ซะเมื่อไหร่ล่ะ!
เฉินเฟิ่นอี้มองไข่ไก่ในมือของเธอหนึ่งฟองอย่างอึ้งๆ นี่คือรางวัลภารกิจแรกที่เธอไปช่วยน้องสาวเก็บผัก อุตส่าห์ลงทุนช่วยขุดหัวมันแต่เธอได้ไข่ไก่ตอบแทนนี่นะ ระบบเส็งเคร็งนี่เอาเปรียบเธอมาก!
[ภารกิจและการรับรางวัลพิเศษเสร็จสิ้นแล้ว กดตกลง]
เสียงในหัวยังดังต่อเนื่องเมื่อเฉินเฟิ่นอี้ยังมองไข่ไก่ในมือนิ่งๆ หากหญิงสาวไม่กดตกลงภารกิจก็จะถือว่ายังไม่เสร็จสิ้น เฉินเฟิ่นอี้ถอนหายใจก่อนจะวางไข่ไก่ลงในตะกร้าไข่ที่เธอไปเก็บมา รวมกันแล้วอย่างน้อยก็มีสิบสองฟองแหละ
ร่างบอบบางหิ้วตะกร้าไข่ไก่เข้าไปในห้องครัวที่มีบรรดาป้าสะใภ้และแม่ของเธอกำลังทำอาหารอยู่ เฉินเฟิ่นอี้หยุดอยู่หน้าเตาทำอาหาร ที่มีสะใภ้รองกำลังย่างแผ่นแป้งอยู่
“ป้าสะใภ้รองฉันช่วยค่ะ”
ไม่ว่าเปล่าเฉินเฟิ่นอี้รีบนำตะกร้าไข่ไก่ไปวางบนโต๊ะ ก่อนที่จะมาช่วยผู้เป็นป้าสะใภ้ย่างแผ่นแป้ง มันเป็นอาหารมื้อเช้าของคนที่จะไปลงแปลงนาพรุ่งนี้ เพื่อย่นเวลาทำอาหารจึงต้องทำตอนนี้ พรุ่งนี้เช้าก็แค่อุ่น
“อั๊ยย่ะ เฟิ่นอี้ไม่ต้องๆ หลานเพิ่งฟื้นก็ควรที่จะพักผ่อนให้มาก แค่นี้ป้าทำเองคนเดียวได้” เพราะพี่สะใภ้ น้องสะใภ้ต่างแบ่งงานกันอย่างยุติธรรม นี่คืองานของหล่อน หล่อนจึงกลัวว่าจะถูกแม่สามีต่อว่าที่ให้หลานสาวมาช่วย
ปกติเฉินเฟิ่นอี้จะช่วยป้าสะใภ้หรือแม่ของเธอทำอาหารมื้อกลางวัน แต่พอมีอาการป่วยเข้ามาแทรก งานในครัวก็แทบจะไม่ได้แตะ หน้าที่นี้จึงตกไปเป็นของน้องสาวสี่ของเธอแทน เพียงแต่วันนี้หล่อนมีการบ้านที่ต้องทำ จึงไม่ได้เข้ามาช่วย
“ป้าสะใภ้รองถ้าไม่ให้ฉันช่วย ฉันคงไม่หายป่วยง่ายแน่ๆ ค่ะ” เฉินเฟิ่นอี้กล่าวยิ้มๆ
พอล้มป่วย ทุกคนก็ไม่ให้เธอช่วยทำงานในแปลงนา งานในบ้านก็แทบจะไม่ได้แตะเพราะอาการป่วยและถูกห้าม เมื่อไม่ได้ออกแรงอาการป่วยของเธอจึงทรุดตัวลงเพราะไม่แข็งแรง เนื่องจากบ้านของเฉินเฟิ่นอี้อยู่ในชนบทและไม่มีรถ ทำให้การเดินทางไปโรงพยาบาลในอำเภอเป็นเรื่องที่ยากมาก
ลุงสามเคยปรึกษาเรื่องนี้กับคนที่บ้านว่าจะพาเฉินเฟิ่นอี้ไปรักษาในเมือง เพราะการรักษาในเมืองพัฒนามากกว่าในแถบชนบทแบบนี้ อีกอย่างเขาก็มีสวัสดิการทหาร ลุงสามไม่มีภรรยาและลูกจึงเอ็นดูหลานสาวในบ้านเป็นที่สุด
“เฟิ่นอี้ทุกคนเป็นห่วงลูกมากนะ” สะใภ้สี่ที่เห็นว่าลูกสาวคนโตของหล่อนขัดพี่สะใภ้ก็รีบเอ่ยท้วงทันที
“แม่คะ แม่ไม่ต้องห่วงฉันค่ะ ฉันอาการดีขึ้นมาก” เฉินเฟิ่นอี้พูดจริงๆ อาการปวดตามร่างกายตอนนี้เริ่มหายไปแล้ว แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่ได้ถามใคร
“เอาน่าสะใภ้สี่ เฟิ่นอี้อยากช่วยเราก็ปล่อยให้หลานช่วย” สะใภ้ใหญ่ส่ายหน้าพร้อมกับหั่นผักที่หลานสาวเก็บมาให้
“เฮ้อ พวกพี่ก็เข้าข้างหล่อน”
