หญิงสาวเดินสำรวจรอบๆ บ้านที่เงียบราวกับไม่มีคนอยู่ ก่อนที่จะได้ยินเสียงดังมาจากทางห้องครัว จึงเดินตามเสียงไปก่อนจะหยุดยืนที่หน้าประตูมองดูแม่บ้านที่เป็นคนเลี้ยงเธอเมื่อครั้นยังเด็ก แม้จะไม่ได้เจอกันนานหลายปีแต่เธอก็ยังคงจดจำใบหน้านั้นได้อย่างดี เพียงแต่ตอนนี้บนใบหน้ามีริ้วรอยเพิ่มมากขึ้น ผิวตามร่างกายก็เหี่ยวย่นลงเล็กน้อยตามกาลเวลา ส่วนผู้หญิงอีกคนหนึ่งดูยังสาวมากอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบไปได้ ทั้งสองกำลังเม้าท์มอยกันเรื่องละครหลังข่าวภาคค่ำกันอย่างออกรส
"คุณเป็นใครคะ มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่" หญิงสาวที่เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีแขกมายืนมองอยู่ที่ประตูห้องครัวจึงเอ่ยถามขึ้น
"ใครมาน่ะ ว้ายยย! คุณหนู มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ" แจ่มจันทร์ร้องตะโกนด้วยความตกใจปนดีใจ เมื่อเห็นคุณหนูที่เธอนั้นฟูมฟัก ทะนุถนอม เลี้ยงดูมาตั้งแต่ยังเด็กยืนอยู่หน้าประตู แม้จะไม่ได้เจอกันหลายปีแต่เธอก็ยังจำคุณหนูของเธอได้แม่นต่อให้คุณหนูของเธอจะโตขึ้นมากแค่ไหนก็ตาม
"เพิ่งมาถึงเมื่อกี้ค่ะ พอดีไม่เห็นใครเลยเดินเข้ามาดูค่ะ ป้าแจ่มสบายดีมั้ยคะ"
"ป้าสบายดีจ้ะ ยัยฝันไปเอาน้ำมาเสิร์ฟให้คุณหนูเร็ว คุณหนูไปนั่งก่อนเถอะค่ะ" แจ่มจันทร์รีบสั่งหญิงสาว ก่อนจะพาไพลินไปนั่งที่ห้องรับแขกอย่างรีบร้อน
"ผู้หญิงคนเมื่อกี้คือใครเหรอคะ"
“อ๋อ ชื่อฝันหวานค่ะ เป็นแม่บ้านคนใหม่ที่รับมาเมื่อปีที่แล้วค่ะ”
“เธอดูน่ารักดีนะคะ”
“ใช่ไหมล่ะคะ ป้าเห็นครั้งแรกไม่นึกว่าจะมาเป็นสมัครเป็นคนใช้ด้วยซ้ำค่ะ” แจ่มจันทร์รีบเสริม
“หนูคิดถึงป้าแจ่มมากเลยนะคะ” หญิงสาวโผเข้ากอดร่างอวบของป้าแม่บ้าน
แจ่มจันทร์อดเอ็นดูคุณหนูของตัวเองไม่ได้ จึงยกมือลูบผมของหญิงสาวด้วยความเอ็นดู ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ คุณหนูของเธอก็ยังน่ารักเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ต่างจากคำบอกเล่าที่คุณชายเล่าให้ฟังราวกับฟ้ากับเหว
“เขาไม่อยู่ใช่ไหมคะ”
“ใครเหรอคะ ถ้าเป็นคุณเสือ ไม่อยู่ค่ะ ไปออกตรวจให้กับชาวบ้าน”
“เฮ้อ งั้นก็ดีแล้วค่ะ” เธอยังไม่อยากเจอเขาตั้งแต่ตอนนี้หรอก ไม่อย่างนั้นก็คงจะมีเรื่องกันอีกแน่
“ยังไม่หายโกรธกันอีกเหรอคะ เรื่องนั้นมันผ่านมานานแล้วนะคะ อีกอย่างคุณเสือก็ไม่ได้ตั้งใจด้วย” เรื่องราวที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างคุณหนูและคุณเสือยังคงฝังอยู่ในใจของแจ่มจันทร์ไม่ลืม และเรื่องนั้นก็ทำให้คุณหนูของเธอตัดสินใจย้ายกลับไปอยู่ที่กรุงเทพฯ และไม่เคยกลับมาอีกเลยจนกระทั่งถูกพ่อส่งมาคราวนี้
