พี่สาวรองนอนที่บ้านแค่หนึ่งคืนก็กลับบ้านสามี หล่อนกล่าวว่ายังอยากอยู่ที่บ้านต่อ แต่บอกแม่สามีไว้แล้วว่าจะกลับตอนเช้า ย่าเฉินจึงให้เฉินตงไปส่งพี่สาวและให้นำผลไม้กลับไปด้วยเพียงบางส่วน ถึงเฉินเยี่ยนฉิงจะปฏิเสธก็ตาม
เฉินเฟิ่นอี้ไม่ได้กล่าวและเตือนพี่สาวรอง อย่างที่รู้กันว่าหล่อนเรียนถึงมัธยมปลาย คงไม่ได้โง่ถึงกับให้บ้านสามีทำร้ายตนเองหรอก อีกอย่างบ้านฉางยังเกรงกลัวบ้านเฉินอยู่
แม่ของเธอนอนพักแค่วันเดียวก็กลับไปทำงานต่อ เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้ว่าอะไรในเมื่อหายดีแล้ว มีเพียงย่าเฉินที่ยังอยากให้สะใภ้ของนางนอนพักอีก
วันนี้เป็นวันที่คะแนนสอบเทียบออก คนในบ้านเฉินไม่มีใครได้หยุดงานสักคนเพราะการเก็บเกี่ยวฤดูนี้ใกล้สิ้นสุดลงแล้ว เฉินเฟิ่นอี้จึงเป็นคนที่พาเฉินไห่หลิว เฉินตง และเฉินเหม่ยเย่ที่อยากเข้าไปดูคะแนนสอบด้วย ส่วนเฉินจางถูกลากไปลงแปลงนาตั้งแต่เช้ามืด
ถ้าทุกคนสอบผ่านจะได้ส่งจดหมายไปบอกลุงสามเรื่องบ้านเช่าในอำเภอ ครั้งก่อนลุงสามตอบจดหมายกลับมาว่าช่วงสิ้นปีถึงจะกลับและลาพักได้สามเดือน ระหว่างนี้คงไม่ได้ตอบจดหมายบ่อยๆ เนื่องจากการทำงาน แต่อย่างน้อยก็ต้องส่งจดหมายไปบอกบ้าง
เฉินเฟิ่นอี้สวมกางเกงขากระบอกสีดำและสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าพับแขนขึ้น ชุดนี้เป็นชุดที่เธอไม่ได้ใส่นานมาก หากไม่ใช่วันสำคัญหรือต้องใส่ชุดมีมารยาทก็คงไม่หยิบมาใส่ ผมทั้งสองข้างถูกถักเปียด้วยฝีมือของเฉินเหม่ยเย่
เฉินเหม่ยเย่ก็ไม่ได้แต่งตัวต่างกันมาก วันนี้หล่อนใส่กางเกงขากระบอกสีน้ำเงินและเสื้อเชิ้ตสีขาว ผมทั้งสองถูกถักเปียทั้งสองข้างคล้ายๆ พี่สาว ต้องบอกว่าเฉินเฟิ่นอี้กับเฉินเหม่ยเย่หน้าคล้ายกันมาก
“ย่าแน่ใจนะคะว่าจะให้เหม่ยเย่ไปกับฉัน จะไม่เหนื่อยหรือคะ ให้หล่อนช่วยดูแลชิงชิงน้อยได้นะคะ” เฉินเฟิ่นอี้ถามย่าเฉินระหว่างรอน้องชายน้องสาวแต่งตัว เธอกลัวว่าย่าเฉินจะเอาเฉินชิงชิงที่เริ่มเดินคล่องไม่อยู่
“อะไรกัน ย่าก็ดูน้องมาตั้งนานแล้ว เรื่องแค่นี้เองไม่ต้องห่วง ย่าจะพาเจ้าห้าไปบ้านเซียงหน่อย เห็นว่าหลานชายบ้านเซียงหายป่วยแล้ว” ย่าเฉินโบกมือปฏิเสธ คงเป็นเพราะช่วงนี้ไม่ได้เลี้ยงหลาน หลานสาวคนนี้จึงหลงลืมว่านางเลี้ยงหลานมากี่คนแล้ว
“อ้อค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้า ก่อมมองกระเป๋าผ้าเพื่อสำรวจว่าไม่ได้ลืมอะไร จริงๆ ไม่จำเป็นต้องนำไปด้วยก็ได้ แต่เธอจะแวะไปซื้อของในสหกรณ์ตำบล
