Chapter 6 Mild fragrance
วันนี้ทั้งวันฉันไม่มีเรียนแต่ที่ต้องมามหาลัยเพราะน้อง ๆ นิเทศเขานัดให้ฉันมาซ้อมละครเวที เรามีเวลาทั้งหมดเดือนกว่า ๆ ซึ่งสำหรับฉันมองว่าเวลามันน้อยมากถ้าเทียบกับการทำงาน ละครเวทีครั้งนี้เรียกได้ว่าเปิดโอกาสให้นักศึกษาหลากหลายคณะได้เข้ามามีส่วนร่วม ต่างคนต่างมีหน้าที่ที่ตัวเองต้องรับผิดชอบตามความเหมาะสมและความสามารถของตัวเอง
“พี่ปังเหนื่อยไหมครับเดี๋ยวแบล็คไปหยิบน้ำมาให้”
“ก็ดีเหมือนกัน ขอบคุณนะคะ”
ฉันยิ้มให้แบล็คน้องนิเทศศาสาตร์ปี 2 แบล็ครับบทเป็นพระเอกของเรื่องนี้ เรียกได้ว่าเป็นม้ามืดจริง ๆ เพราะตอนคัดเลือกตัวนักแสดง ฉันคิดว่าน้องอีกคนที่หล่อเซอร์ ๆ อยู่สถาปัตย์ปี 2 จะได้ สุดท้ายดันเป็นเด็กหน้าตี๋ใส่แว่นทรงเหมือนคุณหมอซะงั้น แต่ขอบอกไว้เลยนะ ว่าตอนแบล็คถอดแว่นคือหล่อมาก เห็นครั้งแรกใจเต้นผิดไปหลายจังหวะเหมือนกัน
“น้ำครับพี่ปัง”
แบล็คเปิดขวดน้ำเปล่าพร้อมกับใส่หลอดให้ฉันเรียบร้อย
“บริการดีไปไหมครับคุณพระเอก5555”
ฉันรับขวดน้ำจากแบล็คมาดื่มเพื่อดับกระหาย เราใช้เวลาพักแค่ 10นาที แล้วเริ่มซ้อมบทกันต่อเพราะเวลามีไม่มากนัก
“ขอโทษนะครับพี่ปัง”
“ไม่เป็นไร ๆ พี่รู้มันเป็นอุบัติเหตุ”
ฉันโบกมือไปมาเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรจริง ๆ เมื่อกี้มันผิดพลาดนิดหน่อย ในบทตอนที่นางเอกพูดประโยคนี้จบ พระเอกต้องดึงนางเอกเข้ามาใกล้ ๆ แต่จังหวะมันพลาด เพราะปากแบล็คชนเข้าที่หน้าผากฉันเต็ม ๆ เหมือนตั้งใจจับวาง
“ว่าแต่พี่ปังใช้ยาสระฉันอะไรเหรอครับกลิ่นหอมดี ผมว่าจะไปซื้อมาใช้บ้าง”
“หอมเหรอ พี่ว่ามันก็ปกตินะ”
ฉันอยากจะถอดหัวตัวเองออกมาดมบ้าง ใช้มาเป็นปี ๆ พึ่งรู้ว่ามันหอมขนาดนั้น
“หอมสิครับ กลิ่นแบบนี้หอมมาก..."
แบล็คขยับเข้ามาใกล้ฉันอีกนิดแล้วโน้มหน้าลงมาให้อยู่ระหว่างศีรษะของฉัน สงสัยแบล็คคงจะชอบกลิ่นนี้จริง ๆ
“อ่า...ได้เวลาพักเที่ยงแล้วเราไปกินข้าวกันเถอะ”
ฉันถอยหลังให้ห่างจากแบล็คเล็กน้อย แล้วเอ่ยชวนเจ้าตัวไปกินข้าวด้วยกัน เพราะนี่มันก็เที่ยงกว่า ๆ แล้ว เห็นฝ่ายสวัสดิการตะโกนบอกให้พักแล้วด้วย
ฉันนั่งมองกล่องข้าวผัดในมือก็รู้สึกเอียน ๆ มันเบื่อยังไงไม่รู้ ตักกินไปได้ไม่กี่คำก็ปิดฝากล่องแล้วยกน้ำขึ้นดื่มตาม
“ไม่อร่อยเหรอครับ ผมเห็นพี่ปังกินไปนิดเดียวเอง”
แบล็คที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยถามฉัน จะบอกว่าพี่ไม่อยากกินข้าวผัดแต่อยากกินกะเพราหมูสับในมือเรามากกว่า จะดูเป็นการเสียมารยาทไปไหม ตอนแรกที่เขาให้หยิบกล่องข้าว ฉันก็ไม่ได้ฟังเหมือนกันว่ามีอะไรบ้าง ไปถึงก็หยิบ ๆ อย่างเดียวเพราะคิดว่ากล่องไหนก็เหมือนกัน
“เรามาแลกกันไหมพี่ปัง ผมอยากกินข้าวผัดของพี่อะ”
ฟ้าเต็มใจส่งเทพบุตรหน้าตี๋มาโปรดฉันแล้ว ปังรักฟ้า รักน้ำ รักปลา รักซากุระ
“จะดีเหรอ คือพี่กินไปแล้วนะ”
ปากพูดว่าจะดีเหรอ แต่มือคือกำลังยื่นข้าวกล่องของตัวเองให้น้องแล้ว เธอมันใจง่ายนังปัง!
