CHAPTER : 1

2113 Words
เสียงเพลงจากแอร์พอร์ตที่ดังอยู่ในหูของเธอทั้งสองข้างนั้นทำให้ริมฝีปากของเธอฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดีในเช้าตรู่วันใหม่ที่อากาศค่อนข้างแจ่มใส พิมฐาลงมาวิ่งออกกำลังกายในส่วนกลางของคอนโดซึ่งเป็นห้องที่เอาไว้สำหรับออกกำลังกาย และตอนนี้เธอก็คิดว่าได้เวลาอันสมควรแล้วที่เธอจะต้องกลับขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อเตรียมตัวไปสอนในเช้าวันเปิดภาคเรียนใหม่...กับเธอที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์วันแรกในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้ และการที่เธอมาออกกำลังกายแบบนี้มันก็ไม่ได้เป็นเพราะว่าเธออยากจะลงมาวิ่งเสียนี่เมื่อไร แต่มันเป็นเพราะว่าเธอตื่นเต้นจนตื่นก่อนเวลาต่างหาก เธอจึงไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่าและเลือกที่จะมาออกกำลังกายเอาสุขภาพของตัวเองอย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้ Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr เพลงในแอร์พอร์ตเงียบไปแต่กลับมีเสียงริงโทนจากสายที่คุ้นเคยโทรเข้ามาแทน เธอกดลู่วิ่งให้หยุดลงและยืนหอบหายใจเพียงครู่ ไม่นานนักเธอก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดสายรับในทันใด “ค่ะแม่” ‘ตื่นหรือยังคะ...วันนี้เปิดเทอมวันแรกจำได้หรือเปล่า?’ แม่ก็ยังเป็นแม่อยู่วันยังค่ำ... “หนูตื่นมาวิ่งเสร็จพอดีค่ะ กำลังจะกลับขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า” ‘แบบนี้จะไม่เหนื่อยแย่เหรอลูก?’ “แม่ก็น่าจะรู้นิคะว่าเวลาหนูตื่นเต้นหนูจะนอนไม่ค่อยหลับน่ะ” ปากของเธอขยับแต่มือของเธอกำลังเก็บข้าวเก็บของเพื่อกลับไปยังห้องพักของตนเอง เธอมาอยู่ที่คอนโดนี้ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความเงียบสงบและความปลอดภัยจริง ๆ แม้ว่าบางทีเธอจะแอบระแวงคนข้างห้องเพราะว่าเขามีรอยสัก...แต่หลังจากวันนั้นมาเขาก็ไม่เคยมายุ่งวุ่นวายอะไรกับเธออีก เอาเข้าจริงเธอแทบจะไม่ได้เจอเขาเลยด้วยซ้ำตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา อยู่ ๆ เธอก็คิดไปถึงปฏิกิริยาในวันแรกที่เธอได้เจอกับเขา มันพานทำให้เธอนึกคิดไปว่าเธอเสียมารยาทเกินไปหรือเปล่ากับการกระทำของตัวเองที่แสดงออกอย่างชัดเจนทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเธอเลยด้วยซ้ำไป และยุคสมัยนี้มันก็สมัยใหม่มาก ๆ แล้ว...บางทีเราก็ไม่ควรจะตัดสินคนจากภายนอกหรือแค่รอยสัก แต่แม่เธอสอนมาแบบนี้นี่น่า...เธอจะพยายามปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองดูใหม่ก็แล้วกัน ‘แล้วสรุปว่าหนูได้เจอคนข้างห้องหรือยังลูก แม่ว่าจะถามหลายทีแล้วแต่ก็ลืมตลอดเลย’ ขาของเธอที่กำลังจะก้าวเดินไปยังตัวลิฟต์พลันหยุดชะงัก เธอไม่ได้บอกแม่ของเธอว่าคนข้างห้องเป็นอย่างไร จริง ๆ เธอก็ตั้งใจจะบอกแหละถ้าเขาเลวร้ายอย่างที่แม่ของเธอชอบพูดถึงลักษณะนิสัยของคนที่มีรอยสัก แต่เป็นเพราะว่าเขาอยู่เงียบ ๆ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้มาก้าวก่าย เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรดีกว่าเพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วเธอก็ชอบคอนโดนี้มาก ๆ ด้วย ขืนแม่ของเธอรู้ว่าคนข้างห้องเป็นอย่างที่ท่านคอยพร่ำบอกให้เธอหลีกเลี่ยง...มีหวังท่านได้บังคับให้เธอย้ายไปอยู่ที่อื่นอย่างแน่แท้ “เขาก็ดูเป็นคนดีค่ะแม่ หนูเคยเจอเขาตอนเอาขนมไปให้เขาแค่ครั้งเดียว” ‘เขาไม่ได้มาก้าวก่ายหรือทำอะไรที่หนูไม่ชอบใช่ไหมคะ?’ “เราต่างคนต่างอยู่ค่ะแม่ สบายใจได้เลย” ‘ได้ยินแบบนั้นแล้วแม่ก็โล่งใจ’ ติ๊ง! “ลิฟต์มาพอดีค่ะแม่ หนูขอไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวก่อนนะ” ประตูลิฟต์ที่ขึ้นมาจากชั้นหนึ่งค่อย ๆ เปิดอ้ากว้าง ‘จ้ะลูก ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะจ๊ะ’ ปรากฏหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ภายในลิฟต์ให้เธอยกยิ้มให้กับเจ้าหล่อนทั้งยังผงกหัวให้เล็กน้อยเป็นสัญญาณให้หล่อนรอกันสักครู่ “รักแม่ค่ะ” ‘รักหนูเหมือนกันจ้ะ’ พิมฐากดวางสายและรีบพาร่างของตัวเองเข้าไปโดยสารลิฟต์ร่วมกับหญิงสาวคนนั้นโดยทันที “ขอบคุณค่ะ” “ไปชั้นไหนคะ?” เจ้าหล่อนเอ่ยถามในขณะที่สบมองใบหน้าของเธอ “ชั้น 23 ค่ะ” “ถ้างั้นก็ชั้นเดียวกัน” คิ้วของเธอเลิกขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่ห้องของเธอ...ก็ต้องเป็นห้องฝั่งตรงข้าม เจ้าหล่อนยกยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือขึ้นเพื่อไปกดให้ลิฟต์นั้นค่อย ๆ ปิดตัวลง ซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสื้อแขนยาวของเจ้าหล่อนเลิกขึ้นเล็กน้อยให้ตาไว ๆ ของเธอนั้นทันได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีรอยสักที่ลงสีอย่างสวยงาม มันทำให้เธอมีปฏิกิริยาขึ้นมาอีกครั้งซึ่งนั่นก็คือการที่เธอเผลอขยับตัวถอยห่างจากเจ้าหล่อนโดยทันที และมันเป็นไปเองโดยที่เธอไม่ได้บังคับมันแต่อย่างใด ซึ่งเธอเป็นมาตั้งแต่ยังเด็กเวลาที่เธอพบเห็นว่าบุคคลเหล่านั้นมีรอยสักที่แม่ของเธอสอนนักสอนหนาว่าให้หลีกเลี่ยง และการกระทำของเธอมันคงทำให้เจ้าหล่อนสงสัยเข้าจึงหันหน้ามาสบมองกันอย่างคนสงสัย ริมฝีปากของเธอส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเจ้าหล่อนเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษที่เสียมารยาท แต่สาวเจ้าคนนั้นกลับเบนใบหน้าหนีกันให้เธอสัมผัสได้เลยว่าเธอถูกเจ้าหล่อนเขม่นหน้าเข้าให้เสียแล้วที่แสดงกิริยาแบบนั้นเพียงแค่ได้เห็นรอยสักของเจ้าหล่อน