“วันนี้ย่าให้ไปแค่หนึ่งหยวน หลายวันที่ผ่านมาใช้จ่ายกันไปมากแล้ว” ย่าเฉินบ่น ถึงไม่ได้ใช้เงินกองกลางของบ้านแต่ของที่ซื้อมาก็หมดไปไม่น้อย
เฉินเฟิ่นอี้พยักหน้าพร้อมรับเงินมาใส่กระเป๋าผ้า อย่างน้อยวันนี้ก็มีค่าข้าว เข้าตำบลทั้งทีเธอก็ไม่อยากห่อข้าวไปรับประทานเอง ไหนจะต้องเดินไปอีก ซึ่งหลังจากดูคะแนนสอบเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็จะพาน้องๆ ไปรับประทานอาหารและซื้อของกลับบ้าน
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงทั้งสี่คนก็เดินเท้าออกจากหมู่บ้าน ช่วงนี้นักเรียนหลายคนคงเดินทางไปดูคะแนนแล้ว แต่ที่พวกเธอไม่รีบก็เพราะไม่อยากไปรอนาน ขอใบจบเป็นคนสุดท้ายก็ไม่เป็นไร
“ผมไม่ชอบน้องสาวสามีของพี่สาวรองจริงๆ วันนั้นผมไปส่งพี่สาวรองถึงบ้าน พี่สาวรองยังไม่ทันได้นั่งก็ต้องแบ่งแอปเปิลให้หล่อน ถ้าผมไม่อยู่ตรงนั้นคงแย่งจากมือไปแล้ว” เฉินตงที่เดินอยู่ข้างหลังบ่น เรื่องนี้เขาไม่ได้บอกใครเพราะกลัวพ่อกับแม่จะเป็นห่วงพี่สาว
“พี่สาวรองเรียนจบตั้งมัธยมปลาย นายคิดว่าพี่สาวของนายจะโง่หรือเฉินตง ตอนนี้พี่เขยรองอยู่กับลุงสามและพี่ชายใหญ่ ต้องยอมๆ บ้านสามีไปก่อนไม่อย่างนั้นก็อยู่ไม่ได้” เพราะพี่สาวรองยังไม่ได้มีลูกชายให้บ้านฉาง สถานะของหล่อนจึงไม่ได้มั่นคง
“ผมรู้ครับ แต่น้องสาวสามีของพี่สาวรองปีนี้ก็เพิ่งสิบเจ็ดปีเอง หล่อนเรียนไม่จบมัธยมต้นด้วยซ้ำ ให้พี่สาวสามไปทำแทนยังดีกว่า” หรือให้เขาเข้าไปทำเองก็ได้
“เฉินตง ถ้างานนั้นง่ายพี่สาวรองจะยอมออกหรือ” เฉินไห่หลิวส่ายหน้า
เฉินเฟิ่นอี้ยักไหล่ ก็เหมือนที่เฉินไห่หลิวบอก ถ้างานนั้นง่ายจริงตอนนี้พี่สาวรองก็คงต้องทำงานอยู่ และถ้าจำไม่ผิดทำงานมาแล้วก็ต้องแบ่งเงินเดือนเป็นกองกลางบ้านครึ่งหนึ่ง ซึ่งสำหรับพี่สาวรองคงคิดว่ามันน้อยไป
เดินเกือบๆ ครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงเรียนประจำตำบล ใช้เวลาเร็วกว่าวันมาสอบไม่กี่นาที อาจเป็นเพราะพวกเธอไม่ได้เดินช้าด้วย เฉินเฟิ่นอี้เดินเข้าโรงเรียนพร้อมลงทะเบียนบันทึกรายชื่อเข้าออก วันนี้ที่หน้าโรงเรียนยังเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนไม่น้อย
[ภารกิจ : ช่วยเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ถูกล้อรับคะแนน 8 แต้ม]
เฉินเฟิ่นอี้หรี่ตามองกระดานใสตรงหน้า ตอนนี้เธอมีแต้มคะแนนแปดร้อยยี่สิบสามแต้ม หากเธอสอบวิชาคณิตศาสตร์ได้เต็มจะได้เปิดระบบแลกของก่อนคะแนนครบหนึ่งพัน และหากสอบได้เต็มทุกวิชาจะได้รับคะแนนคูณสี่ของแต้มสะสม
“พี่สาวสาม!”
“อือ”
“พี่เป็นอะไรเหรอคะ ฉันเรียกพี่ตั้งนานก็ยังไม่ได้สติ ดีนะที่ลงชื่อเสร็จแล้ว” เฉินเหม่ยเย่บ่น พี่สาวของหล่อนลงชื่อเข้าโรงเรียนเป็นคนแรกก่อนจะยืนนิ่ง หล่อนที่เข้ามาทีหลังเรียกตั้งนานก็ยังไม่ได้ยิน
“ไม่มีอะไรหรอก เราไปดูคะแนนสอบดีกว่า กระดานคะแนนคงอยู่หน้าอาคารประชุม” เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้า จะให้บอกว่ากำลังคำนวณแต้มสะสมก็ไม่ได้ พร้อมกับเดินนำบรรดาน้องๆ ไป
ระหว่างทางเดินมีนักเรียนบางคนร้องไห้ บางคนกระโดดอย่างดีใจ มีทั้งเสียงด่าทอและเสียงยินดี เฉินเฟิ่นอี้แอบมองเฉินตงที่มีสีหน้าเคร่งเครียดคงกดดันไม่น้อย ส่วนเฉินไห่หลิวต้องบอกว่าเขาชิลมาก ต่างจากน้องชายลิบลับ
หน้าอาคารประชุมมีผู้คนยืนออกันอยู่ เฉินเฟิ่นอี้มองหัวข้ออันดับนั่งสอบก่อนจะไปต่อแถวที่คิดว่าจะมีชื่อของตนเอง มีหลายคนที่เดินออกไปด้วยความยินดีแต่ก็มีหลายคนที่เสียดายโอกาสนี้ ถ้ามีรายชื่อหมายความว่าสอบผ่านแต่ต้องเปิดซองจดหมายเพื่อดูคะแนนเอง แบบนี้ช่วยให้คนอื่นๆ ไม่เห็นคะแนนสอบก่อน
เฉินเฟิ่นอี้ใช้นิ้วลากผ่านอันดับที่มาหยุดตรงอันดับของตัวเองอย่างพอใจ มีชื่อก็หมายความว่าสอบผ่าน สามารถทำเรื่องขอจบได้เลยและได้เตรียมเอกสารมาแล้ว จากนั้นจึงเดินไปยังโต๊ะที่มีครูนั่งอยู่เพื่อรับซองจดหมายแจ้งคะแนน ระหว่างรอหาจดหมายก็ลงชื่อรับจดหมายไป
“พี่ชายรองเจอชื่อตัวเองแล้วแต่พี่ชายสามยังหาไม่เจอเลยค่ะ” เฉินเหม่ยเย่ที่ยืนมองอยู่เดินมาบอกอย่างกังวล
เธอชะงักกับคำพูดของน้องสาวรีบหันไปมองเฉินตงที่กำลังไล่หาชื่ออยู่ อันดับของเฉินไห่หลิวและเฉินตงก็อยู่ติดๆ กับเธอไม่ใช่เหรอ? แต่เมื่อครู่ที่ไล่ดูเธอก็ไม่เห็นชื่อทั้งสองคนนี้
“เฉินตงต้องสอบผ่านแน่ เธออย่าเพิ่งกังวลเลย” เฉินเฟิ่นอี้กล่าวปลอบใจพลางเดินหลบคนมารับจดหมายแจ้งคะแนน แม้จะบอกเฉินเหม่ยเย่ว่าอย่ากังวลแต่เธอก็กังวลอยู่ดี กลัวว่าทั้งสองจะได้แยกห้องกันเรียน
เฉินไห่หลิวรับจดหมายเสร็จก็มายืนข้างๆ พี่สาวและน้องสาว พร้อมมองไปยังเฉินตงที่กำลังหาชื่อด้วยสีหน้าไร้ความกังวลปนเอือมระอา ก่อนจะส่ายหน้า
“หรือจะไม่มีชื่อของเขาจริงๆ” เฉินเฟิ่นอี้พึมพำ
“เจ้าสามไม่ได้สอบไม่ผ่านหรอกครับ เขาแค่หาชื่อตัวเองไม่เจอ” เฉินไห่หลิวส่ายหน้า ชื่อของเฉินตงอยู่บนชื่อของเขา แต่อีกฝ่ายกลับหาชื่อที่อยู่ต่ำกว่าเขา ชาตินี้คงหาเจอ
“นายเจอแล้ว?”
