ก๊อกๆๆๆ
"ท่านเจ้าเมือง ด้านนอกมีคนมาพบใต้เท้าขอรับ"
ทั้งสองมองหน้าก่อนจะหยุดบทสนทนาเซี่ยอวิ๋นจึวเอ่ยถามเจ้าหน้าที่ด้านนอก
"เป็นผู้ใดได้บอกนามหรือไม่ มาด้วยเหตุอันใด"
"กุนซือเซี่ย ท่านผู้นั้นมิได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแต่ให้ข้าน้อยนำสิ่งนี้มาให้ เขาบอกว่าจะรอพวกท่านที่สวนไผ่ทิศตะวันออกของเมืองขอรับ"
เสี่ยอวิ่นเปิดประตูรับของสิ่งนั้นมาส่งให้เซี่ยหนานอิน พอเห็นของสิ่งนั้นเขาก็รีบร้อนออกไปทันที แต่ไม่วายกำชับให้คนรับใช้ส่วนตัวเก็บอาหารเหล่านั้นเอาไว้ห้ามทิ้ง ยังกินไม่อิ่มเลยถ้าไม่ใช่คนสำคัญเขาจะทิ้งมาได้อย่างไรเด็กคนนั้นหากเอามาเป็นแม่ครัวที่จวนคงได้ลาบปากทุกวัน
เพียงไม่นานรถม้ามาถึงสวนไผ่ก็พบบุรุษสี่คนยืนรออยู่ สองคนนั้นแต่กายคล้ายทหาร ส่วนอีกสองคนแม้ว่าเสื้อผ้าจะธรรมดาแต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมานั้นน่าเกรงขาม เขาเดาได้ทันที
"ข้าน้อยเซี่ยหนานอินเจ้าเมืองกว่างผิงถวายพระพรจ้าวอ๋องพะย่ะค่ะ คาราวะซื่อจื่อขอรับ"
เซี่ยหนานอินคาราวะจ้าวเฟยหย่งกับจ้าวเฟยหรง
"อืมใต้เท้าเซี่ย หรือจะให้ข้าเรียกท่านว่านายน้อยเฟิ่งดี"จ้าวเฟยหย่งเอ่ยปากทักทายเซี่ยหนานอิน
"ท่านอ๋องล้อกระหม่อมเล่นแล้ว เหตุใดถึงเรียกเช่นนั้นเล่าพะย่ะค่ะ"
"อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็ไม่ใช่คุณชายน้อยที่ผู้เฒ่าเซี่ยรับเลี้ยงไว้เมื่อสามสิบปีก่อนหรอกหรือ ดูเหมือนเสด็จพี่จะพลาดนะครั้งนี้"จ้าวเฟยหย่งหัวเราะใส่เขา
"ในเมื่อท่านอ๋องทรงทราบ ถ้าเช่นนั้นที่เรียกกระหม่อมมาคงมิใช่แค่ทักทายทำความรู้จักและพูดคุยเรื่องในอดีต ในเมืองหลวงต่างลือกันว่าพระองค์ตายไปแล้ว แต่เหตุใดตรงหน้ากระหม่อมคนยังอยู่เล่าพะย่ะค่ะ"
"เช่นเดียวกับสกุลเฟิ่งกระมังที่ถูกล้างตระกูลไปแล้ว เหตุใดคุณชายน้อยจึงยังยืนอยู่ตรงนี้เล่า ที่มาวันนี้ข้ามีเรื่องอยากถามไถ่ท่านให้แน่ใจสักหน่อยไม่ได้มาต่อปากต่อคำ"
นิสัยต่อปากต่อคำของเซี่ยหนานอินกับซ่งจื่อหรูนี้ช่างเหมือนกันเสียจริงๆ ต่อให้ผู้อื่นไม่รู้แต่ทันทีที่เห็นหน้าเด็กคนนั้นเขาก็รู้ทันที
"เชิญท่านอ๋องถามเถิด หากตอบได้ข้าน้อยยินดีตอบพะย่ะค่ะ"
"เจ้าคงเคยเห็นท่านผู้เฒ่าเฟิ่งคนก่อนหรือไม่ ข้าไม่ได้หมายถึงเฟิ่งจื่อหยวนปู่ของท่าน แต่เป็นท่านผู้เฒ่าเฟิ่ง เฟิ่งอวิ่นเช่อปฐมบทของตระกูลเฟิ่งผู้นั้น"