ติ๊ง! ตัวลิฟต์เปิดออกมาอีกครั้งซึ่งหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าของกันก็เดินออกไปจากตัวลิฟต์โดยทันใดไม่แม้แต่จะเปรยสายตามาสบมองกันอีก พิมฐาจึงพาตัวเองออกไปบ้างเพราะถ้าหากว่าเธอยังไม่ทำอะไรตอนนี้เธอจะต้องสายแน่ ๆ มือของเธอทาบคีย์การ์ดก่อนจะกดรหัสเพื่อที่จะเข้าห้องโดยไม่คิดที่จะหันไปสบมองคนที่ห้องฝั่งตรงข้ามเลย แกร๊ก! เสียงเปิดประตูดึงความสนใจของเธอได้ไม่น้อย แต่เธอก็เลือกที่จะไม่สนใจและพาร่างของตัวเองที่ประตูเปิดออกแล้วเข้าไปในห้องโดยทันใดพร้อมกับการที่เธอควานหาช่องใส่คีย์การ์ด “Tattoo” หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นมา และไม่นานนักประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้งพร้อมกับเสียงปลดล็อกโซ่จากทางด้านใน สาบานเลยนะว่าเธอไม่ได้อยากรู้เลยถึงเรื่องของห้องฝั่งตรงข้ามเลย แต่ทำไมวันนี้เธอถึงหาที่เสียบคีย์การ์ดไม่เจอกันนะ! “ทำไมมาเช้า?” “ก็อยากรีบ ๆ มาซ้ำ” เสียงคนทั้งสองคนคุยกันและเธอบังเอิญได้ยินเข้า “งั้นก็รีบ ๆ เข้ามาแล้วไปนอนรอที่เตียง” “ใจร้อนเหมือนเดิมเลยนะ” จะเป็นเสียงของผู้มาเยือนเสียมากกว่าที่ออกไปทางหยอกล้อเพราะเสียงของเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามนั้นดูเหมือนหมดอาลัยตายอยากตั้งแต่คุยกับเธอวันนั้นแล้ว ในจังหวะที่เธอเสียบคีย์การ์ดเข้าไปยังช่องของมันได้เธอก็รีบจับที่ลูกบิดประตูเพื่อที่จะปิดห้องของตัวเองเพราะไม่อยากที่จะกลายเป็นคนเสียมารยาทไปมากกว่านี้ บทสนทนาของคนทั้งคู่พวกเขาคงไม่อยากให้เธอรับรู้เพราะมันฟังแล้วดูเป็นเรื่องส่วนตัวเอามาก ๆ แต่เธอก็ดันได้ยินทุกอย่างจนรู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ซึ่งในจังหวะที่ประตูกำลังจะปิดสนิทลงนั้นสายตาของเธอก็ดันเปรยขึ้นไปสบมองที่ด้านหน้าของตัวเองอีกครั้ง... พิมฐาทันได้เห็นว่าเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามกำลังสบมองเธออยู่ในขณะที่ริมฝีปากของเขาก็ปล่อยกลุ่มควันจากการสูบพอตออกมา ก่อนที่เขาจะยกยิ้มให้กับเธอทั้ง ๆ ที่เขาสวมเพียงแค่กางเกงนอนและสปอร์ตบราเท่านั้น และในทันทีที่ประตูห้องของเธอปิดลงจนสนิท เธอก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาตบหน้าของตัวเองแรง ๆ หนึ่งทีเพราะอยู่ ๆ เธอดันมองว่าเขาดูเท่มากทั้ง ๆ ที่ภายในของเขาที่ไม่ได้ถูกสปอร์ตบราปิดทับ...มันเต็มไปด้วยรอยสักมากมายที่เธอเองก็ยังไม่ทันได้เห็นชัด ๆ ว่ามันเป็นรูปอะไรบ้าง ถ้าแม่รู้เข้าเรื่องที่เธอคิดอะไรแบบนี้...