“ครับ อยู่บนชื่อผม”
หลายครั้งที่ถูกคนอื่นเปรียบเทียบกับน้องชาย เฉินไห่หลิวรู้แต่เขาไม่ได้พูดอะไรเพราะไม่ต้องการให้ผิดใจกัน อีกอย่างเฉินตงกังวลมากไปและไม่ชอบแสดงออก เขาฉลาดและเรียนรู้ไวแต่ไม่ยอมทำให้ตนเองเด่น
“นายก็ปล่อยให้เขาหาชื่อ?” เฉินเฟิ่นอี้เท้าเอวอย่างโมโห แทนที่จะบอกเขาดีๆ จะได้ไม่ต้องทำหน้าเครียดแบบนั้น
“เขาคิดว่าตัวเองด้อยกว่าผมมากครับ เพราะฉะนั้นก็ให้เขาหาต่อไป เดี๋ยวก็ขึ้นไปหาข้างบน” เฉินไห่หลิวห้ามพี่สาวที่จะเดินไปหาเฉินตง อีกไม่นานเฉินตงก็คงตัดสินใจดูรายชื่อข้างบนไม่จำเป็นต้องไปบอก
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เฉินตงที่เห็นว่าด้านล่างไม่มีชื่อของเขาจึงตัดสินใจดูรายชื่อด้านบนแทน ก่อนจะมีท่าทีอึ้งๆ เพราะหาตั้งนานกว่าจะเจอ เฉินตงหันมองเฉินไห่หลิวอย่างคาดโทษที่ไม่ยอมบอก เขารีบไปลงชื่อรับซองจดหมาย ก่อนจะรีบตรงมายังสามพี่น้อง
“เฉินไห่หลิว นี่นายก็เห็นชื่อของฉันแล้วใช่ไหม?” เฉินตงถาม
“อืม” ก็ชื่อมันอยู่ด้านบนจะเห็นก็ไม่แปลก เขายักไหล่มองเฉินตงที่ฟึดฟัดอยู่
“นายก็ไม่ยอมบอกฉัน” ปล่อยให้หาชื่ออยู่ตั้งนาน ทีแรกก็ถอดใจไปแล้ว แต่ก็กล้าๆ กลัวๆ มองไปยังชื่อของเฉินไห่หลิวและเห็นชื่อของเขาอยู่ข้างบนไม่ไกล
“นายไม่ยอมดูเอง”
“เอาล่ะๆ พอก่อน ไปจัดการเอกสารกันเถอะจะได้ไปรับประทานอาหาร ซื้อของแล้วจะได้กลับไปดูคะแนนสอบ” เฉินเฟิ่นอี้ห้ามน้องชาย ตอนนี้หลายคนคงไปติดต่อทำใบขอจบกันแล้ว จริงๆ.ใบขอจบมันก็ไม่ได้วันนี้หรอก
เฉินเฟิ่นอี้หยิบเอกสารในกระเป๋าผ้าส่งให้เฉินไห่หลิวกับเฉินตง ส่วนเฉินเหม่ยเย่ก็มีหน้าที่สะพายกระเป๋า ส่วนเธอก็ถือเอกสารเดินนำคนอื่นไปยังห้องติดต่อ
“เจอจนได้”
ระหว่างต่อแถวรอยื่นเอกสารขอจบเฉินเฟิ่นอี้ก็เห็นอี้เหม่ยเฟิ่งกับหมิงหลานฮุ่ยเดินมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สะใภ้บ้านอี้คงลางานไม่ได้จึงไม่ตามมา
อี้เหม่ยเฟิ่งชะงักมองสี่พี่น้องบ้านเฉินที่ยืนต่อแถว หล่อนเหลือบมองคนรักที่มองคู่หมั้นเก่าตนเองอย่างไม่พอใจ ยิ่งตอนนี้เฉินเฟิ่นอี้ได้กลับมาเรียน หล่อนยิ่งต้องเร่งให้หมิงหลานฮุ่ยไปหมั้นหมาย
ไม่อย่างนั้นสิ่งที่พวกหล่อนทำมาตลอดจะพังลง ซึ่งหล่อนไม่ยอมแน่ อุตส่าห์ได้หมิงหลานฮุ่ยมาจากเฉินเฟิ่นอี้แล้ว อี้เหม่ยเฟิ่งเห็นว่าหมิงหลานฮุ่ยมองเฉินเฟิ่นอี้อยู่จึงรีบชวนคุย