หลังจากจากยื่นเอกสารเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็รีบพาน้องๆ เดินออกจากอาคาร ยังดีที่อี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยต่อแถวรอยื่นเอกสารอยู่ พวกเธอจึงไม่ได้ปะทะหน้ากัน เธอเดินมาหยุดที่หน้าโรงเรียนอย่างใช้ความคิด
พรุ่งนี้ถึงจะมารับใบขอจบระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้พวกเธอจึงกลับได้เลย แต่อย่าลืมว่าเฉินเฟิ่นอี้มีภารกิจช่วยเหลือเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถูกล้อ พวกเธอจะกลับแล้วแต่ยังไม่เห็นคนนั้นที่ว่า
“เจียวซีเธอสอบไม่ผ่านเหรอ? ฮ่าๆ ฉันเดาเอาไว้ไม่มีผิด รู้ไหมว่าห้องเรียนของเราสอบผ่านหมดนะ อ้อ ยกเว้นเธอน่ะ”
เสียงหัวเราะเรียกความสนใจของเฉินเฟิ่นอี้ได้เป็นอย่างดี เธอเพ่งมองเด็กสาวคนนั้นอย่างใช้ความคิด หล่อนคุ้นหน้าไม่น้อยคงเป็นหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นเรียนของเธอตอนที่ยังเรียนอยู่ แต่น่าจะอยู่คนละห้องกันเพราะเหมือนจะไม่เคยคุยกัน
“ไม่เอาน่าซ่งเยว่ลี่ เจียวซีหล่อนก็แค่ไม่เข้าใจการเรียน ยังไงหล่อนก็แค่เรียนมัธยมต้นต่อ ไม่เหมือนพวกเราที่ต้องไปเรียนมัธยมปลาย ฮ่าๆ”
“ฉันรู้ๆ จางเฟยหง แต่อีกห้องจะหัวเราะให้ห้องพวกเราที่มีคนสอบไม่ผ่าน! ได้ยินว่าอีกห้องสอบผ่านหมดเลยนะ เจียวซีหล่อนดูสิ” ซ่งเยว่ลี่บอกสหายพลางถลึงตาใส่เจียวซีที่นั่งกอดเข่าอยู่
“เธอหมายถึงห้องของฉันหรือซ่งเยว่ลี่ เหมือนเธอจะฟังมาผิดนะ ห้องเรียนฉันมีคนไม่ผ่านตั้งสี่คน เธอไม่รู้เหรอ? หรือเพราะอยากแกล้งเพื่อนถึงทำเป็นไม่รู้”
เฉินเฟิ่นอี้เดินเข้าไปร่วมวงด้วยท่ามกลางสายตาของผู้คน จริงๆ ก็มีคนมองเห็นแต่ไม่เข้ามาช่วยเจียวซี เพราะพ่อของซ่งเยว่ลี่เป็นครูในโรงเรียนประจำตำบลผู้คนจึงเกรงกลัวหล่อน ต่างจากเจียวซีที่เป็นลูกสาวคนเดียวของบ้านชาวนา
“เฉินเฟิ่นอี้? เธอมาทำอะไรที่นี่ ได้ยินว่าลาออกไปแล้วนี่ คงไม่ได้มาทำเรื่องขอจบหรอกนะ” ซ่งเยว่ลี่ถามด้วยความสงสัย หล่อนไม่ได้มีปัญหากับเฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจที่ถูกขัด
“ฉันควรถามเธอมากกว่านะทำไมต้องว่าเพื่อนด้วย การสอบแต่ละครั้งเธอคิดว่าง่ายมากหรือยังไง ทั้งๆ ที่สอบด้วยกันก็รู้ว่ามันยาก หรือเธอไม่ได้สอบด้วย” เฉินเฟิ่นอี้กอดอกประจันหน้ากับซ่งเยว่ลี่และจางเฟยหง ส่วนเจียวซียังคงนั่งก้มหน้าอยู่
“เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเธอไม่ต้องยุ่ง”
“จางเฟยหงเธอคิดว่าเธอเป็นใครกันถึงมาสั่งฉัน ฉันแค่เห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นเรียนถูกรุมก็แค่เข้ามาช่วย อีกอย่างนะที่บอกว่ามีแค่เจียวซีสอบไม่ผ่านไม่ใช่เลย ห้องเธอยังมีคนที่สอบไม่ผ่านอีกตั้งหลายคน” มุมปากเหยียดยิ้มออกมาอย่างดูแคลน
ระหว่างที่เธอดูรายชื่อเฉินเฟิ่นอี้ย่อมเห็นว่าอี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยสอบไม่ผ่าน ก็แน่สิ แต่ก่อนในตอนที่ทั้งสองยังไม่ขึ้นมัธยมปลายมีเฉินเฟิ่นอี้คอยช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ถ้าให้เดาก็คงสอบภาษาต่างประเทศไม่ผ่าน และทำทีไปยื่นเอกสารขอจบบังหน้าก็เท่านั้น
“ยังมีคนสอบไม่ผ่าน?”