"ทูลท่านอ๋อง หากเป็นท่านปู่ทวดของกระหม่อมๆมิอาจทราบ ท่านปู่มิชอบที่ท่านพ่อค้าขายการติดต่อคนในตระกูลนั้นน้อยมากพะย่ะค่ะ อีกอย่างลูกหลานไม่มีผู้ใดเคยเห็นเช่นกันพะย่ะค่ะ"
"ตอนเกิดเรื่องท่านจำอะไรได้บ้าง พอจะบอกได้หรือไม่"
จ้าวเฟยหย่งเอ่ยถาม เขามีเวลาไม่มากหากจะกลับเมืองหลวงจำเป็นต้องมีข้อมูลเยอะกว่านี้ เซี่ยหนานอินนึกถึงเหตุการณ์ที่พอจำได้จึงเอ่ยปาก
"เท่าที่จำได้ ครึ่งเดือนก่อนหน้าท่านปู่มาหาท่านพ่อ มอบของสิ่งหนึ่งไว้ให้บอกว่าช่วยส่งให้เพื่อนของท่านทางเหนือ และให้รีบออกเดินทาง แต่ท่านพ่อกลับล่องเรือลงมาทางใต้ จากนั้นท่านพ่อก็พากระหม่อมมาสกุลเซี่ยแล้วบอกว่าจะต้องไปยังที่แสนไกลไม่สามารพากระหม่อมไปได้ ต่อไปให้อยู่ที่นี่และเชื่อฟังท่านอาเซี่ยแล้วก็จากไป หม่อมฉันจึงเป็นเซี่ยหนานอินจนถึงทุกวันนี้ และจนถึงตอนนี้ก็ไม่ทราบว่าท่านพ่อไปที่ใด สิบห้าปีก่อนๆที่ฝ่าบาทขึ้นนั่งบัลลังก์ได้มาพบกระหม่อมครั้งนึง พอพระองค์ครองราชย์จึงย้ายกระหม่อมมาเป็นเจ้าเมืองที่นี่ สกุลเซี่ยจึงย้ายถิ่นฐานจากหยางโจวมาอยู่เมืองกว่างผิงพะย่ะค่ะ"
เซี่ยหนานอินเอ่ยเหตุการณ์เท่าที่จำได้ให้แก่จ้าวอ๋องฟัง จ้าวเฟยหรงยังติดใจบางเรื่องจึงถามต่อ
"ท่านเซี่ย วันที่ปู่ของท่านมาพบกับบิดาท่านมีผู้ใดมาด้วยหรือไม่"
"เรียนซื่อจื่อ วันนั้นมีเพียงท่านปู่มาคนเดียวขอรับ"
"แล้วเหตุการณ์หลังจากนั้นเล่า มีผู้ใดยังอยู่หรือหายไปหรือไม่ท่านได้สังเกตุหรือไม่"
เซี่ยหนานอินพยายามนึกก็จำได้ว่ามีสาวใช้ติดตามที่เป็นสินเดิมของมารดาหายไป
"มีสาวใช้ติดตามท่านแม่ตอนแต่งงานคนนึง นางชื่อหลิวม่าน นางหายไปไม่ได้ลงเรือมาด้วย รู้อีกทีก็ห่างจากเมืองหลวงถึงห้าร้อยลี้แล้วขอรับซื่อจื่อ"
"ขอถามท่านเซี่ยอีกคำ สาวใช้ผู้นั้นมีปานแดงที่ติ่งหูด้านซ้ายหรือไม่"
จ้าวเฟยหงถามเพื่อความแน่ใจ เซี่ยหนานอินพยักหน้า จ้าวเฟยหย่งมองหน้าบุตรชายเขารู้ว่าบิดาสงสัยจึงไม่เก็บงำ
"คนนั้นคือหลิวหมัวมัว คนสนิทของหลิวกุ้ยเฟยพะย่ะค่ะเสด็จพ่อ ดูท่าตระกูลหลิวไม่ได้เพิ่งวางแผนแต่น่าจะวางมานานแล้ว ถึงขนาดยอมเสียเกียรติขุนนางให้บุตรสาวแต่กับพ่อค้าวานิช"
เซี่ยหนานอินส่ายหน้าเขาไม่เชื่อว่าท่านแม่จะทรยศ จ้าวเฟยหย่งทราบดีว่าเขารู้สึกอย่างไรจึงเอ่ยขึ้น