“ก็ช่วยไม่ได้ เขาควรจะบอกกับหนูด้วยตัวเองไม่ใช่รอให้หนูรู้จากปากของคนอื่น”
“เอาเถอะค่ะ ป้าจะไม่ยุ่งเรื่องเพราะเป็นเรื่องของคุณหนูกับคุณเสือ แต่ป้าอยากจะบอกว่าที่คุณเสือทำไปเพราะมีเหตุผลนะคะ”
“ค่ะ หนูเชื่อป้าค่ะ แต่ถ้าเขาอยากจะอธิบายก็ควรมาพูดกับหนูด้วยตัวเองสิคะ” ไพลินพยายามไม่ใส่อารมณ์เวลาพูดกับแจ่มจันทร์ แต่ก็แอบอารมณ์เสียเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีต
“งั้นก็ได้ค่ะ ว่าแต่คุณหนูจะอยู่ที่นี่นานไหมคะ”
“น่าจะนานนะคะ แต่หนูก็อยากอยู่ที่นี่ไปนานๆ เลยค่ะ ไม่อยากกลับไปแล้ว”
“เล่าให้ป้าฟังหน่อยสิคะ ว่าเกิดอะไรขึ้น ป้าเชื่อว่าคุณหนูไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้น” แจ่มจันทร์ยังคงเชื่อมั่นในตัวของไพลินเสมอ คุณหนูของเธอไม่ใช่คนชอบพูดโกหกหรือใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น
“ก็...” ไพลินชั่งใจอยู่นาน ก่อนตัดสินใจว่าจะเล่าทุกอย่างให้แจ่มจันทร์ฟัง
“ป้าอย่าให้ท้ายคุณหนูของป้าสิครับ ใครทำอะไร หลักฐานก็เห็นอยู่เต็มตา ไม่อย่างนั้นคุณอาก็คงไม่ส่งเธอมาที่นี่หรอกครับ” คำพูดที่กำลังจะเอ่ยถูกกลืนกลับเข้าไปอีกครั้ง ประตูหัวใจที่กำลังจะเปิดออกก็ปิดลงทันที คนที่เธอไม่อยากเจอก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับคำพูดที่ไม่เข้าหูเธอเลยสักนิด
“คุณเสืออย่าพูดแบบนั้นสิคะ” แจ่มจันทร์รีบปราม
“เรื่องของฉัน นายอย่ามายุ่ง!!!” ไพลินลุกขึ้นพลางตะคอกใส่อีกฝ่ายด้วยความโมโห และรีบวิ่งหนีขึ้นไปยังห้องนอนของตัวเองทันที
“คุณหนู~”
“ป้าอย่าทำแบบนั้นสิครับ อย่าลืมว่าคุณอาขอให้เราช่วยอะไร”
“แต่อย่างน้อยก็ควรเปิดโอกาสให้คุณหนูเธอได้เล่าบ้างสิคะ อันนี้ทุกคนเอาแต่เชื่อสิ่งที่ผู้หญิงคนนั้นพูด ไม่ยุติธรรมกับคุณหนูของแจ่มเลยสักนิด” แจ่มจันทร์อธิบาย
“แต่คุณหนูของป้าก็อาจจะไม่ได้พูดความจริง”
“เรื่องนั้นป้าคิดเองได้ค่ะ ป้าแยกแยะได้ว่าคุณหนูเธอพูดความจริงหรือสร้างเรื่องโกหก แต่สิ่งที่ป้าต้องการคือป้าอยากให้คุณหนูเธอเปิดใจมากขึ้น หลายปีมานี้คุณหนูดื้อมากขึ้นก็เพราะไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่เธอพูดหรือเปิดใจให้กับเธอ เพราะงั้นเธอเลยเลือกที่จะไม่พูดไม่บอกอะไรกับใครและเก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียวไงคะ…” แจ่มจันทร์โพล่งออกมาอย่างอัดอั้น พลางน้ำตาคลอ
“...” เสือเงียบลงเมื่อได้ฟังในสิ่งที่แจ่มจันทร์พูด จะว่าไปสิ่งที่แจ่มจันทร์พูดนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งหมด เพราะเหตุการณ์ตอนนั้นทำให้ไพลินไม่อาจกลับมาเป็นคนเดิมได้อีกเลย…