“พี่ปังนี่ตลกดีนะครับ5555 แถมยัง...น่ารักด้วย”
“เมื่อกี้เราพูดว่าอะไรนะ พอดีพี่ได้ยินไม่ชัด”
ฉันถามแบล็คออกไปคือได้ยินแต่ประโยคแรกอะ ประโยคหลังเหมือนแบล็คบ่นกับตัวเองมากกว่า หรือไม่ก็เป็นเพราะความหูตึงของฉันเอง
“เปล่าครับไม่มีอะไร พี่กินไปก่อนนะครับ ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำแป๊บหนึ่ง”
“โอเค ขอบใจสำหรับกะเพรากล่องนี้นะ”
ฉันยิ้มจนตาปิดเป็นการขอบคุณแบล็ค คนอะไรจะใจดีขนาดนี้ ภาพคุณหมอใส่แว่นหน้าตาเป็นมิตรกำลังยิ้มให้คนไข้นี่ลอยมาเลย เสียดายที่ แบล็คเรียนนิเทศ ไม่งั้นฉันคงเรียกแบล็คว่าคุณหมอไปแล้ว
*****
วันนี้เปอร์บอกให้ผมมารับน้องที่มหาลัย เนื่องจากมันติดงาน ส่วนผมเหรอ...โยนงานให้คริสตินจัดการเรียบร้อย บอกเลยว่าเรื่องน้องถึงไหนถึงกัน ผมถามนักศึกษาแถวนี้ว่าเขาซ้อมละครเวทีกันที่ไหน โชคดีที่เจอรุ่นน้องที่รู้จักมันเลยพาผมมาส่งถึงที่ แถมยังเป็นคนเขียนบทสำหรับละครเวทีครั้งนี้ด้วย
โรงละครขนาดใหญ่ที่บรรจุคนได้หลายร้อยคน บนเวทีมีผ้าม่าน สีแดงเป็นฉากหลัง เป็นครั้งแรกที่เข้ามาที่นี่ ถึงผมจะจบมาจากมหาลัย แห่งนี้แต่ไม่เคยมาดูละครเวทีของมหาลัยเลยสักครั้ง ที่รู้จักคนเยอะก็อาศัยหน้าตาและความอัธยาศัยดีเข้าช่วยทั้งนั้น อย่านะครับผมรู้ว่าทุกคนกำลังคิดอะไรกันอยู่ ผมเป็นผู้ชาย เรื่องอย่างว่ามันก็มีบ้าง แต่ไม่ค่อยนิยมกินคนในมหาลัยเดียวกันเท่าไหร่ รู้สึกว่ามันมีปัญหาเยอะ ถ้ามีก็แบบคุยเล่น ๆ ไปกินข้าวดูหนังมันก็พอมีบ้าง แต่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอะไร ก็ใจผมน่ะมันยกให้น้องคนนั้นไปหมดแล้ว น้องคนที่ตอนนี้นั่งแจกยิ้มให้คนอื่นเขาไปทั่ว ใครพูดด้วยก็ดูจะอารมณ์ดีมีความสุขไปหมด
หลายคนที่เห็นผมเดินมาก็เริ่มหันไปซุบซิบนินทากัน บ้างก็หันมายิ้มหวานให้ผมโดยเฉพาะน้องผู้หญิง ที่ดูจะทำหน้าเคลิ้มเหมือนเจอดาราที่ตัวเองชื่นชอบ บอกแล้วว่าความหล่อผมมันไม่ได้มาเล่น ๆ
“พี่ปังครับ วันนี้ให้ผมไปส่งนะ”
ไอ้เด็กหน้าตี๋นั่นใคร ทำไมถึงดูสนิทสนมกับน้องขนมปังนุ่มฟูของผมขนาดนี้ แล้วที่มันบอกว่าจะไปส่งนั่นคืออะไร?