"มารดาท่านไม่ได้ทรยศบิดาท่านแต่อย่างใด นางเองก็เป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ชายาของข้าถูกพิษตอนตั้งครรภ์ ขบวนของข้าถูกโจมตีระหว่างตามหาข่าวคราวบิดาท่าน ดูเหมือนหลิวกุ้ยเฟยผู้นี้ไม่ง่ายสักเท่าไหร่เทียบหลิวต่งผู้เป็นบิดาห่างชั้นเพียงนิด"
"เหตุใดต้องวางยาพิษพระชายากันพะย่ะค่ะ ในเมื่อพระชายาของท่านอ๋องมิใช่สนมฝ่าบาทสักนิด"
เซี่ยหนานอินไม่เข้าใจ จ้าวเฟยหรงจึงไขข้อข้องใจให้กับเขา
"เสด็จแม่ข้าเป็นน้องสาวฮองเฮา พวกนางมีแค่สองคนพี่น้อง หากเสด็จแม่ข้าเป็นอะไรไปเสด็จป้าอาจประชวร หากเกิดเหตุไม่คาดฝันตำแหน่งฮองเฮามิอาจว่างลงท่านว่าใครเล่าจะได้เป็นต่อ องค์ชายแปดรัชทายาทไร้มารดาสุดท้ายก็ต้องถูกรับเลี้ยงโดยนาง ในวังหลวงองค์ชายองค์หญิง และสนมไม่น้อยที่ป่วยตายไร้สาเหตุ"
"ที่แท้แล้ววังหลวงน่ากลัวถึงเพียงนี้เชียว"
เซี่ยหนานอินคิดไม่ถึง สตรีคนนึงเพียงแค่อำนาจกลับทำได้ถึงเพียงนี้ มีเหล่าบัณฑิตเริ่มเดินมาชมความงามของสวนไผ่บ้างแต่งกลอนบ้างร่ายกวี ทั้งหกคนจึงเอ่ยลา จ้าวเฟยหย่งประสานมือคาราวะเซี่ยหนานอิน
"รบกวนใต้เท้าเซี่ยเสียนาน วันนี้ข้าน้อยฮั่วเฟยหย่งกับบุตรชายต้องขอตัวก่อน ลานะขอรับ"
เซี่ยหนานอินรู้สึกกระดาก สองพ่อลูกคู่นี้ช่างเป็นคนคาดเดายากเสียจริงๆ พลิกหน้าเร็วเสียกว่ากระดาษ ยังมีฝ่าบาทผู้นั้นอีก เป็นครอบครัวที่ควรอยู่ห่างๆจริงๆ เขาต้องรีบกลับแล้วอาหารที่นังหนูนั่นให้มาเขายังกินไม่อิ่มเลยนะ
จ้าวเฟยหรงเดินตามมาเงียบๆ เขารู้ว่าบิดามีเรื่องปิดบังแต่หากเขาไม่อยากพูด คงไม่สามารถให้เอ่ยปากได้ ในใจจ้าวเฟยหย่งหนักอึ้งเขาเคยเห็นรูปคนผู้นั้นในโถงบรรพชนสกุลเฟิ่งที่อยู่ด้านหลัง ไม่ใช่โถงที่กราบไหว้ปกติทุกวัน ตอนนั้นเขามาเที่ยวสกุลเฟิ่งตามเสด็จพ่อแล้ววิ่งซุกซนจนหลงเข้าไป รูปภาพนั่นช่างเหมือนเด็กจื่อหูรคนนั้นอย่างกับแกะออกมาหากเติบใหญ่คงคล้ายคลึงถึงแปดส่วน โถงบรรพชนถูกไฟไหม้จนหมด มีคนตระกูลเฟิ่งไร้ผู้รอด มองดูบุตรชายตนเอง ก็ถอนหายใจตอนเกิดกบฏเขากับคนในจวนอ๋องถูกซ่อนอยู่ในห้องลับใต้ดินทีาสกุลเฟิ่งสร้างขึ้น ต่อให้บุตรชายไม่ได้มีใจให้นาง เขาเองก็ต้องปกป้อง พวกเขาติดหนี้บุญคุณคนสกุลเฟิ่ง หวังเพียงว่าเสนาบดีหลิวจะไม่เคยเห็นภาพนั้นเช่นกัน