เสียงเพลงจากแอร์พอร์ตที่ดังอยู่ในหูของเธอทั้งสองข้างนั้นทำให้ริมฝีปากของเธอฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดีในเช้าตรู่วันใหม่ที่อากาศค่อนข้างแจ่มใส
พิมฐาลงมาวิ่งออกกำลังกายในส่วนกลางของคอนโดซึ่งเป็นห้องที่เอาไว้สำหรับออกกำลังกาย และตอนนี้เธอก็คิดว่าได้เวลาอันสมควรแล้วที่เธอจะต้องกลับขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเพื่อเตรียมตัวไปสอนในเช้าวันเปิดภาคเรียนใหม่...กับเธอที่ทำหน้าที่เป็นอาจารย์วันแรกในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้
และการที่เธอมาออกกำลังกายแบบนี้มันก็ไม่ได้เป็นเพราะว่าเธออยากจะลงมาวิ่งเสียนี่เมื่อไร แต่มันเป็นเพราะว่าเธอตื่นเต้นจนตื่นก่อนเวลาต่างหาก เธอจึงไม่อยากปล่อยเวลาให้เสียเปล่าและเลือกที่จะมาออกกำลังกายเอาสุขภาพของตัวเองอย่างที่กำลังทำอยู่ในตอนนี้
Rrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
เพลงในแอร์พอร์ตเงียบไปแต่กลับมีเสียงริงโทนจากสายที่คุ้นเคยโทรเข้ามาแทน เธอกดลู่วิ่งให้หยุดลงและยืนหอบหายใจเพียงครู่ ไม่นานนักเธอก็เอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาก่อนจะกดสายรับในทันใด
“ค่ะแม่”
‘ตื่นหรือยังคะ...วันนี้เปิดเทอมวันแรกจำได้หรือเปล่า?’
แม่ก็ยังเป็นแม่อยู่วันยังค่ำ...
“หนูตื่นมาวิ่งเสร็จพอดีค่ะ กำลังจะกลับขึ้นไปอาบน้ำอาบท่า”
‘แบบนี้จะไม่เหนื่อยแย่เหรอลูก?’
“แม่ก็น่าจะรู้นิคะว่าเวลาหนูตื่นเต้นหนูจะนอนไม่ค่อยหลับน่ะ”
ปากของเธอขยับแต่มือของเธอกำลังเก็บข้าวเก็บของเพื่อกลับไปยังห้องพักของตนเอง
เธอมาอยู่ที่คอนโดนี้ได้หนึ่งสัปดาห์แล้ว ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อยดี ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความเงียบสงบและความปลอดภัยจริง ๆ แม้ว่าบางทีเธอจะแอบระแวงคนข้างห้องเพราะว่าเขามีรอยสัก...แต่หลังจากวันนั้นมาเขาก็ไม่เคยมายุ่งวุ่นวายอะไรกับเธออีก เอาเข้าจริงเธอแทบจะไม่ได้เจอเขาเลยด้วยซ้ำตลอดหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา
อยู่ ๆ เธอก็คิดไปถึงปฏิกิริยาในวันแรกที่เธอได้เจอกับเขา มันพานทำให้เธอนึกคิดไปว่าเธอเสียมารยาทเกินไปหรือเปล่ากับการกระทำของตัวเองที่แสดงออกอย่างชัดเจนทั้ง ๆ ที่เขายังไม่ได้ทำอะไรเธอเลยด้วยซ้ำไป และยุคสมัยนี้มันก็สมัยใหม่มาก ๆ แล้ว...บางทีเราก็ไม่ควรจะตัดสินคนจากภายนอกหรือแค่รอยสัก
แต่แม่เธอสอนมาแบบนี้นี่น่า...เธอจะพยายามปรับเปลี่ยนความคิดของตัวเองดูใหม่ก็แล้วกัน
‘แล้วสรุปว่าหนูได้เจอคนข้างห้องหรือยังลูก แม่ว่าจะถามหลายทีแล้วแต่ก็ลืมตลอดเลย’
ขาของเธอที่กำลังจะก้าวเดินไปยังตัวลิฟต์พลันหยุดชะงัก
เธอไม่ได้บอกแม่ของเธอว่าคนข้างห้องเป็นอย่างไร จริง ๆ เธอก็ตั้งใจจะบอกแหละถ้าเขาเลวร้ายอย่างที่แม่ของเธอชอบพูดถึงลักษณะนิสัยของคนที่มีรอยสัก แต่เป็นเพราะว่าเขาอยู่เงียบ ๆ ต่างคนต่างอยู่ไม่ได้มาก้าวก่าย เธอจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรดีกว่าเพราะเอาเข้าจริง ๆ แล้วเธอก็ชอบคอนโดนี้มาก ๆ ด้วย
ขืนแม่ของเธอรู้ว่าคนข้างห้องเป็นอย่างที่ท่านคอยพร่ำบอกให้เธอหลีกเลี่ยง...มีหวังท่านได้บังคับให้เธอย้ายไปอยู่ที่อื่นอย่างแน่แท้
“เขาก็ดูเป็นคนดีค่ะแม่ หนูเคยเจอเขาตอนเอาขนมไปให้เขาแค่ครั้งเดียว”
‘เขาไม่ได้มาก้าวก่ายหรือทำอะไรที่หนูไม่ชอบใช่ไหมคะ?’