มีหวังเธอได้ถูกแม่บ่นจนหูชาไปสามวันเจ็ดวันแน่ ๆ พิมฐา ตัวรถเลี้ยวเข้าไปยังมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อมาก ๆ ว่าสอบติดยาก ตัวรถของเธอจอดสนิทลงที่หน้าตึกอักษรศาสตร์สาขาวิชาภาษาตะวันตก ซึ่งเธอเตรียมพร้อมสำหรับการสอนในวันนี้มาก ๆ เพราะเธอเป็นอาจารย์ที่จะต้องมาสอนเด็ก ๆ เหล่านี้ให้เติบโตขึ้นในภายภาคหน้าและประสบความสำเร็จในอนาคตของพวกเขา ห้องพักครูจะอยู่รวมกันและอาจารย์ทุกท่านก็ให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี เธอใช้เวลาอยู่ในห้องพักไม่นานก็ถึงเวลาสำหรับคาบแรกที่เธอจะต้องไปสอน พิมฐาเดินทางไปยังห้องเรียนแต่เธอก็ดันบังเอิญโดนใครบางคนวิ่งมาชนเข้าให้อย่างจังจนข้าวของของเธอกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด “ขอโทษครับอาจารย์” เธอพยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่ได้ติดใจเอาความอะไรนักศึกษาเพราะเธอรู้ว่าอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งเขาเองก็รู้สึกผิดอย่างจริงแท้จึงก้มลงมาช่วยเธอเก็บข้าวเก็บของและยื่นส่งมาคืนให้ซึ่งเธอก็เอื้อมมือขึ้นไปหวังที่จะรับเอกสารของตัวเองให้กลับคืนมา แต่เมื่อเธอพบเห็นว่านักศึกษาคนนี้มีรอยสักที่ข้อแขนแม้ว่าจะเป็นรอยสักเล็ก ๆ มือของเธอก็พลันต้องหยุดชะงักด้วยความมีอคติ ในคราแรกที่เธอตั้งใจว่าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองก็กลับทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อต่อว่านักศึกษาคนนี้ทั้ง ๆ ที่ในใจลึก ๆ ของเธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเลย “วิ่งไม่ดูทางเลยค่ะนักศึกษา ถ้าหากข้าวของของครูเสียหายเธอจะรับผิดชอบยังไง?” “ผมขอโทษครับ ผมแค่รีบวิ่งไปเรียน” เขาก้มหน้าสำนึกผิดและมันเหมือนกับมาดึงสติของเธอให้หวนคืนกลับ เด็กคนนี้ไม่ได้ดูมีพิษมีภัยอะไรเลยและเขาก็ดูรีบมากอย่างที่ตัวเองได้บอกจริง ๆ เขาชนเธอโดยไม่ได้ตั้งใจและแสดงการขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง...แต่เธอกลับรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาเพราะเพียงแค่เขามีรอยสัก ถ้าหากเธอยังมีอคติแบบนี้กับยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า...มีหวังมันจะต้องเป็นปัญหากับเธอในสักวันหนึ่งอย่างแน่แท้ “ค่ะ รีบไปเรียนเถอะ” “ครับอาจารย์ ขอโทษอีกครั้งนะครับ” และเขาก็วิ่งจากเธอไปในทันทีด้วยทีท่าเร่งรีบอย่างที่เขาได้บอกกับเธอเมื่อก่อนหน้า มันคงถึงเวลาแล้วที่เธอเองก็ต้องลองเปิดใจดูบ้างกับบุคคลที่มีรอยสักและมีการเจาะใด ๆ ตามร่างกาย เพราะเธอจะต้องพูดคุยกับนักศึกษายุคใหม่ที่ความคิดเปลี่ยนไปจากรุ่นแม่ของเธอ และได้โปรดขอให้การเปิดใจของเธอในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดี...ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอย่างที่แม่ของเธอเคยเอาแต่คอยพร่ำบอกเสมอมาด้วยเถอะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD