กะหล่ำปลีถูกแบ่งมาหั่นฝอยครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งเฉินเฟิ่นอี้จะเก็บไว้ทำอาหารมื้อเย็น และแครอทเฉินเฟิ่นอี้ทำการหั่นเต๋า เธอตื่นขึ้นมาทำแป้งเตรียมไว้สองชั่วโมงก่อนและดูแลน้องชายให้ย่าเฉินได้พัก พอถึงเวลาใกล้เลิกเรียนของน้องชายน้องสาว เฉินเฟิ่นอี้จึงปลีกตัวมาทำเกี๊ยวผักน้ำ เป็นของว่างระหว่างทำการบ้าน
น้ำมันสองช้อนถูกเทลงในกระทะที่ตั้งเตรียมไว้ โยนกระเทียมสับหยาบตามลงไป เฉินเฟิ่นอี้ผัดกระเทียมให้เหลืองและส่งกลิ่นหอม ตักส่วนหนึ่งเก็บไว้ และนำผักที่เตรียมไว้มาผัดจนผักนิ่ม ปรุงรสด้วยเครื่องปรุงรสที่มีในบ้านเล็กน้อยเพื่อความอร่อย จึงนำไส้ขึ้นมาพักให้เย็น
ระหว่างรอไส้เย็น เฉินเฟิ่นอี้ก็เดินไปตัดผักในสวนหลังบ้านมาทั้งคะน้า ผักกวางตุ้ง และผักชี คะน้าจะทำอาหารมื้อเย็นส่วนผักกวางตุ้งและผักชีจะใส่ในเกี๊ยวผักน้ำ
นำผักกวางตุ้งไปล้างน้ำจนสะอาด หั่นเป็นท่อนเล็กๆ ก่อนจะนำไปลวกในน้ำร้อนที่เตรียมเอาไว้ เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาลวกครู่เดียวก็เอาขึ้นมาใส่ชามที่มีน้ำให้คลายร้อน ส่วนผักชีจะหั่นเอาไว้โรยหน้า
พอไส้ผักเย็นได้ที่เฉินเฟิ่นอี้ก็ทำการห่อเกี๊ยวด้วยแป้งที่พักเอาไว้ นอกจากจะเป็นของว่างให้น้องแล้ว เฉินเฟิ่นอี้ก็ทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านด้วย มันเป็นเกี๊ยวผักและถึงใช้แป้งขาวแต่ก็ไม่ได้สิ้นเปลืองมากนัก
เฉินเฟิ่นอี้ใช้เวลาห่อเกี๊ยวเกือบชั่วโมงก็ได้เกี๊ยวมาร้อยกว่าตัว เนื่องจากเป็นเกี๊ยวผักและแป้งที่ทำไว้หนึ่งชั่งก็เยอะมาก อีกอย่างไส้ผักที่ทำไว้ก็พอดีกับแป้ง
ตั้งน้ำร้อนด้วยไฟกลางก่อนนำเกี๊ยวผักลงไปลวกในน้ำเดือด รอจนกว่าเกี๊ยวผักจะสุก เฉินเฟิ่นอี้ก็นำมาคลุกกับกระเทียมเจียวที่เก็บเอาไว้ส่วนหนึ่ง ทำซ้ำๆ จนกว่าจะลวกหมด
พอจัดการทุกอย่างเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็ตั้งหม้ออีกครั้ง รอบนี้เธอไปขุดหัวไชเท้าและแครอทมาต้มใส่หม้อเพื่อทำน้ำซุปเกี๊ยวผักน้ำ น่าเสียดายที่ไม่มีโครงไก่หรือกระดูกหมู ปิดฝาหม้อรอน้ำซุปได้ที่ก็เป็นอันใช้ได้
“พี่กำลังทำอะไรเหรอคะ” เฉินเหม่ยเย่ที่วางกระเป๋าไว้ในห้องแล้วเดินเข้ามาในครัวเอ่ยถามพี่สาว ที่กำลังตักอะไรบางอย่างออกจากหม้อ พร้อมกลิ่นหอมๆ
“กลับมาแล้วเหรอ” เฉินเฟิ่นอี้เงยหน้ามองน้องสาวพลางก้มหน้าลงไปตักฟองออก เธอเห็นปลาแห้งจึงนำมาใส่ด้วยสองตัว ทั้งยังปรุงรสน้ำซุปผักจึงส่งกลิ่นหอม
“ค่ะ”
เฉินเหม่ยเย่เดินมาหยุดข้างหลังที่สาว พร้อมชะโงกหน้ามองดูหม้อที่กำลังส่งกลิ่นหอม หล่อนมองอย่างตื่นเต้นเพราะนานๆ ทีจะมีอาหารที่ส่งกลิ่นหอมแบบนี้ให้รับประทาน
“พี่ทำอาหารเหรอคะ”
