เพ่ยเจินเดินแบกตะกร้าเดินทางกลับบ้านไปด้วยความรู้สึกขุ่นมัวอยู่เต็มหัวใจ พร้อมกับก่นด่าซ่งเว่ยหยางไปตลอดทางอย่างนึกหัวเสีย
เมื่อเดินทางผ่านตลาด เพ่ยเจินก็สังเกตเห็นว่าแต่ละคนลอบมองตนด้วยแววตายิ้มๆ พร้อมทั้งก้มหน้าลงกระซิบกระซาบกันราวกับมีลับลมคมในอะไรบางอย่าง
เพ่ยเจินยังคงเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นมิได้กล่าววาจา
อะไรออกมาแม้เพียงครึ่งคำ เอาแต่รีบเดินจ้ำอ้าวให้ผ่านพ้นไปจากบริเวณตลาดที่คนพลุกพล่านเพียงเท่านั้น จนกระทั่ง
"โอ๊ยยยย!!"
เสียงร้องแสดงถึงความเจ็บปวดดังขึ้น เพ่ยเจินจึงยกมือเล็กขึ้นมาคลำหน้าผากตนเองป้อยๆ
'ป่านนี้หน้าผากนางคงบวมปูดโนขึ้นมาแล้วกระมัง ใครกันนะที่เดินไม่ระวังขนาดนี้?'
เพ่ยเจินคิดขึ้นมาในใจพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองคนผู้นั้นด้วยความสงสัย ก่อนจะอ้าปากกว้างขึ้นด้วยความคาดไม่ถึงเมื่อพบว่าคนผู้นั้นคือหมียักษ์ประจำหมู่บ้าน ซ่งเว่ยหยางนั่นเอง
"เจ้า!" เพ่ยเจินกล่าวออกมาเพียงเท่านั้นก็หันหลังขวับรีบเดินจากไปทันที
"อ้าวๆ อะไรจะตัวติดกันขนาดนั้นเล่าหนุ่มสาวสมัยนี้?" หลี่ซีโมวน้องชายของหลี่หมิงกล่าวเย้าขึ้นด้วยความเอ็นดู
"เพ่ยเจินเจ้าช่างโชคดีนัก ที่จะได้แต่งงานกันกับ
เว่ยหยาง ในหมู่บ้านของเราแล้วเว่ยหยางเขาเป็นคนดีและมีพละกำลังมากมายมหาศาลนัก สามารถแบกกระสอบข้าวได้คราวละตั้งแปดกระสอบ ดึงลากเกวียนแทนวัวก็ได้ มีเขาผู้เดียวเท่ากับมีบุตรชายถึงสี่คนในบ้าน บุรุษที่แสนดีและประเสริฐเช่นนี้สักร้อยปีถึงจะมีสักคนเลยเชียวนะ"
ป้าจางคนข้างบ้านของเพ่ยเจินกล่าวขึ้นน้ำเสียงขึงขัง
'แล้วนางเล่า นางมิมีอะไรดีเลยเช่นนั้นหรือ? นางเป็นถึงสาวงามอันดับหนึ่งของหมู่บ้านเลยเชียวนะ ไม่สินางเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของถงเยี่ยนเลยต่างหากล่ะ'
เพ่ยเจินคิดขึ้นมาในใจ แต่ด้วยไม่อยากต่อล้อต่อเถียงอันใดให้เป็นการต่อความยาวสาวความยืดมากนัก เพ่ยเจินจึงได้เร่งฝีเท้ามากขึ้นหวังจะได้รีบออกไปจากตลาดนี่เสียที แต่หูสองข้างก็กลับแอบลอบฟังการสนทนาของซ่งเว่ยหยางกับผู้คนในตลาดต่อไปอีกเล็กน้อยด้วยความอยากรู้อยากเห็น
"เหตุใดเพ่ยเจินจึงได้สวมชุดคลุมของเจ้าเล่าเว่ยหยาง?"
หญิงขายผักเอ่ยถามขึ้นและพรมน้ำลงบนผักของตนไปด้วย
"พอดีนางพลัดตกลงไปในน้ำ ข้าจึงลงไปช่วยและให้นางใส่ชุดคลุมของข้าเอาไว้ขอรับ"
ซ่งเว่ยหยางตอบออกไปด้วยความสุภาพเรียบร้อย
"พวกเจ้าคบหาดูใจกันไปถึงไหนแล้วเล่าเว่ยหยาง?"
ชายขายปลากล่าวถามขึ้นมาอย่างเอาใจช่วย
ซ่งเว่ยหยางพลันหน้าแดงขึ้นเมื่อคิดถึงตอนที่ตนกับ
เพ่ยเจินจุมพิตกันในสายน้ำและตอนที่เพ่ยเจินก้มลงมาหอมแก้มตนแล้วจึงได้แต่มีท่าทีอ้ำๆอึ้งๆ มิกล้ากล่าววาจาอันใดออกไปให้คนอื่นรู้
ภรรยาของชายขายปลาเห็นดังนั้นแล้วจึงแกล้งเอ็ดสามีของตนไปว่า
"เจ้านี่ช่างถามอันใดมิรู้ความนัก เว่ยหยางอายจนผิวสีน้ำตาลคร้ามแดดของเขาเป็นสีแดงเข้มขึ้นมาแล้วเห็นหรือไม่?"
"เอาล่ะๆ พวกเจ้าก็อย่าได้พากันซักไซร้เว่ยหยางอันใดไปให้มากความนักเลย" แม่ค้าขายผ้ากล่าวตัดบท
"แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เว่ยหยางหากเจ้าจะได้แต่งงานเมื่อไหร่ อย่าลืมแวะมาซื้อผ้าร้านข้าเอาไว้ไปตัดชุดแต่งงานของพวกเจ้าด้วยเล่า เข้าใจหรือไม่? ข้าจะลดราคาให้เป็นพิเศษ อีกทั้งข้ายังจะแนะนำร้านตัดที่ดีที่สุดให้เจ้าด้วย"
"ขอบคุณพี่สาวมากนะขอรับ" ซ่งเว่ยหยางยังคงเป็นคนเรียบร้อยพูดน้อย และมีกิริยาอ่อนโยนต่อผู้อื่นอยู่เป็นนิตย์เสมอ
เพ่ยเจินแอบเบ้ปากด้วยความขุ่นเคืองใจเล็กน้อยพร้อมกับคิดขึ้นมาในใจว่า
'เพราะอะไร ด้วยเหตุใดกันนะ เจ้าหมียักษ์นี่ถึงได้กลายเป็นดาวเด่นและเป็นที่รักของคนในหมู่บ้านนี้ไปได้? แต่ช่างเถอะมันก็หาใช่ธุระกงการอะไรของนางไม่ รีบกลับบ้านไปก่อนดีกว่า ป่านนี้ท่านพ่อและท่านแม่อาจจะกำลังรอคอยนางอยู่ก็เป็นได้'
"ลุงหลี่นะลุงหลี่ท่านช่างทำให้ข้าอับอายขายขี้หน้าคนทั่วทั้งตลาดยิ่งนัก ความแค้นครั้งนี้ข้าจะขอจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจไม่ลืมเลยทีเดียว"
เพ่ยเจินกล่าวกับตนเองน้ำเสียงหนักแน่นก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินออกจากตลาดไปด้วยความแค้นเคืองใจกับเหตุการณ์ในครานี้