“ใช่ ยังเป็นระดับมัธยมปลายอีก แต่ฉันไม่บอกหรอกนะว่าใคร ถ้าอยากรู้ก็ไปหาสืบเอง” เธอเชื่อว่าไม่นานซ่งเยว่ลี่ก็ต้องรู้ว่าใครสอบไม่ผ่านบ้าง
“ได้!”
ซ่งเยว่ลี่กับจางเฟยหงรีบผละออกไป ทั้งสองอยู่ในระดับมัธยมปลายซึ่งถ้าสอบผ่านก็เรียนอีกแค่ปีกว่าๆ ก็จบแล้ว ต่างจากเจียวซีที่สอบไม่ผ่านและดูเหมือนว่าต้องเริ่มเรียนใหม่ทั้งหมด ถ้าหล่อนยังคงเรียนต่อก็น่าจะจบพร้อมเฉินเฟิ่นอี้
“ลุกขึ้นสิ”
เฉินเฟิ่นอี้บอกกับคนตรงหน้า เจียวซีเงยหน้ามองอย่างสับสนเมื่อมีคนเข้ามาช่วย แต่หล่อนก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืนพร้อมก้มหัวขอบคุณคนที่เข้ามาช่วยเหลือ
“เธอรับประทานอาหารหรือยัง ถ้าไม่รังเกียจก็ไปด้วยกันสิ ฉันเลี้ยงเอง” เหลือบมองกล่องข้าวที่หกอยู่ข้างๆ หล่อน ก็ทำได้เพียงถอนหายใจ ดูเหมือนมันจะหกก่อนหน้านี้ที่เธอไม่เห็นเหตุการณ์
“ไม่เป็นไร ฉันจะกลับแล้ว” เจียวซีตอบก่อนจะรีบนั่งลงเก็บกล่องอาหารที่ห่อมารับประทานขึ้นมาถือ ถึงบ้านหล่อนจะไม่ได้มีเงินแต่มันหกหมดแล้วก็คงทำอะไรต่อไม่ได้
“ไม่ได้สิ ถ้าจำไม่ผิดเธอก็อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับฉันนี่ กว่าจะเดินไปถึงก็เป็นลมพอดี”
ใช่แล้ว เจียวซีอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันกับเธอแต่ก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่ อาจเพราะอยู่คนละห้องและเฉินเฟิ่นอี้มีเพื่อนตลอดจึงไม่ได้สนใจใคร
“จริงค่ะพี่เจียวซี กว่าจะกลับไปถึงบ้านพี่ก็เป็นลมพอดี ลุงเจียวกับป้าสะใภ้คงจะร้อนใจแน่ที่เห็นพี่เป็นลม” เฉินเหม่ยเย่เสริม หล่อนพอจะรู้จักอีกฝ่ายบ้าง
“ฉันไม่ได้เอาเงินมาด้วย” คิดแค่ว่าใช้เวลาไม่นาน ซึ่งมันก็ใช้เวลาไม่นานจริงๆ แต่หล่อนก็ไม่คิดว่ามันจะถูกปัดตก อันที่จริงแม่ของหล่อนก็ยื่นเงินให้ด้วยตอนมา แต่ถูกปฏิเสธไปเพราะไม่คิดจะซื้ออะไร
“ฉันมีน่า ไปเถอะ”
เฉินเฟิ่นอี้รีบลากเจียวซีไปด้วย อย่างน้อยในอนาคตหากไม่ได้เป็นเพื่อนกันหล่อนก็ยังเป็นคนในหมู่บ้าน ยิ่งหากหมู่บ้านไหนมีข่าวลือเสียหาย คนในหมู่บ้านนั้นก็ยากจะแต่งออก