อีกแค่ไม่กี่ก้าวผมก็จะเดินไปถึงน้องอยู่แล้ว แต่พอเห็นไอ้หน้าตี๋ที่ยืนคุยกับน้องอยู่ตรงนั้น ขาผมมันก็ก้าวไม่ไปเสียดื้อ ๆ
“เดี๋ยวพี่มีคนมารับอะ”
ผมมองน้องที่กำลังคุยกับไอ้เด็กหน้าตี๋ คนอื่น ๆ เขารู้กันหมดแล้วว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ เว้นเสียแต่น้องนั่นแหละ เคยรู้อะไรบ้างไหมครับคุณเขมินท์!
“แฟนพี่ปังเหรอครับ”
“ไม่ใช่แฟน แต่เป็นพี่ชายต่างหาก”
ผมรู้สึกเหมือนกำลังจมน้ำทั้งที่ตัวเองก็ว่ายน้ำเป็น พี่น้องโซนนี่มันเข้าแล้วออกยากเหมือนกันนะ
“น้องปัง พี่มารับแล้วครับ”
ผมเดินเข้าไปแทรกบทสนทนาของทั้งคู่ ไม่รอให้น้องได้ทักท้วงอะไรผมก็ดึงมือน้องให้เดินตามออกมา
“อ้าว...แล้วพี่เปอร์ไปไหนล่ะคะ ทำไมวันนี้พี่อิทถึงมารับปังได้”
น้องเอียงคอถามเหมือนที่ชอบทำ ผมเปิดประตูรถให้น้องแล้วเดินอ้อมมานั่งที่ประจำคนขับ
“เปอร์ติดงานครับ วันนี้พี่ว่างเลยมารับเรา”
“แบบนี้น่าจะบอกกันซักหน่อย พี่อิทก็ไม่น่าลำบากเลย ถ้าปังรู้ก่อนว่าพี่เปอร์ไม่ว่าง จะได้ขอติดรถรุ่นน้องกลับบ้านเห็นว่าไปทางเดียวกันพอดี”
น้องพูดพร้อมกับเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์เล่นไปด้วย ผมแอบเห็นว่าน้องเข้าไลน์ไปบ่นเปอร์ที่ทิ้งตัวเองอีกแล้ว
“พี่ไม่ลำบากอะไรเลย แถมยังเต็มใจอีกด้วย แล้วก็นะ...เมื่อวานเราคุยกันว่าไงครับ”
ผมประคองใบหน้าหวานให้หันกลับมามองที่ผมแก้มนิ่ม ๆ ที่เคยได้จับคราวที่แล้ว สัมผัสของน้องฉันไม่เคยลืม
“พี่อิทบอกว่าอย่าไว้ใจใครง่าย ๆ ค่ะ”
น้องพยายามก้มหน้า แต่ติดมือผมที่จับหน้าน้องไว้อยู่ ผมรู้ว่าน้องกำลังงอนที่โดนดุ สงสัยเมื่อกี้น้ำเสียงผมจะแข็งกระด้างไปหน่อย
“ดีมากครับคนเก่ง เดี๋ยววันนี้พี่พาไปกินขนมแล้วค่อยกลับบ้านกันนะครับ”
ผมเกลี่ยแก้มนิ่มช้า ๆ อย่างเอ็นดู เหมือนโลกกำลังหยุดหมุนอีกครั้ง...ผมกำลังคิดไปเองใช่ไหมว่าใบหน้าน่ารัก ๆ ของน้องนั้นกำลังเลื่อนเข้ามาใกล้ฉันทีละนิด มันผิดคาดตรงที่อยู่ ๆ ผมก็เกิดปอดแหกหลับตาเพราะความตื่นเต้น กลิ่นหอมอ่อน ๆ ที่คุ้นเคย ทำให้รู้ว่าน้องไม่ได้ขยับออกไปไหนแถมมันยังใกล้ขึ้นกว่าเดิมมาก ๆ
ฟู่วว~
ลมเบา ๆ สัมผัสเข้าที่บริเวณดวงตาที่กำลังปิดสนิท
“มีอะไรติดขนตาพี่อิทก็ไม่รู้ ปังเอาออกให้แล้วนะคะ”
น้องยิ้มให้ผมแล้วถอยหลังกลับไปที่เดิม มือขาว ๆ ดึงเข็มขัดนิรภัยมาคาดที่เอวแล้วฮัมเพลงเบา ๆ เป็นทำนองที่น้องชื่นชอบ
“งั้น..เดี๋ยวพี่พาแวะร้านเค้กแถวมหาลัยนะ”
จบแล้วชีวิตผู้ชายแมน ๆ ความหงุดหงิดในโรงละครหลายไปทันทีเมื่อเจอน้องทำแบบนี้ใส่ผม แพ้ทางน้องไปหมดทุกอย่างแล้วว่ะอิท
ไม่รู้จะน่ารักไปเพื่อใคร...
