ให้ตายสิ...เธอจะยืนอยู่ตรงนี้ไปถึงเมื่อไร?
พิมฐายืนส่ายขาไปมาอย่างไม่มั่นใจอยู่ที่หน้าห้องของตัวเองมานานกว่าหลายนาทีแล้ว และเธอก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกไปจากตรงนี้ในเร็ว ๆ นี้แต่อย่างใด เพราะสิ่งที่เธอตั้งใจอยากจะทำมันนั้น...เธอยังไม่ค่อยมีความกล้ามากเท่าที่ควรนัก
ในมือของพิมฐานั้นมีกล่องขนมที่เธอพึ่งอบเสร็จใหม่ ๆ เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน แต่เธอก็ได้แต่ถืออยู่ที่หน้าห้องตรงนี้ไม่ได้เดินไปไหน เพราะเธอมีความตั้งใจอันแรงกล้าว่าเธอจะนำขนมชิ้นนี้ไปมอบให้กับคนห้องฝั่งตรงข้าม...เพื่อที่เธอจะพยายามเปิดใจกับคนที่มีรอยสักดูบ้างเพราะมันคงเป็นปัญหากับชีวิตของเธอไม่ใช่น้อยหากเธอยังมีความคิดแบบเดิม ๆ อยู่
หลังจากที่เธอไปสอนมากว่าสองสัปดาห์เต็ม ๆ แล้วเธอก็ได้พบเจอกับนักศึกษามากมายหลายรูปแบบในชีวิตประจำวันของเธอเพราะเธอเป็นอาจารย์และเธอเลือกไม่ได้ว่าจะสอนนักศึกษาคนไหน
เธอพึงพอใจกับการสอนของตัวเองในตลอดระยะเวลากว่าสองสัปดาห์เต็ม ๆ ที่เธอได้ทำการสอนเพราะนักศึกษาทุกคนให้ความร่วมมือกับเธอเป็นอย่างดีเสียส่วนใหญ่ แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็ดันไปบังเอิญเห็นรอยสักเล็ก ๆ ของนักศึกษาที่เป็นเด็กดีคนหนึ่งเข้าและเธอยอมรับเลยว่าหลังจากที่ได้เห็น...เธอก็เริ่มมีอคติกับนักศึกษาคนนี้
ซึ่งนักศึกษาคนที่มีรอยสักคนนี้ไม่ได้สักออกมานอกร่มผ้า ทั้งรอยสักของเขาก็ยังเป็นรอยสักเล็ก ๆ ที่เป็นรูปครอบครัวของเขาอีกด้วยต่างหาก และเสมอมานักศึกษาคนนี้ก็เข้าคลาสและส่งงานเธอเสมอ ทั้งยังให้ความช่วยเหลือเธอเป็นอย่างดีไม่ว่าเธอจะขออาสาสมัครช่วยเธอยกของหรือว่าอะไรก็จะเป็นนักศึกษาคนนี้ที่เข้ามาให้ความช่วยเหลือ
พิมฐาจึงพยายามมองข้ามเรื่องรอยสักของนักศึกษาคนนี้และมองแต่ความน่ารักและความขยันหมั่นเพียรของเขา ซึ่งเธอก็ต้องขอบอกตรง ๆ เลยว่ามันยังคงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอในการเปลี่ยนแปลงเพราะเธอถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก...แต่เธอก็ถือว่าตัวเองทำได้ดีขึ้นมากแล้วถ้าหากกลับไปในตอนแรกที่เธอยังไม่คิดที่จะเปลี่ยนความคิดเหล่านั้น
ซึ่งการที่เธออบขนมมาให้กับคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามและมีรอยสักทั่วทั้งแขนอย่างที่เธอกำลังจะทำอยู่ในตอนนี้...ก็เป็นการเปิดใจครั้งยิ่งใหญ่ของเธอเหมือนกัน
และที่พิมฐาต้องเป็นกังวลนั้นมันก็ไม่ใช่เพราะเรื่องอะไรอื่นไกลเลย แต่เป็นเพราะการกระทำของเธอในการเจอเขาครั้งแรกต่างหาก...เธอแสดงออกอย่างชัดเจนเลยว่าเธอไม่ชอบเขาและเหมือนเขาเองก็จะรับรู้มัน ในครั้งนี้เธอจึงใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ เพราะแอบหวาดกลัวเขาอยู่เหมือนกันว่าเขาจะกลั่นแกล้งเมื่อย้อนกลับไปนึกถึงการพบเจอในครั้งแรกของเราที่มันไม่ดีนัก ซึ่งเธอก็ตั้งใจที่จะมาแสดงความขอโทษในวันนี้
“ยืนแบบนี้ต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลา...”