ยังดีที่ย่าเฉินให้เงินและคูปองอาหารของวันนี้พอดีห้าคน เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่ต้องนำเงินและคูปองของเธอออกมาด้วย รับประทานอาหารใช้เวลาราวๆ สามสิบนาที เจียวซีเห็นว่าหล่อนควรกลับแล้วจึงรีบขอตัวกลับบ้าน เด็กบ้านเฉินก็ไม่ได้ว่าอะไรและยังไม่ได้กลับตอนนี้
วันนี้เฉินเฟิ่นอี้ซื้อผลไม้กลับไปด้วยหลายอย่าง สาลี่ องุ่น แอปเปิล แตงโม และสตรอว์เบอร์รี่ เฉพาะผลไม้ก็หมดไปหลายหยวน ยังไม่รวมของใช้อื่นๆ อีกมากมาย เงินที่เคยขายคูปองอุตสาหกรรมไป ตอนนี้เหลือไม่ถึงยี่สิบหยวน คงต้องนำของไปขายในตลาดมืดอีก
บ่ายสองสี่พี่น้องบ้านเฉินก็หอบของกลับบ้านโดยมีกระสอบห่อ เฉินเฟิ่นอี้ซื้อกระสอบแยกมาในราคาใบละหนึ่งเฟิน ช่วยไม่ได้ที่เธอนำของกลับมาเยอะ
เฉินเฟิ่นอี้เห็นว่าที่บ้านไม่มีคนอยู่ ย่าเฉินกับเฉินชิงชิงคงไปเล่นกับเพื่อนบ้านจึงนำของไปเก็บในครัว และแยกย้ายกันไปพัก เธอจะได้จัดการกับระบบสักที
เฉินไห่หลิวกับเฉินตงลงความเห็นว่าสามชั่วโมงที่เหลือก่อนผู้ใหญ่จะเลิกงานจะไปช่วยทุกคน อย่างน้อยคงได้มาคนละสองแต้ม เฉินเหม่ยเย่ก็ไปหาย่าเฉินและน้องชาย ที่บ้านจึงเหลือเพียงเฉินเฟิ่นอี้
ยังไม่มีใครแกะซองจดหมายแจ้งคะแนนสอบเพราะรอแกะต่อหน้าผู้ใหญ่ แต่ไม่ใช่กับเฉินเฟิ่นอี้ที่เริ่มแกะตั้งแต่วิชาแรกอย่างวิทยาศาสตร์ วันนี้เธอเชื่อว่าจะสามารถเปิดระบบแลกของได้ อย่างน้อยคงช่วยได้ระหว่างอยู่ในอำเภอ
“หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม!” เฉินเฟิ่นอี้ยกมือขึ้นลูบอกด้วยความโล่งอก ถึงเธอจะมั่นใจแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ผิดเลย ยิ่งคณิตศาสตร์และภาษาต่างประเทศ เฉินเฟิ่นอี้ก็มีบ้างที่คิดว่าคงไม่ได้เต็ม
อย่างน้อยตอนนี้คะแนนสะสมก็เพิ่มขึ้นเท่าตัว ยังไงระบบแลกของก็ต้องเปิดให้อยู่แล้วเพราะคะแนนสะสมเกินหนึ่งพันแต้ม เฉืนเฟิ่นอี้หยิบจดหมายแจ้งคะแนนวิชาสังคมศึกษาออกมาดู
“หนึ่งร้อยคะแนนเต็ม”
สองวิชาต่อไปเป็นวิชาที่กดดันที่สุด วิชาคณิตศาสตร์และภาษาต่างประเทศ วิชาแรกไม่กังวลมากเพราะมีระบบคอยช่วยเหลือ แต่ภาษาต่างประเทศเธอต้องใช้ความจำล้วนๆ
เฉินเฟิ่นอี้เบิกตากว้างด้วยความดีใจเมื่อตัดสินใจเปิดซองจดหมายแจ้งคะแนนพร้อมกัน! ทั้งสองฉบับมีคะแนนเต็มร้อยซี่งเธอไม่มีข้อไหนที่ผิดเลย!