“ไม่ใช่ เธอว่างหรือเปล่า ถ้าว่างล้างและหั่นคะน้าให้พี่ที” เฉินเฟิ่นอี้ชี้ไปยังคะน้าที่ถูกวางไว้ในตะกร้า เธอยังไม่มีเวลาไปทำเลย เกรงว่าทุกคนจะรอนาน
“ได้ค่ะ วันนี้ฉันไม่มีการบ้าน”
ยังดีที่สวนผักหลังบ้านจะมีผักปลูกไว้ตลอด หมดแปลงนี้ก็ปลูกใหม่แล้วไปตัดแปลงนั้นวนๆ กันไป เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่กลัวว่าจะใช้ผักหมด อีกอย่างก็สามารถไปเก็บผักในสวนของหมู่บ้านได้ แต่ส่วนมากคนจะไปเก็บเพื่อแลกแต้มค่าแรงกัน
หม้อน้ำซุปผักถูกยกลงวางที่พื้น เฉินเฟิ่นอี้จึงนำชามที่มีในบ้านมาใส่น้ำซุปผัก เธอจะหุงข้าวและที่บ้านก็มีเพียงหนึ่งหม้อ สองกระทะ ซึ่งกระทะมันไม่สามารถหุงข้าวได้
จัดการหุงข้าวเสร็จเฉินเฟิ่นอี้ก็ไปเด็ดมะเขือในสวนมาแช่น้ำไว้พร้อมพริกหนึ่งกำ รอหุงข้าวเสร็จเธอจะซุปมะเขือรับประทานพร้อมคะน้าผัดน้ำมันและกระหล่ำลวก ซึ่งแน่นอนว่าของพวกนี้เธอเคยทำจึงไม่กลัวว่าจะไม่อร่อย
“พี่ช่วย”
เฉินเฟิ่นอี้นั่งลงตรงข้ามน้องสาว หยิบคะน้าขึ้นมาหั่น เธอเก็บมาเยอะพอสมควร อย่าลืมว่าไข่ไก่ที่มีเธอได้ทำไข่เจียวน้ำไปแล้วมื้อกลางวัน ช่วงเย็นเธอจึงต้องหาอาหารที่มีประโยชน์มาเสริมแทนเพียงแต่มันมีแค่ผัก!
“พี่เฟิ่นอี้ พี่รู้ไหมว่าที่โรงเรียนในตำบลจะปิดระดับมัธยมและย้ายไปเรียนในอำเภอแทน! ใครที่ยังไม่จบมัธยมต้นสามารถเข้าไปสอบเลื่อนชั้นปีได้ด้วย อีกอย่างนะฉันไปถามคุณครูมาแล้ว เขาบอกว่าพี่สามารถไปสอบเลื่อนชั้นปีได้ค่ะ!” เฉินเหม่ยเย่เอ่ยด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว ปีการศึกษาหน้าหล่อนและน้องชายก็ขึ้นมัธยมต้น พี่ชายอีกสองคนก็ขึ้นมัธยมปลาย ต้องได้เข้าไปเรียนในอำเภอแน่ๆ ยิ่งอารมณ์ดีไปอีกหากพี่สาวได้ไปเรียนด้วย
เฉินเฟิ่นอี้ชะงักเมื่อได้ยินสิ่งที่น้องสาวกล่าว ในยุคแบบนี้นอกจากเส้นสายแล้วการศึกษาย่อมสำคัญ เฉินเฟิ่นอี้จบการศึกษาแค่ระดับประถมและไม่จบมัธยมต้นเพราะอาการป่วย แต่คนในบ้านพาเธอไปลาออกแล้วนะ หรือเพราะที่นี่ยังล้าหลัง การทำเอกสารต่างๆ จึงยังไม่เสร็จ
“จริงหรือจ๊ะลูกสาวสี่!”
สะใภ้สี่ที่เข้ามาในครัวได้ยินสิ่งที่ลูกสาวคนเล็กกล่าวหล่อนก็มีความหวังขึ้นมาทันที เฉินเฟิ่นอี้เป็นเด็กสาวที่เรียนเก่งมาก ได้รับทุนการศึกษาอยู่บ่อยครั้ง หล่อนเสียดายไม่น้อยที่ลูกสาวไม่ได้เรียนต่อมัธยมปลาย
“จริงค่ะแม่ ถ้าไม่เชื่อให้พ่อไปถามคุณครูที่โรงเรียนดูค่ะ” มีหรือที่คนเป็นน้องสาวจะพูดเล่น หล่อนอยากให้พี่สาวไปเรียนด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน ตอนนี้หล่อนมีเพียงน้องชายและพี่ชายซึ่งไม่สามารถไปเล่นด้วยได้เพราะกลัวจะถูกมองไม่ดี
“ได้ๆ แม่จะให้พ่อไปถามเดี๋ยวนี้เลย!”
เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้ามองผู้เป็นแม่ที่รีบเดินออกไปด้วยความเร่งรีบ เฉินเหม่ยเย่ก็ทำได้เพียงยิ้มแห้ง เธอหันมาสนใจคะน้าต่อเพราะทุกคนกลับมาแล้ว จะได้เอาเกี๊ยวน้ำผักออกไปให้รับประทานรองท้อง ส่วนอาหารมื้อเย็นค่อยกลับมาทำ
ถาดอาหารที่วางถ้วยเกี๊ยวผักน้ำถูกยกออกจากครัวด้วยฝีมือของเฉินเฟิ่นอี้และเฉินเหม่ยเย่ คะน้าถูกหั่นเตรียมเอาไว้แล้วพร้อมเครื่องปรุงอื่นๆ รอแค่ข้าวสุกก็ทำอาหารต่อได้ เกี๊ยวผักน้ำหนึ่งถ้วยมีทั้งเกี๊ยวผัก ผักกวางตุ้งที่ถูกหั่นและลวกเอาไว้ ที่ขาดไม่ได้ก็คือน้ำซุปผักที่เฉินเฟิ่นอี้ตั้งใจทำ ดีที่ทำไว้เยอะสามารถเก็บไว้รับประทานเป็นอาหารมื้อเย็นได้
“เกี๊ยวผักน้ำค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้วางถาดเกี๊ยวผักน้ำลงบนโต๊ะ ทุกคนนั่งล้อมวงกันอยู่ กำลังสนทนากันถึงเรื่องผลผลิตปีนี้ที่ดูเหมือนจะได้ผลผลิตมากกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา
เฉินเฟิ่นอี้แบ่งเกี๊ยวให้แต่ละคนไม่เท่ากันเพราะนี่เป็นเพียงของว่าง หากรับประทานมากเกินไปก็จะอิ่มและไม่อยากรับประทานอาหารเย็น แต่ถ้าน้อยเกินไปก็จะหาว่าลำเอียงเอาได้ ซึ่งผู้ชายในบ้านเฉินต่างได้คนละสิบตัว ส่วนผู้หญิงได้รับคนละห้าตัว ยกเว้นเฉินชิงชิงที่เฉินเฟิ่นอี้ทำแยกไว้ต่างหาก
เพราะใช้น้ำมันในการผัดไส้ผัก ไหนจะการปรุงน้ำซุปอีก เด็กเล็กๆ ไม่ควรจะรับประทานอาหารที่ปรุงรสมากเกินไป เฉินเฟิ่นอี้จึงทำการลวกไส้ผักและแยกน้ำซุปผักที่ไม่ผ่านการปรุงแทน
“เดี๋ยวฉันป้อนเขาเองค่ะ คุณย่าจะได้ถนัด” เฉินเฟิ่นอี้บอกย่าเฉินที่กำลังจะป้อนหลานชาย เธอยังไม่หิวจึงเก็บไว้รับประทานพร้อมอาหารมื้อเย็นเลย
“หื้อ หอมมาก!”
“นี่คือไส้ผักจริงๆ หรือ!”
“ดูลูกสาวเธอสิสะใภ้สี่ ทำอาหารอร่อยจริงๆ”
เฉินเฟิ่นอี้ก้มหน้ายิ้มอย่างเขินอาย ทั้งชีวิตไม่เคยทำอาหารให้ใครรับประทานเลย พอมาที่นี่จะไม่ทำก็ไม่ได้เพราะมันจะเป็นการเอาเปรียบคนอื่นเกินไป อีกอย่างเธอก็เพิ่งสิบห้าปี อีกตั้งสามปีถึงจะแต่งออกไปได้
“อ้อ จริงสิ! ผมได้ยินเจ้ารองบอกว่าที่โรงเรียนจะเปลี่ยนระบบการศึกษาให้เหลือแค่ระดับประถม ใครที่เรียนยังไม่จบให้ไปสอบเลื่อนชั้นปีแทน” ลุงรองกล่าวด้วยความสนใจ เพราะหมายความว่าเทอมหน้าพวกเด็กๆ ต้องเข้าไปเรียนในอำเภอทั้งหมด ซึ่งการเดินเท้าไปใช้เวลากว่าจะถึงก็สองชั่วโมง คนที่เรียนก็ต้องออกไปตั้งแต่เช้ามืด และกว่าจะกลับมาถึงบ้านก็คงมืดเช่นเดียวกัน
“ใช่ครับ พี่สาวสามก็สามารถไปสอบได้” เฉินไห่หลิวพยักหน้า เรื่องนี้เป็นข่าวดีของบ้านเฉินก็ว่าได้