สุดท้ายแล้วเธอก็ตัดสินใจที่จะเดินหน้าไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูของคนที่ห้องฝั่งตรงข้าม
มือของเธอสั่นไหวและเธอพยายามจะบังคับมือของตัวเองให้มันเป็นปกติ แม่ของเธอมักจะสอนเรื่องการวางตัวรวมไปถึงเรื่องการขอบคุณและขอโทษคนอื่นอยู่เสมอถ้าหากว่าเธอกระทำผิด แต่ถ้าหากท่านรู้ว่าเธอกำลังเดินหน้ามาหาคนที่ท่านคอยกำชับนักกำชับหนาว่าให้หลีกเลี่ยงคนที่มีรอยสัก...ท่านได้ตีเธอจนก้นลายเป็นแน่แท้
บางทีเธอก็สงสัยว่าทำไมแม่ของเธอถึงได้จงเกลียดจงชังพวกคนมีรอยสักนัก...แต่เธอก็ไม่ได้ติดใจเอาความอะไรเพราะแม่ของเธอก็เป็นถึงอาจารย์ในยุคสมัยก่อนซึ่งท่านจะไม่ชอบมันก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลก
หรือว่าเอาเข้าจริงแล้ว...คนมีรอยสักเคยทำอะไรไม่ดีให้แม่ของเธอฝังใจหรือเปล่านะ?
ติ่งต่อง!
เธอกดกริ่งและยืนรออยู่ที่หน้าห้องฝั่งตรงข้าม มือทั้งสองข้างของเธอก็ถือกล่องขนมเอาไว้ทั้งมันก็ยังสั่นไหว ในใจของเธอตอนนี้มันเต้นตุบตับไม่เป็นจังหวะเพราะกลัวจะลืมคำที่ตั่งเตรียมเอาไว้สำหรับการขอโทษที่เสียมารยาทในครั้งแรกของการพบกัน
หวังว่าเขาจะไม่ติดใจเอาความอะไรนะ...ทั้ง ๆ ที่ในใจของเธอรู้ดีว่าถ้าหากมีใครมาแสดงกิริยาเช่นที่เธอทำกับเขาเธอเองก็คงจะไม่ชอบคนคนนั้นอยู่เหมือนกัน
นานเป็นนาทีก็ยังไร้วี่แววของคนด้านในที่จะเปิดออกมาต้อนรับ หัวใจของเธอห่อเหี่ยวลงโดยฉับพลันเพราะคิดว่าคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามคงไม่อยากจะสนทนากันอีกต่อไปแล้ว...เป็นเพราะเธอแท้ ๆ ที่มีอคติจนพานทำให้คนห้องฝั่งตรงข้ามไม่ชอบหน้ากันเข้าให้เสียแล้ว
แกร๊ก!
พิมฐาที่กำลังจะหันหลังเดินกลับเข้าห้องถึงกับต้องรีบหันหน้ากลับมาโดยทันใดเพราะเธอได้ยินเสียงปลดล็อกกลอนประตูจากคนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้าม
เขาโผล่แค่ดวงตาของตัวเองออกมาเล็กน้อยเหมือนกับตอนที่เราเจอกันครั้งแรกไม่มีผิดเพี้ยน แถมเขายังขมวดคิ้วฉงนบ่งบอกถึงความมึนงงที่อยู่ ๆ เธอก็มาเคาะห้องเขาแบบนี้อีกด้วยต่างหาก
เอาล่ะพิมฐา...ท่องเอาไว้ว่าเปิดใจ!
“ฉันทำขนมน่ะค่ะ...เลยอยากจะเอามาแบ่งปัน”
“ไหนว่าจะไม่มารบกวนกันแล้วนี่?”