“ระบบฉันได้คะแนนเต็ม!” เฉินเฟิ่นอี้พึมพำบอกระบบที่โผล่เพียงกระดานใสออกมา
[ระบบ : ยินดีด้วย นายหญิงเปิดระบบแลกของสำเร็จแล้ว คะแนนสะสมปัจจุบัน 3,324 แต้ม กดตกลงเพื่อเปิดระบบแลกของ]
‘นึกไม่ถึงว่านายหญิงจะสอบได้คะแนนเต็มจริงๆ เก่งใช้ได้’
“…”
ระหว่างกดตกลงเพื่อเปิดระบบแลกของ เฉินเฟิ่นอี้ก็ต้องถอนหายใจกับระบบที่พูดขึ้นในหัวของเธอ ถ้ามีข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล มีเหรอที่เธอจะไม่ทำตาม
“ทำไมวันนี้พูดมากจัง”
‘ข้าชาร์จพลัง’
“เดี๋ยวนะ ที่ผ่านมานายไม่ได้ชาร์จพลังจึงพลังงานหมด?” เฉินเฟิ่นอี้ถาม
‘ใช่ ก็นายหญิงยังไม่เปิดระบบแลกของ ข้าชาร์จพลังไปก็เปล่าประโยชน์ ต่อจากนี้ไม่ต้องเชื่อมต่อระบบ ขอเพียงนายหญิงสงสัยอะไรก็ถามข้าได้’ เสียงเด็กชายที่เป็นระบบเอ่ยตอบอย่างฉะฉาน
ง่ายๆ ก็คือนายขี้เกียจ! เฉินเฟิ่นอี้ทำได้เพียงค่อนแคะในใจ มองกระดานใสตรงหน้าที่ขยายใหญ่และกระพริบไปมาหลากหลายสีสัน ด้านบนขวาปรากฏจำนวนคะแนนสะสม ด้านล่างขวาจะมีคำว่าซื้อ ส่วนด้านบนซ้ายจะเป็นรายละเอียดบางอย่าง ด้านล่างซ้ายก็มีรูปตะกร้าขนาดใหญ่
ตรงกลางจะมีรูปของสินค้าต่างๆ ที่เป็นหมวดหมู่ เสื้อผ้า ของใช้ส่วนตัว ผักผลไม้ เนื้อ คูปอง เงิน และอื่นๆ นอกจากนั้นยังมีรูปแว่นขยายที่ให้ค้นหาสิ่งที่ต้องการ เฉินเฟิ่นอี้จิ้มไปที่คูปองก่อนเป็นอันดับแรก
“คูปองเนื้อสองชั่งแลกหนึ่งร้อยแต้ม บ้าไปแล้วแน่! กว่าฉันจะสะสมได้ถึงหนึ่งร้อยแต้ม ใช้เวลาไปกี่วันกัน” เฉินเฟิ่นอี้บ่น นอกจากคูปองเนื้อยังมีคูปองอื่นๆ อีกมาก แต่แต้มที่ใช้แลกก็เป็นหนึ่งร้อยแต้มขึ้นไป
‘ดูดีๆ สิ! นายหญิงแลกหนึ่งครั้ง ได้สิบใบนะ’ ระบบเตือนพลางกระพริบที่รายละเอียด
“หนึ่ง ระบบเปิดแลกของได้แค่วันละครั้ง สอง จำนวนแลกต่อวันมีจำนวนจำกัดหากแลกเกินแต้มสะสมจะลดลงแต่ไม่ได้ของ ต้องรอวันถัดไปถึงจะได้ สาม ต้องการของชิ้นไหนให้เลือกเก็บในตะกร้าก่อนกดตกลงซื้อ สี่ หนึ่งการสั่งซื้อจะได้จำนวนคูณสิบโปรดซื้ออย่างพอประมาณ ห้า เมื่อเจ้าของระบบมีการทุจริตระบบสามารถสละเจ้าของระบบได้ตลอดเวลา”
“อ้อ”
เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้าเมื่ออ่านรายละเอียดครบ วันนี้กดอะไรออกมาไม่ได้เพราะน้องๆ รู้ว่าเธอซื้ออะไรมาบ้าง คงต้องรอพรุ่งนี้ไปรับใบจบและเฉินเฟิ่นอี้คิดว่าจะแยกออกไปซื้อของ
‘ร่างกายของนายหญิงได้รับสารพิษ ไปให้หมอตรวจก็ดี’ ก่อนที่กระดานใสจะหายไป เสียงระบบก็เอ่ยเตือน
“ได้รับสารพิษ? หมายความว่ายังไง”
เฉินเฟิ่นอี้ขมวดคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน หรืออาการป่วยของเฉินเฟิ่นอี้จะไม่ใช่การป่วยธรรมดา และสารพิษที่ว่าคืออะไรเธอก็ไม่ทราบ แต่คนที่น่าสงสัยที่สุดก็คืออี้เหม่ยเฟิ่ง!