ใจพี่ก็มีแค่นี้ เราช่วยน่ารักให้น้อยลงกว่านี้ได้ไหมครับ...
*****
“วนิลาชิ้นหนึ่งค่ะ เครื่องดื่มขอเป็นน้ำเปล่ากับกาแฟดำ แค่นี้แหละค่ะ”
น้องใช้สายตามองเมนูอยู่สักพักก็เอ่ยสั่งพนักงานที่กำลังยืนรอรับออเดอร์ วนิลาของโปรดน้อง ส่วนกาแฟดำ...ของผมองครับ
เวลานี้ก็ยังไม่หยุดน่ารัก...น้องครับ พี่อิทคนนี้จะไม่ไหวแล้วนะ
“มองดูแล้วที่นี่ไม่มีดาร์กช็อคเข้ม ๆ เลย ผังเลยสั่งกาแฟดำให้พี่อิทแทน”
ความใส่ใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนตัวเล็กตรงหน้า ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นไปยีผมนุ่ม ๆ ของน้อง
เค้กและเครื่องดื่มเริ่มถยอยมาส่งที่โต๊ะ บรรยากาศในร้านตอนนี้ดูวุ่นวายไปหมด เพราะเป็นเวลาที่นักศึกษาเลิกเรียนกันแล้ว ส่วนน้องก็คอยเล่าเรื่องราวที่ซ้อมละครเวทีวันนี้ให้ผมฟัง ทุกครั้งที่น้องยิ้มผมก็มักจะยิ้มตามไปด้วยเสมอ เว้นเสียแต่เรื่องเดียวคือไอ้เด็กหน้าตี๋นั่น! แบล็คนิเทศปี 2 พระเอกที่เล่นคู่กับน้อง เวลาน้องพูดถึงมันก็มักจะยิ้มไม่ก็ขำออกมา และเรื่องที่ทำให้ผมโมโหที่สุดก็คือเรื่องที่มันกล้ามาดมผมของน้อง! ถึงน้องจะบอกว่ามันเป็นอุบัติเหตุก็เถอะ แต่มองจากดาวอังคารยังรู้เลยว่าไอ้ตี๋นั่นมันตั้งใจชัด ๆ ไม่พอยังมีหน้ามาชมด้วยว่าผมน้องหอม ไอ้ตี๋นี่มันวอนไม่รู้เลยหรือไง ว่าของใครเป็นของใคร
“พี่ว่าวันนี้เราหัวเหม็นนะปัง”
น้องตาโตมองผมที่อยู่ ๆ ฉันก็พูดออกไปแบบนั้น เป็นใครได้ฟังคงจะอายไม่น้อยที่มีคนมาบอกว่าเราหัวเหม็น
“จริงเหรอพี่อิท แต่ปังพึ่งสระฉันมาเมื่อวานเองนะ แงงงแล้วนี่คือแบล็คหลอกปังเหรอ”
ปากเล็ก ๆ สีเชอร์รี่เริ่มเบะออก มือที่เคยถือช้อนตักขนมอยู่ก็เอามาลูบ ๆ หัวตัวพยายามที่จะดมกลิ่นมัน
“เราทำแบบนั้นจะไปได้กลิ่นได้ไง เดี๋ยวพี่พิสูจน์ให้อีกรอบดีกว่า”
ผมลุกขึ้นโน้มตัวไปหาน้องที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กลิ่นผลไม้อะไรสักอย่างที่คาดว่าน่าจะเป็นแตงโมมันหอมจนเตะจมูกมาจากเส้นฉันของน้อง ผมสูดดมจนพอใจแล้วถึงกลับมานั่งที่ตำแหน่งเดิมของตัวเอง
“หื้มม...หอมอยู่นะครับสงสัยพี่จะจำผิด5555”
ขอโทษที่พี่อดใจไม่ไหวนะครับน้องขนมปัง