เด็กสาวบ้านเฉินช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้เกิดมาในบ้านหลังนี้ หากเป็นบ้านหลังอื่น ต่อให้ป่วยหรือใกล้ตายก็ต้องทำงานให้เสร็จ เปรียบเทียบได้กับบ้านข้างๆ ที่ตอนนี้มีเสียงด่าทอออกมาให้ได้ยิน และไม่ใช่แค่หลังเดียว ยังมีหลังอื่นอีก ซึ่งที่นี่มันเป็นเรื่องปกติมากยกเว้นบ้านเฉิน
“น่าสงสารหลานสาวบ้านหลี่จริงๆ” สะใภ้ใหญ่พึมพำ
บ้านหลี่ที่ว่าก็เป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันนี่เอง บ้านหลี่มีสมาชิกพอๆ กันกับบ้านเฉิน แต่ทุกคนทำงานแค่ในแปลงนาและมีเพียงหลานชายที่ถูกส่งเข้าเรียน จะว่าหลานชายก็ไม่ถูก เป็นหลานชายจากลูกชายคนโตของบ้านที่บ้านหลี่ส่งเรียน
ทุกคนส่ายหน้าเพราะนี่คือเรื่องปกติของหลายๆ บ้าน แม้แต่บ้านเดิมของเหล่าสะใภ้ก็เป็นเช่นนี้ พอแต่งเข้าบ้านเฉินที่ยอมกัดฟันส่งลูกชายคนที่สามเข้าเรียนและได้เป็นถึงทหาร ความคิดของสะใภ้ก็เปลี่ยนไปมากจากคำสอนของแม่สามี แรกๆ พวกหล่อนไม่ถูกกันเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะมีพ่อสามี แม่สามีที่ดี เหล่าสามีที่เป็นพี่น้องกันก็รักใคร่กลมเกลียว พวกหล่อนก็สามัคคีกันขึ้นมา
“เราก็ช่วยหล่อนไม่ได้หรอก”
เฉินเฟิ่นอี้นั่งย่างแผ่นแป้งพร้อมเก็บข้อมูลไปด้วย เธอมีความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมก็จริง แต่เหมือนหล่อนจะไม่คบค้าสมาคมกับใคร จึงทำให้ไม่ค่อยได้รู้จักคนอื่นๆ มากนัก
[ภารกิจพิเศษ : สอนน้องสาวทำการบ้านเพื่อรับเจ็ดแต้ม]
อยู่ๆ เสียงระบบเส็งเคร็งที่เธออาสาตั้งชื่อให้ใหม่ก็ดังขึ้นในหัวพร้อมแผ่นกระดานใสที่ลอยอยู่ตรงหน้า เธอสะดุ้งจนป้าสะใภ้รองทักขึ้นมา เฉินเฟิ่นอี้ส่ายหน้าเพราะอีกฝ่ายคงไม่เห็นแผ่นกระดานใสด้วย
เฉินเฟิ่นอี้รีบย่างแผ่นแป้งที่เหลือเพื่อไปให้ทันน้องสาวที่ทำการบ้านอยู่ ภารกิจพิเศษหรือ ทำไมระบบไม่ได้บอกเธอก่อน ขอให้มีเวลาทำใจก่อนก็ไม่ได้หรือยังไง อีกอย่างแผ่นแป้งต้องย่างถึงยี่สิบแผ่น เฉินเฟิ่นอี้จึงไม่กล้าขอตัวหยุดทำ ก็เมื่อกี้เธอเป็นคนอาสาทำเอง หากขอตัวออกไปคงโดนแม่เธอดุแน่
แผ่นแป้งถูกพลิกไปมาอย่างคล่องแคล่ว ยังดีที่เธอมีสกิลการทำอาหารติดตัว และเฉินเฟิ่นอี้ทำอาหารเป็นอยู่แล้ว แผ่นแป้งยี่สิบแผ่นจึงใช้เวลาไม่นาน
เฉินเฟิ่นอี้รีบล้างมือให้สะอาด แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน ยังดีที่เฉินเหม่ยเย่ยังทำการบ้านไม่เสร็จ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะไม่ได้เจ็ดแต้มแน่ ซึ่งต่อให้เป็นคะแนนเดียวเธอก็จะทำอยู่ดี
“พี่มาสอนฉันใช่ไหมคะ!” เฉินเหม่ยเย่เอ่ยอย่างตื่นเต้น หล่อนทำการบ้านวิชานี้ไม่เป็นจริงๆ จะถามพี่ชายก็ยังไม่ได้ เพราะทุกคนกำลังทำการบ้านตนเองให้เสร็จก่อนรับประทานอาหาร
“อืม”
เฉินเฟิ่นอี้นั่งลงตรงข้ามน้องสาวที่ดวงตาเป็นประกาย เธอรับสมุดวิชาคณิตศาสตร์มาพลิกดู ในความทรงจำของเธอเฉินเหม่ยเย่ไม่ชอบวิชานี้เอามากๆ จึงไม่แปลกใจที่จะเรียนไม่เข้าใจ ซึ่งจะโทษหล่อนฝ่ายเดียวก็ไม่ได้เพราะจากการอ่านคร่าวๆ มันเป็นวิชาที่เลยวัยของหล่อน!