“เราต่างคนต่างอยู่ค่ะแม่ สบายใจได้เลย”
‘ได้ยินแบบนั้นแล้วแม่ก็โล่งใจ’
ติ๊ง!
“ลิฟต์มาพอดีค่ะแม่ หนูขอไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมตัวก่อนนะ”
ประตูลิฟต์ที่ขึ้นมาจากชั้นหนึ่งค่อย ๆ เปิดอ้ากว้าง
‘จ้ะลูก ขอให้วันนี้เป็นวันที่ดีนะจ๊ะ’
ปรากฏหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ภายในลิฟต์ให้เธอยกยิ้มให้กับเจ้าหล่อนทั้งยังผงกหัวให้เล็กน้อยเป็นสัญญาณให้หล่อนรอกันสักครู่
“รักแม่ค่ะ”
‘รักหนูเหมือนกันจ้ะ’
พิมฐากดวางสายและรีบพาร่างของตัวเองเข้าไปโดยสารลิฟต์ร่วมกับหญิงสาวคนนั้นโดยทันที
“ขอบคุณค่ะ”
“ไปชั้นไหนคะ?”
เจ้าหล่อนเอ่ยถามในขณะที่สบมองใบหน้าของเธอ
“ชั้น 23 ค่ะ”
“ถ้างั้นก็ชั้นเดียวกัน”
คิ้วของเธอเลิกขึ้นเล็กน้อย
ไม่ใช่ห้องของเธอ...ก็ต้องเป็นห้องฝั่งตรงข้าม
เจ้าหล่อนยกยิ้มให้กันเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือขึ้นเพื่อไปกดให้ลิฟต์นั้นค่อย ๆ ปิดตัวลง ซึ่งมันเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสื้อแขนยาวของเจ้าหล่อนเลิกขึ้นเล็กน้อยให้ตาไว ๆ ของเธอนั้นทันได้เห็นว่าผู้หญิงคนนี้มีรอยสักที่ลงสีอย่างสวยงาม
มันทำให้เธอมีปฏิกิริยาขึ้นมาอีกครั้งซึ่งนั่นก็คือการที่เธอเผลอขยับตัวถอยห่างจากเจ้าหล่อนโดยทันที และมันเป็นไปเองโดยที่เธอไม่ได้บังคับมันแต่อย่างใด ซึ่งเธอเป็นมาตั้งแต่ยังเด็กเวลาที่เธอพบเห็นว่าบุคคลเหล่านั้นมีรอยสักที่แม่ของเธอสอนนักสอนหนาว่าให้หลีกเลี่ยง
และการกระทำของเธอมันคงทำให้เจ้าหล่อนสงสัยเข้าจึงหันหน้ามาสบมองกันอย่างคนสงสัย ริมฝีปากของเธอส่งยิ้มแห้ง ๆ ให้กับเจ้าหล่อนเล็กน้อยเพื่อเป็นการขอโทษที่เสียมารยาท แต่สาวเจ้าคนนั้นกลับเบนใบหน้าหนีกันให้เธอสัมผัสได้เลยว่าเธอถูกเจ้าหล่อนเขม่นหน้าเข้าให้เสียแล้วที่แสดงกิริยาแบบนั้นเพียงแค่ได้เห็นรอยสักของเจ้าหล่อน
ติ๊ง!