“จริงหรือ! แต่เจ้าสามพาหลานสาวไปลาออกแล้วไม่ใช่หรือ ผู้อำนวยการก็เซ็นตกลงแล้ว” ตอนแรกย่าเฉินดีใจเป็นอย่างมากที่หลานสาวของนางสามารถสอบเลื่อนชั้นปีได้ แต่เมื่อคิดดูแล้วลูกชายคนที่สามของนางพาหลานสาวไปลาออกแล้วนี่ ไหนจะผู้อำนวยการเซ็นตกลงไปแล้วด้วยเมื่อสามเดือนก่อน
“คุณครูผมบอกว่าเอกสารต่างๆ ยังทำไม่เสร็จครับ” เฉินตงเป็นคนตอบ
“ดีๆ ! แล้วจะมีการสอบเมื่อไหร่ หากหลานสาวสามสอบผ่านจะได้เรียนต่อ” ปู่เฉินที่คีบเกี๊ยวเข้าปากแล้วเอ่ยถาม การที่หลานๆ มีการศึกษาย่อมเป็นผลดีแก่บ้านเฉิน แม้แต่หลานสาวที่แต่งออกไปทั้งสองก็ยังจบมัธยมปลาย ส่วนหลานชายคนโตก็จบมัธยมปลาย
“ยังไม่ทราบครับ ต้องรอให้ทางโรงเรียนประกาศอีกที”
เฉินเฟิ่นอี้ที่ป้อนเกี๊ยวน้องชายกำลังคิดเรื่องการเรียน ถ้าจำไม่ผิดอีกไม่ถึงเจ็ดปีข้างหน้าจะมีการสอบเข้ามหาวิทยาลัย เธอไม่กลัวว่าจะสอบไม่ผ่าน เพราะในตอนที่เป็นแป้งร่ำเธอเรียนต่อถึงปริญญาเอก ไหนจะการที่ตามท่านประธานไปศึกษางานที่ต่างประเทศอีก ยังดีที่เป็นคนชอบทบทวน เวลาว่างจึงมักจะค้นหาข้อมูลต่างๆ อยู่เสมอ
ใช่ เฉินเฟิ่นอี้ตัดสินใจที่จะเข้าร่วมการสอบเลื่อนชั้นปีในครั้งนี้ เธอหวังว่าจะสามารถสอบผ่านและเรียนในระดับมัธยมปลายได้ ในระหว่างนี้เธอจะหาเงินเพื่อเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย รวมถึงน้องๆ ของเธอที่ต้องได้เรียนด้วย
ในตอนนี้บ้านเฉินยังสามารถส่งลูกหลานเข้าไปเรียนในอำเภอได้ แต่ในระดับมหาวิทยาลัยอาจส่งได้แค่ไม่กี่คน เพราะใช้จ่ายต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเฉินเฟิ่นอี้เห็นน้องๆ ตั้งใจเรียนขนาดนี้แล้ว เธอต้องทำอะไรสักอย่าง
“เฟิ่นอี้ของเรายังโชคดีอยู่บ้าง หึ ฉันอยากรู้จริงๆ ถ้าบ้านอี้รู้จะเป็นยังไง” สะใภ้ใหญ่ยิ้มเยาะอย่างอารมณ์ดี ว่าหลานของนางไม่มีวาสนาหรือ รอดูก่อนเถอะ! เฉินเฟิ่นอี้เรียนเก่งกว่าอี้เหม่ยเฟิ่งมากโข หากหลานสาวของนางสอบไม่ผ่าน เด็กนั่นก็คงสอบไม่ผ่านด้วย
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ ว่าเฟิ่นอี้ไม่มีวาสนาหรือ ฉันอยากรู้จริงๆ เจ้าเด็กหมิงนั่นจะทิ้งลูกของหล่อนไปตอนไหน” สะใภ้รองหัวเราะ หมิงหลานฮุ่ยเด็กคนนั้นกล้าทิ้งเฉินเฟิ่นอี้ที่เก่งกว่าอี้เหม่ยเฟิ่งในหลายๆ ด้านไป ในอนาคตเด็กหมิงนั่นก็สามารถทิ้งหลานสาวบ้านอี้ได้เช่นเดียวกัน
“เอาเถอะๆ อย่าไปพูดถึงพวกเขาเลย เฉินไห่หลิวกินข้าวเสร็จแล้วเข้าไปหาย่าด้วยนะ ต้องส่งจดหมายไปบอกเจ้าสามสักหน่อย” ย่าเฉินส่ายหน้า แม้ในใจจะเต็มไปด้วยความสุขก็ตาม
“ครับ”