คำพูดของเขาทำเอาเธอหน้าเหวอแต่เธอก็ยังพยายามใจดีสู้เสือ
“วันนั้นฉันต้องขอโทษคุณจริง ๆ นะคะที่พูดจาก้าวร้าวโดยไม่ทันคิดแบบนั้น ฉันอยากจะขอโทษคุณน่ะค่ะ”
พิมฐาก้มหน้าหลุบตาลงต่ำด้วยความรู้สึกผิด
เขาจะพูดแบบนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก วันแรกเธอแสดงกิริยาที่ไม่น่ารักกับเขาเอาเสียเลย ถ้าเกิดเขาจะไม่ชอบเธอขึ้นมาอย่างเช่นตอนนี้เธอก็จะไม่นึกโกรธเคืองใด ๆ
ประตูถูกปิดลงอีกครั้งให้พิมฐาเงยหน้าขึ้นสบมองบานประตูที่ถูกปิดสนิท ริมฝีปากของเธอเบะขึ้นมาอย่างรู้สึกผิดหวัง ดวงตาของเธอค่อย ๆ สั่นไหวราวกับน้ำตามันจะรินไหลลงมาเสียให้ได้
ไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกเหมือนจะร้องไห้ แต่เกิดมาทั้งชีวิตเธอไม่เคยโดนใครทำแบบนี้ใส่เลยนะ เธอเป็นเด็กดีเสมอเลยนี่น่า...แต่ทำไมตอนนั้นเธอถึงได้ก้าวร้าวนักนะ
แอ๊ด!
แต่แล้วเธอก็ต้องตั้งสติอีกครั้งเมื่อบานประตูถูกเปิดออกอีกหน...
“เอามาสิ...”
คนที่อยู่ห้องฝั่งตรงข้ามเปิดประตูออกมาหากันอีกครั้งให้เธอได้พบเห็นเขาจนเต็มทั้งสองตา
ดวงตาของเธอสบมองใบหน้าของเขาที่ไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาให้เธอรับรู้ได้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่สายตาของเธอจะมองไปยังแขนของเขาที่มีรอยสัก และเธอกำลังพยายามกับตัวเองเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่มีอคติและมองข้ามไปยังส่วนอื่น ๆ ของเขา...แต่มันก็ทำให้ดวงตาของเธอเบิกโพลงพร้อมกับใบหน้าของตัวเองที่เริ่มร้อนผ่าว
“สรุปจะให้ไหม...ขนม?”
“อ๊ะ! นะ...นี่ค่ะ!”
เธอรีบยื่นกล่องขนมไปที่ตรงหน้าของเขาพร้อมกับก้มหน้าหลุบตาลงต่ำอย่างไม่กล้าที่จะสบมอง
คนบ้าอะไรเปิดประตูให้กับคนแปลกหน้าทั้ง ๆ ที่ตัวเองใส่แค่สปอร์ตบราแบบนี้ ไว้ใจคนง่ายเกินไปหรือเปล่า...ว่าแต่รอยสักที่อยู่ใต้ราวนมของเขามันเป็นรูปอะไรกันนะ
“อ๊ะ!”
เธอร้องตะโกนออกมา
พร้อมกับชักมือกลับมาอยู่ที่ข้างตัวของตัวเองในทันใดเมื่อมือของเราทั้งสองคนนั้นสัมผัสโดนกันจากการที่เขาเอื้อมมือมารับกล่องขนมจากมือของเธอ
“ขะ ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะ...”
“แต่ฉันตั้งใจ”
“คะ?”
พิมฐาเงยหน้าขึ้นสบมองใบหน้าของเขา
หญิงสาวที่อยู่ตรงหน้าของเธอยกยิ้มมุมปากออกมาอย่างคนที่มีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้นแต่เธอเดาไม่ถูก มันเหมือนว่าเขากำลังสนุกสนาน...แต่เขาจะสนุกสนานกับเรื่องอะไรกัน?
“คุกกี้นี้มีอีกไหม...โทษทีฉันไม่รู้ว่ามีแขก”
พิมฐาใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่ออยู่ ๆ ก็มีหญิงสาวคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนอยู่ที่ข้างหลังของเขา
ก็ผู้หญิงคนนี้ไม่สวมเสื้อน่ะสิ หล่อนใส่แค่ที่ปิดจุกสีเนื้ออันเล็ก ๆ แถมทั้งตัวของเจ้าหล่อนยังเต็มไปด้วยรอยสักอีกด้วยต่างหาก อย่าบอกนะว่าที่มาเปิดห้องช้าเป็นเพราะว่าพวกเขากำลังจะ...
“ถ้าอย่างนั้นฉันไม่รบกวนพวกคุณทั้งสองคนแล้วดีกว่า พวกคุณเชิญตามสบายนะคะ!”
เธอพูดจบก็รีบหันหลังเดินกลับเข้าห้องของตัวเองในทันที
“ใครน่ะ?”
ลูกค้าที่เป็นเพื่อนสนิทของเขานั้นเอ่ยถามขึ้นมาให้เขาละความสนใจออกจากบานประตูที่ถูกปิดลงซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม และเดินกลับเข้ามาในห้องของตัวเองโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องของตัวเองเช่นกัน
“ตฤม...”