ตัวลิฟต์เปิดออกมาอีกครั้งซึ่งหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าของกันก็เดินออกไปจากตัวลิฟต์โดยทันใดไม่แม้แต่จะเปรยสายตามาสบมองกันอีก
พิมฐาจึงพาตัวเองออกไปบ้างเพราะถ้าหากว่าเธอยังไม่ทำอะไรตอนนี้เธอจะต้องสายแน่ ๆ มือของเธอทาบคีย์การ์ดก่อนจะกดรหัสเพื่อที่จะเข้าห้องโดยไม่คิดที่จะหันไปสบมองคนที่ห้องฝั่งตรงข้ามเลย
แกร๊ก!
เสียงเปิดประตูดึงความสนใจของเธอได้ไม่น้อย แต่เธอก็เลือกที่จะไม่สนใจและพาร่างของตัวเองที่ประตูเปิดออกแล้วเข้าไปในห้องโดยทันใดพร้อมกับการที่เธอควานหาช่องใส่คีย์การ์ด
“Tattoo”
หญิงสาวที่ยืนอยู่หน้าห้องฝั่งตรงข้ามพูดขึ้นมา และไม่นานนักประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้งพร้อมกับเสียงปลดล็อกโซ่จากทางด้านใน
สาบานเลยนะว่าเธอไม่ได้อยากรู้เลยถึงเรื่องของห้องฝั่งตรงข้ามเลย แต่ทำไมวันนี้เธอถึงหาที่เสียบคีย์การ์ดไม่เจอกันนะ!
“ทำไมมาเช้า?”
“ก็อยากรีบ ๆ มาซ้ำ”
เสียงคนทั้งสองคนคุยกันและเธอบังเอิญได้ยินเข้า
“งั้นก็รีบ ๆ เข้ามาแล้วไปนอนรอที่เตียง”
“ใจร้อนเหมือนเดิมเลยนะ”
จะเป็นเสียงของผู้มาเยือนเสียมากกว่าที่ออกไปทางหยอกล้อเพราะเสียงของเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามนั้นดูเหมือนหมดอาลัยตายอยากตั้งแต่คุยกับเธอวันนั้นแล้ว
ในจังหวะที่เธอเสียบคีย์การ์ดเข้าไปยังช่องของมันได้เธอก็รีบจับที่ลูกบิดประตูเพื่อที่จะปิดห้องของตัวเองเพราะไม่อยากที่จะกลายเป็นคนเสียมารยาทไปมากกว่านี้ บทสนทนาของคนทั้งคู่พวกเขาคงไม่อยากให้เธอรับรู้เพราะมันฟังแล้วดูเป็นเรื่องส่วนตัวเอามาก ๆ แต่เธอก็ดันได้ยินทุกอย่างจนรู้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ซึ่งในจังหวะที่ประตูกำลังจะปิดสนิทลงนั้นสายตาของเธอก็ดันเปรยขึ้นไปสบมองที่ด้านหน้าของตัวเองอีกครั้ง...