“ตัวนี้คือตัวอะไร เธอต้องรู้จักตัวนี้ก่อน ค่อยนำมาบวกกับตัวนี้และลบตัวนี้” เฉินเฟิ่นอี้ที่ทำความเข้าใจคร่าวๆ ชี้ให้น้องสาวดู ชีวิตก่อนเธอเป็นพนักงานบัญชีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตัวเลขมากมายก่อนขึ้นเป็นเลขา ไหนจะเป็นวิชาที่ถนัดของเฉินเฟิ่นอี้อีก จึงไม่แปลกที่เธอจะเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
“อ้อ ฉันนึกว่าต้องลบตัวนี้ก่อนค่ะ” เฉินเหม่ยเย่ยกมือขึ้นเกาหัว แอบมองน้องชายสี่หรือก็คือเฉินจางที่แอบทำตาม
“ลบได้เหมือนกันแต่มันค่อนข้างจะยุ่งยาก”
ต่อให้เธอสามารถบอกอีกฝ่ายได้ว่าต้องทำยังไงแต่เฉินเฟิ่นอี้ก็ไม่ได้เฉลยให้หล่อนทราบ หากหล่อนทำผิดก็แค่สอนใหม่ แต่ถ้าเฉลยไปแล้วครั้งหน้าหล่อนก็จะทำไม่ได้อีก จริงๆ การบ้านแบบนี้จะมีไม่บ่อยนักเพราะทางโรงเรียนรู้สถานการณ์ทางบ้านของเด็กที่เลิกเรียนแล้วก็ต้องมาทำงานเก็บแต้ม
แต่ส่วนมากการบ้านที่ได้รับจะเป็นเด็กที่ไม่เข้าใจในวิชานี้หรือไม่ก็มีคะแนนเก็บที่น้อยและสอบไม่ผ่านบ้าง ซึ่งหากคะแนนยังน้อยอยู่ซ้ำๆ ทางโรงเรียนก็จะโดนต่อว่า
“เสร็จแล้ว!” เฉินเหม่ยเย่วางดินสอพร้อมทั้งถอนหายใจ หล่อนได้รับการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ทุกวัน เพราะคุณครูบอกว่าคะแนนวิชานี้ของเธอน้อย จึงต้องเพิ่มคะแนนด้วยการส่งงานให้ครบ
“อาหารเสร็จพอดี”
เป็นเวลาเดียวกับผู้หญิงในบ้านยกอาหารเข้ามาในห้องโถง เด็กๆ ที่ทำการบ้านรีบเก็บอุปกรณ์ทันที หากทำไม่เสร็จก็ค่อยทำหลังรับประทานอาหาร หรือหากมันมืดแล้วก็รอทำพรุ่งนี้เช้า แต่ตอนนี้ทุกคนทำการบ้านเสร็จพอดี หลังรับประทานอาหารเสร็จจะได้อาบน้ำและเข้านอน
เช้าวันใหม่เฉินเฟิ่นอี้กำลังเก็บผักในสวนหลังบ้าน ผู้ใหญ่ออกไปทำงานเก็บแต้มกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ส่วนเด็กๆ ก็ไปเรียนตั้งแต่เช้า ในบ้านจึงเหลือเพียงเฉินเฟิ่นอี้ ย่าเฉิน และเฉินชิงชิงน้องชายตัวน้อยของเธอ
ภารกิจในวันนี้คือการทำอาหารมื้อกลางวันไปส่งที่แปลงนา ซึ่งที่บ้านจะรับประทานแผ่นแป้งเป็นอาหารเช้าเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย ส่วนอาหารมื้อกลางวันเหล่าสะใภ้จะกลับมาทำอาหารเพื่อนำไปรับประทานที่แปลงนาและสลับกัน อย่างเมื่อวานเป็นสะใภ้ใหญ่ วันก่อนหน้าคือสะใภ้สี่ วันนี้จึงเป็นสะใภ้รอง