“หล่อนไม่ชอบคนมีรอยสักน่ะ...”
“งั้นก็แย่เลยนะที่มาอยู่ห้องฝั่งตรงข้ามกับช่างสักน่ะ...”
“ก็ช่วยไม่ได้นี่นะ”
เขายกยิ้มออกมาอย่างนึกสนุก
และสายตาของเขาก็ก้มลงสบมองกล่องขนมที่หญิงสาวอีกคนนำมันมาให้ พร้อมกับโพสต์อิทใบเล็ก ๆ ที่เขาดึงมันออกมา ก่อนจะเดินเข้าไปภายในห้องนอนและแปะมันเอาไว้ข้าง ๆ กับโพสต์อิทอันก่อนหน้าของหญิงสาวห้องตรงข้าม...ที่แสดงทีท่ารังเกียจเดียดฉันท์กันออกมาอย่างไม่มีปิดบัง
“ฉันว่าแกกำลังสนุก...”
เสียงของเพื่อนสนิทดังขึ้นมาอย่างคนรู้ดีให้ตฤมปตียกยิ้มขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เขาสบมองกล่องขนมที่ได้รับมันมาเมื่อสักครู่อีกครั้ง ก่อนจะยื่นให้กับเพื่อนสนิทที่ยืนเคี้ยวขนมคุกกี้ที่เป็นขนมอันที่พิมฐาทำมาให้ก่อนหน้า ซึ่งเพื่อนของเขาก็ได้แต่สบมองใบหน้าของเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่สุดท้ายแล้วมันก็เดินมารับกล่องขนมไปถือเอาไว้พร้อมกับสบมองขนมด้านในด้วยแววตาลุกวาว
“ให้ฉันเหรอ?”
“แกก็รู้ว่าฉันไม่ชอบกินขนมหวาน”
“ก็น่าจะบอกเธอไปสิ ถ้าไม่มีใครมากินก็เสียดายแย่”
“เอาไว้ให้พวกลูกค้าที่มาสักกินก็ได้นี่”
ตฤมปตีเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ
เขาเดินพาร่างของตัวเองไปนั่งลงยังหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะคลิกเข้าไปยังไฟล์หนึ่งซึ่งเป็นรอยสักที่เขาเริ่มร่างเอาไว้เมื่อเกือบเดือนก่อน...หรือตั้งแต่ที่เขาได้พบเจอกับพิมฐา
การฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดีของตฤมปตีทำให้เพื่อนสนิทอย่างเจรดานั้นนึกสงสัย...
ซึ่งเธอก็เดินไปหยุดยืนอยู่ด้านหลังของตฤมปตีในขณะที่ริมฝีปากก็เคี้ยวขนมแสนอร่อยจากหญิงสาวห้องตรงข้าม ก่อนดวงตาของเธอจะลุกวาวขึ้นมาเมื่อได้พบเห็นแบบร่างของรอยสักที่ถึงแม้มันจะยังไม่สมบูรณ์แบบ...แต่เธอก็ต้องการที่จะให้มันมาอยู่บนร่างกายของเธอด้วยความหลงใหลในงานศิลปะจากฝีมือของเพื่อนสนิท
“มีเจ้าของยังลายนี้ ถ้ายังฉัน...”
“เสียใจด้วยไอเพื่อนรัก...”
ตฤมปตีละมือออกจากทุกสิ่งที่ทำอยู่และค่อย ๆ หันหน้ากลับมาหาเพื่อนสนิทที่กำลังสบมองแบบร่างอย่างนึกเสียดาย
“เจ้าของลายสักนี้...ต้องเป็นของพิมฐาคนเดียวเท่านั้น”
เขาละสายตาออกจากใบหน้าของเจรดา ก่อนจะเบนสายตากลับมาสบมองที่โพสต์อิทซึ่งเป็นลายมือของเจ้าหล่อน
และมันทำให้เจรดารู้ได้ในทันทีว่าคนที่เพื่อนของเธอกำลังพูดถึง...คือหญิงสาวห้องฝั่งตรงข้ามที่เขาบอกว่าหล่อนเกลียดรอยสักนักหนา
“ไหนแกบอกว่าเธอไม่ชอบรอยสัก แล้วเธอจะ...”
“สักวันฉันจะทำให้ยัยผู้หญิงคนนั้น...”
“...”
“คลานเข่าเข้ามาอ้อนวอนขอให้ฉันสักรอยแรกให้กับเธอด้วยความเต็มใจ...”