พิมฐาทันได้เห็นว่าเจ้าของห้องฝั่งตรงข้ามกำลังสบมองเธออยู่ในขณะที่ริมฝีปากของเขาก็ปล่อยกลุ่มควันจากการสูบพอตออกมา ก่อนที่เขาจะยกยิ้มให้กับเธอทั้ง ๆ ที่เขาสวมเพียงแค่กางเกงนอนและสปอร์ตบราเท่านั้น
และในทันทีที่ประตูห้องของเธอปิดลงจนสนิท เธอก็ต้องรีบยกมือขึ้นมาตบหน้าของตัวเองแรง ๆ หนึ่งทีเพราะอยู่ ๆ เธอดันมองว่าเขาดูเท่มากทั้ง ๆ ที่ภายในของเขาที่ไม่ได้ถูกสปอร์ตบราปิดทับ...มันเต็มไปด้วยรอยสักมากมายที่เธอเองก็ยังไม่ทันได้เห็นชัด ๆ ว่ามันเป็นรูปอะไรบ้าง
ถ้าแม่รู้เข้าเรื่องที่เธอคิดอะไรแบบนี้...มีหวังเธอได้ถูกแม่บ่นจนหูชาไปสามวันเจ็ดวันแน่ ๆ พิมฐา
ตัวรถเลี้ยวเข้าไปยังมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งขึ้นชื่อมาก ๆ ว่าสอบติดยาก ตัวรถของเธอจอดสนิทลงที่หน้าตึกอักษรศาสตร์สาขาวิชาภาษาตะวันตก ซึ่งเธอเตรียมพร้อมสำหรับการสอนในวันนี้มาก ๆ เพราะเธอเป็นอาจารย์ที่จะต้องมาสอนเด็ก ๆ เหล่านี้ให้เติบโตขึ้นในภายภาคหน้าและประสบความสำเร็จในอนาคตของพวกเขา
ห้องพักครูจะอยู่รวมกันและอาจารย์ทุกท่านก็ให้การต้อนรับเธอเป็นอย่างดี เธอใช้เวลาอยู่ในห้องพักไม่นานก็ถึงเวลาสำหรับคาบแรกที่เธอจะต้องไปสอน พิมฐาเดินทางไปยังห้องเรียนแต่เธอก็ดันบังเอิญโดนใครบางคนวิ่งมาชนเข้าให้อย่างจังจนข้าวของของเธอกระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
“ขอโทษครับอาจารย์”
เธอพยักหน้าเล็กน้อยอย่างไม่ได้ติดใจเอาความอะไรนักศึกษาเพราะเธอรู้ว่าอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้เสมอ
ซึ่งเขาเองก็รู้สึกผิดอย่างจริงแท้จึงก้มลงมาช่วยเธอเก็บข้าวเก็บของและยื่นส่งมาคืนให้ซึ่งเธอก็เอื้อมมือขึ้นไปหวังที่จะรับเอกสารของตัวเองให้กลับคืนมา
แต่เมื่อเธอพบเห็นว่านักศึกษาคนนี้มีรอยสักที่ข้อแขนแม้ว่าจะเป็นรอยสักเล็ก ๆ มือของเธอก็พลันต้องหยุดชะงักด้วยความมีอคติ ในคราแรกที่เธอตั้งใจว่าจะไม่ถือโทษโกรธเคืองก็กลับทำให้เธอต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อต่อว่านักศึกษาคนนี้ทั้ง ๆ ที่ในใจลึก ๆ ของเธอรู้ดีว่าเขาไม่ได้ตั้งใจเลย
“วิ่งไม่ดูทางเลยค่ะนักศึกษา ถ้าหากข้าวของของครูเสียหายเธอจะรับผิดชอบยังไง?”
“ผมขอโทษครับ ผมแค่รีบวิ่งไปเรียน”
เขาก้มหน้าสำนึกผิดและมันเหมือนกับมาดึงสติของเธอให้หวนคืนกลับ
เด็กคนนี้ไม่ได้ดูมีพิษมีภัยอะไรเลยและเขาก็ดูรีบมากอย่างที่ตัวเองได้บอกจริง ๆ เขาชนเธอโดยไม่ได้ตั้งใจและแสดงการขอโทษด้วยความรู้สึกผิดอย่างสุดซึ้ง...แต่เธอกลับรู้สึกโกรธเคืองขึ้นมาเพราะเพียงแค่เขามีรอยสัก
ถ้าหากเธอยังมีอคติแบบนี้กับยุคสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเก่า...มีหวังมันจะต้องเป็นปัญหากับเธอในสักวันหนึ่งอย่างแน่แท้
“ค่ะ รีบไปเรียนเถอะ”
“ครับอาจารย์ ขอโทษอีกครั้งนะครับ”
และเขาก็วิ่งจากเธอไปในทันทีด้วยทีท่าเร่งรีบอย่างที่เขาได้บอกกับเธอเมื่อก่อนหน้า
มันคงถึงเวลาแล้วที่เธอเองก็ต้องลองเปิดใจดูบ้างกับบุคคลที่มีรอยสักและมีการเจาะใด ๆ ตามร่างกาย เพราะเธอจะต้องพูดคุยกับนักศึกษายุคใหม่ที่ความคิดเปลี่ยนไปจากรุ่นแม่ของเธอ และได้โปรดขอให้การเปิดใจของเธอในครั้งนี้เป็นเรื่องที่ดี...ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอย่างที่แม่ของเธอเคยเอาแต่คอยพร่ำบอกเสมอมาด้วยเถอะ