้าหล่อนแล้วก็พอจะเดาได้ว่าเธอมาหากันทำไม
จะว่าไปแล้วตั้งแต่ที่เขาช่วยเธอขนของขึ้นมาที่ห้องในวันนั้น...พวกเราสองคนก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยนี่น่า
“พอดีฉันทำขนม...เลยอยากจะเอามาแบ่งปันน่ะค่ะ”
เธอยื่นกล่องขนมที่ถูกบรรจุและผูกโบมาเป็นอย่างดีเหมือนกับครั้งก่อน ๆ มาที่ตรงหน้าของกัน
ตฤมปตีเอื้อมมือไปรับขนมของเจ้าหล่อนมาถือเอาไว้ ซึ่งครั้งนี้มันก็มีโพสต์อิทใบเล็ก ๆ แปะเอาไว้ที่หน้ากล่องขนมดังเดิม แถมหน้าตาของขนมก็ยังน่ารับประทานอีกด้วยต่างหาก บ่งบอกถึงนิสัยใจคอของเธอได้เลยว่าเป็นคนใส่ใจและประณีตมากมายเพียงใด
“ขอบคุณนะ”
เขาเอ่ยบอกให้เจ้าหล่อนเงยหน้าขึ้นมาผงกหัวหงึก ๆ
ซึ่งตฤมปตีก็ยังคงยืนอยู่กับที่เพื่อหวังที่จะส่งเธอกลับไปที่ห้อง แต่สาวเจ้าก็ยังไม่ยอมขยับไปไหนให้เขาได้แต่เลิกคิ้วอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่าทำไมหญิงสาวถึงยังไม่ยอมไปจากตรงนี้เสียที
“ขนมน่ากินจัง”
เป็นเสียงของคนในห้องที่โพล่งออกมา ซึ่งตอนนี้เจ้าหล่อนก็แต่งตัวเรียบร้อยเตรียมพร้อมที่จะจากไปแล้ว
“กลับบ้านดี ๆ ล่ะ”
“อย่ามาทำเป็นห่วงเป็นใยกันนักสิ...”
คนในห้องยกมือขึ้นมาลูบแก้มของกันบางเบาอย่างที่เจ้าหล่อนมักจะทำกับเธอเป็นปกติ
เรียกได้ว่าหากมีโอกาสทำได้...ก็มักจะทำอยู่ตลอดเลยดีกว่า
“คนเป็นเมียไม่ได้...มันเสียใจนะ”
“เลิกไร้สาระแล้วก็ออกไปได้แล้ว”
“พอได้ทำในสิ่งที่ตัวเองพอใจแล้วก็ชอบไล่แบบนี้ทุกที!”
เจ้าหล่อนทำหน้าบึ้งตึงแต่ก็ยอมเดินออกมาจากห้องแต่โดยดี
“งั้นฉันไปก่อนนะ...ไว้ครั้งหน้าจะรีบกลับมาซ้ำ”
“อย่าลืมว่าแผล...”
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของฉันนะตฤม บาย!”
ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเดินสับขาไปทางลิฟต์โดยไม่แม้แต่จะสนใจพวกเราอีกเลย
“ฉันมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่าคะ?”
“ไม่ล่ะ เธอกำลังจะกลับพอดี”
เขาเอ่ยตอบคำถามของสาวเจ้า
ว่าแต่อยู่ ๆ ทำไมเธอถึงได้หน้าแดงขึ้นมากันล่ะ?
เราสองคนต่างยืนเงียบโดยที่ไม่มีใครพูดสิ่งใดต่อ แต่ตอนนี้เขากำลังสงสัยว่าพิมฐาเป็นอะไรหรือเปล่าเพราะเธอดูเหมือนมีเรื่องจะพูดกับเขาแต่ก็ดูเหมือนจะไม่กล้าและก็ได้แต่ยืนเงียบอยู่แบบนี้
ตฤมปตีย้อนกลับไปคิดว่าเขามีสิ่งใดที่ติดค้างเจ้าหล่อนเอาไว้หรือเปล่า ก่อนที่เขาจะพอนึกขึ้นได้เมื่อมองไปที่แขนของตัวเองข้างที่มีรอยสัก ซึ่งเอาจริง ๆ เขาเองก็ลืมไปแล้วด้วยว่าเคยรับปากอะไรไว้ แต่ดูเหมือนคนที่กำลังจะเริ่มสนใจในรอยสักอย่างพิมฐาคงจะไม่ลืมมันง่าย ๆ
“เข้ามาก่อนไหม?”
“ดะ ได้เหรอคะ?”
แววตาเป็นประกายสุกใสราวกับเด็กตัวเล็ก ๆ แบบนั้น...เขาคงคิดถูกสินะ
จริง ๆ เขาก็พอจะมองออกอยู่ว่าพิมฐาน่ะคงถูกเลี้ยงดูมาโดยแตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิง แม้ในครั้งแรกของการพบกันเจ้าหล่อนจะแสดงความเย็นชาออกมาอย่างเต็มรูปแบบ...แต่แววตาของเจ้าหล่อนกลับวูบไหวและเขาสามารถมองมันออกได้โดยง่ายเพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยมีแววตาแบบนั้น
แววตาอ่อนไหวไร้เดียงสา...แต่ตอนนี้มันตายไปพร้อมกับแม่ของเขาตั้งนานแล้ว
ตฤมปตีเบี่ยงตัวเพื่อให้หญิงสาวได้เข้ามาภายในห้อง จริง ๆ แล้วการตกแต่งห้องของพวกเราก็ค่อนข้างที่จะแตกต่างกันอยู่พอสมควร ทางฝั่งของหญิงสาวจะเน้นความขาวสะอาด แต่ทางฝั่งของเธอนั้นจะเป็นโทนสีดำที่มันจะไม่เปื้อนง่าย
เขาปิดประตูลงตามหลังเมื่อร่างของสาวเจ้าเดินเข้ามาภายในห้องพัก กล่องขนมที่พึ่งจะได้รับเมื่อครู่นั้นเขาก็วางมันเอาไว้ที่โต๊ะทานข้าวที่เขาไม่เคยมานั่งทานตรงนี้เลยสักครั้ง
สองมือจับที่ปลายเสื้อยืดของตัวเองก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ถอดมันออกให้เหลือเพียงแค่สปอร์ตบรารับกับกางเกงยีนขากระบอกของตัวเองเท่านั้น ส่วนพิมฐาที่ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็ยังคงสนใจอยู่กับเฟอร์นิเจอร์ในห้องของเขา ก่อนที่เธอจะหันกลับมาหวังจะชมถึงการตกแต่งที่เรียบง่ายนี้
“ห้องของคุณเป็นโทน...คุณจะทำอะไรคะ?”
ซึ่งเมื่อเจ้าหล่อนหันมาเห็นเธอที่พึ่งจะถอดเสื้อออก...
“ก็เริ่มทำให้เธอเรียนรู้เกี่ยวกับรอยสักไง”
พิมฐาก็ได้แต่เบิกตาโพล่งอย่างตื่นตระหนกและแสดงทีท่าไม่ไว้วางใจออกมาในทันใด...