เฉินเฟิ่นอี้ทำการขออนุญาตย่าเฉินแล้วเรื่องการทำอาหารไปส่งที่แปลงนา จริงๆ ต่อไปนี้เธออาจได้ทำอาหารไปส่งตลอดเพราะไม่อยากให้ทุกคนเหนื่อยมากขึ้น อีกอย่างที่ต้องขออนุญาตเพราะวันนี้เธอไม่ได้บอกใครว่าจะทำอาหารไปส่งเอง
ย่าเฉินไม่ได้ลงแปลงนาแล้วเนื่องจากอายุที่มากขึ้น ทั้งยังต้องการเลี้ยงหลานชายคนเล็กเอง คนในบ้านต่างเห็นด้วยและบอกให้ปู่เฉินหยุดทำงานในแปลงนาเหมือนกัน แต่ปู่เฉินไม่ยอมเพราะค่าใช้จ่ายต่างๆ ในบ้านมันมีมาก ทุกคนจึงให้ปู่เฉินรับแต้มที่น้อยลงแทน อย่างน้อยก็คงไม่ได้เหนื่อยมาก
“เฟิ่นอี้หลานจะทำอะไรน่ะ”
มือที่กำลังตอกไข่ใส่ถ้วยชะงัก เฉินเฟิ่นอี้มองคนที่เข้ามาใหม่เป็นย่าเฉินและเฉินชิงชิง เธอจะทำไข่เจียวน้ำ ก่อนจะตอบผู้เป็นย่าด้วยรอยยิ้ม
“ฉันจะทำไข่เจียวน้ำค่ะ ได้ซดน้ำซุปร้อนๆ คงดีไม่น้อย” เพราะเมื่อเช้าทุกคนได้รับประทานเพียงแผ่นแป้งที่ฝืดคอ และดูเหมือนว่าทุกคนจะชินกันยกเว้นเธอ!
“ไข่เจียวน้ำ? ไข่เหรอ เฟิ่นอี้มันสิ้นเปลืองนะ!” ย่าเฉินว่าอย่างไม่เห็นด้วย นางไม่ได้งกเรื่องอาหารแต่ส่วนมากไข่จะทำเป็นอาหารมื้อเย็น
“คุณย่าคะ ตอนนี้ทุกคนกำลังทำงานในแปลงนาต้องการพลังงานเป็นอย่างมาก ฉันคงทำผักต้มไปส่งไม่ได้จริงๆ เมื่อเช้าทุกคนก็รับประทานเพียงแผ่นแป้งแข็งๆ” เฉินเฟิ่นอี้อธิบาย ถึงไข่น้ำจะเป็นอาหารที่ไม่เหมาะเท่าไรแต่มันก็ไม่มีเมนูให้เลือกแล้ว ในบ้านมีเพียงผักและไข่
จะผัดผักใส่ไข่ก็จะสิ้นเปลืองน้ำมันมากไหนจะปรุงรสอีก เฉินเฟิ่นอี้จึงตัดสินใจเจียวไข่และทำไข่น้ำที่ใส่ผักมีประโยชน์แทน คงต้องหาเงินและซื้อของเข้าบ้านแล้ว ถึงที่บ้านจะไม่ได้ขัดสนและไม่ได้ขี้เหนียวแต่ก็ไม่ได้ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่าย อีกอย่างปีหน้าเฉินไห่หลิวและเฉินตง ต้องเข้าไปเรียนมัธยมปลายในอำเภอจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก
“มันก็จริง” ย่าเฉินพยักหน้า ผักต้มแม้จะรับประทานมาตลอดแต่มันก็ช่วยเพียงอิ่มท้อง ส่วนเรี่ยวแรงหรือก็เหมือนเดิม
เฉินเฟิ่นอี้ยิ้มเมื่อย่าเฉินเห็นด้วย เธอแบ่งไข่สองฟองทำไข่ตุ๋นยอดตำลึงให้น้องชายและย่าเฉินรับประทาน ส่วนไข่เจียวน้ำนั้นใช้ไข่สิบฟองและเธอจะไปรับประทานอาหารพร้อมคนอื่นในแปลงนาเลย จะได้รอเก็บหม้อกลับมาด้วย