ชายสูงวัยผมรองทรงขาวโพลนทั้งศรีษะ โครงร่างสูงใหญ่ตามแบบฉบับของชาวตะวันตกในชุดเสื้อและกางเกงหม้อห้อมพร้อมไม้เท้าแกะสลักรูปพญานาคทั้งอันจากไม้สักทองอายุกว่าร้อยปี วางขนาบข้างบนเครื่องบินส่วนตัวมุ่งหน้าสู่กรุงเทพมหานคร นั่งเอนตัวพิงเบาะหนังนิ่ม สายตาครุ่นคิดอะไรบางอย่างภายใต้แว่นสีชานั้น
“คุณท่านจะไม่บอกเด็กๆก่อนหรือครับว่าจะไป ผมเกรงว่า...”
“จะเจอเซอร์ไพรส์เรอะ ดีสิ ฉันชอบอะไรที่มันเซอร์ไพรส์” สมิธยิ้มมุมปากส่งให้คำรน ลูกน้องคู่ใจสัญชาติไทย ที่อยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม และคงจะแก่และตายไปพร้อมๆกันอย่างที่ตนชอบพูดเล่นเวลามีใครทัก
สมิธลงจากเครื่องแล้วขึ้นรถที่จอดรอ ตรงดิ่งไปยังบ้านขนาดใหญ่กว่าร้อยไร่เรียบถนนตัดใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินแถบฝั่งธน แล้วลงมายืนมือไพล่หลังมองบรรยากาศโดยรอบ ก่อนเดินเข้าไปในบริเวณบ้านที่จากมานานหลายปี
“ว๊าย! ตาเถร คุณท่านมา”
“มาแล้วยังไง แม่จัน ทำไมต้องตกใจกันขนาดนั้นเล่า แล้วนี่หลานฉันไปไหนกันหมด”
“โธ่คุณท่านขา มาน่าจะบอกกันสักนิด อิฉันจะได้เตรียมห้องหับ สำรับกับข้าวไว้รอท่า”
“ฉันกินได้หมดนั่นล่ะแม่จัน แล้วนี่หลานๆฉันไปไหนกันหมด”
“เจ้าค่ะนายท่าน” หญิงรับใช้ชื่อจัน ที่อยู่มาแต่ยังสาวรุ่นพยักหน้ารับ ก่อนตอบ “คนโตยังไม่กลับหรอกเจ้าค่ะ ส่วนคนเล็ก” แม่จันรายงานถึงหลานชายเจ้าของบ้านยังไม่ทันจบความดี รถ SUV นำเข้าสีขาวก็เลี้ยวเข้ามาในรั้วบ้าน
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาดูสำรวยเดินลงมา แล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนเพ่งดวงตาสีเทาแต่อ่อนจางกว่าผู้พี่จนแน่ใจ เจ้าตัวสาวเท้าเร็วๆมายังบุรุษเบื้องหน้าแทบจะทันที “แกรนด์ป๊า”
“ไอ้หลานคนเล็กของปู่” สมิธโอบกอดชายหนุ่มผู้เป็นดังแก้วตาดวงใจแนบแน่นจนหายคิดถึง ผลักออกจนเห็นหน้าชัดหลานชายของเขาถอดเอาเค้าโครงของภรรยาออกมาเกือบครึ่งเลยทีเดียวเจ้าตัวดีถึงได้มีโครงหน้าได้รูป ดวงตาเป็นประกายวาวๆต่างจากคนพี่ที่ดูดุดันลิบลับ ไหนจะเป็นจมูกและปากที่รับกันอย่างเหมาะเจาะดูอ่อนโยนอบอุ่นกว่าคนพี่นัก แล้วพากันเดินเข้าบ้านไปหลังจากนั้น ถามหาหลานชายอีกคนที่ชอบงัดข้อกันอยู่เป็นนิจ
“แล้วนี่พี่แก เขาจะกลับไหมวันนี้”
“กลับฮะ ไม่กลับแล้วจะไปนอนไหนล่ะฮะ” มืออีกข้างของคนพูดที่ถือโทรศัพท์ลอบกดสายโทรออก แต่แล้วก็ต้องชะงักมือเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงของคนเป็นปู่ดักเอาไว้ก่อน
“ไม่ต้องโทรบอกมันนะว่าปู่มา”
“ฮะ” เอ็ดเวิร์ดรับคำก่อนยิ้มแหย ยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ปู่ไม่ให้โทรบอกเขาก็ตั้งใจจะไม่โทรบอก แต่จะส่งข้อความไปแทน
“อย่าหัวหมอนะเว้ย ไม่ให้โทร แต่แอบส่งไลน์ ปู่จะเพ่นกบานแกให้” ชายสูงวัยที่รู้จักเทคโนโลยีมากพอดักคอด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด บอกให้รู้ว่าไม่ได้พูดเล่น
“แหมปู่ก็...รู้จักไลน์ด้วยเหรอฮะ โธ่”
“ไม่ต้องมาทำเป็นเปลี่ยนเรื่อง” สมิธถูกหลานรักพาเข้ามาห้องโถงขนาดใหญ่ในตัวบ้าน นั่งคุยกันอีกครู่ใหญ่ รถอีกคันก็ขับเข้ามาพอดี เอ็ดเวิร์ดแอบพ่นพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เบลคเดินเข้ามาหลังจากนั้น ปรายตาสีเทามองชายสูงวัยด้วยความเฉยชา อดแขวะไม่ได้ว่า
“มาดูแลผลประโยชน์เหรอครับ หรือกลัวใครโกง”
“อย่ามาทำปากดีกับฉันนะ แล้วนี่ลียาไปไหน” สมิธถามหาเด็กสาวที่ตนเองอุปถัมภ์ค้ำจุนมานานกว่ายี่สิบปี เมื่อรออยู่นานก็ไม่เห็นหน้าค่าตาเสียที
“เธอไม่ได้พักที่นี่ฮะ ออกไปเช่าห้องกับเพื่อน” เป็นเอ็ดเวิร์ดที่บอก
“ทำไมต้องออกไปพักข้างนอก ไม่มีใครทำให้ลียาของฉันต้องลำบากใจใช่ไหม”
“ใครจะกล้าแตะอาลียาของคุณท่านได้เล่าครับ” เป็นเบลคที่เย้าแหย่เสียงเย้ยหยันจนสมิธได้ยินแล้วหนวดกระตุกตึ้บๆ รู้สึกแปร่งๆในคำตอบของหลานชายคนโต
“ดีแล้ว ลียาไม่อยู่ก็ดี ฉันมีข่าวดีจะบอกพวกแกสองคน”
“เรื่องอะไรเหรอฮะปู่”
“ปีนี้แกอายุเท่าไรเบลค”
หลานชายคนโต นั่งลงตรงข้ากับคนถาม ก่อนตอบเสียงเรียบ “สามสิบเจ็ดครับ”
“แกเคยบอกปู่ใช่ไหมว่าแกยังสนุกกับงานอยู่”
“ครับ”
“แล้วแกล่ะเอ็ด”
“สามสิบแล้วครับ”
“ดี กำลังดี ฉันจะให้แก เอ็ดเวิร์ดกับลียา แต่งงานกัน”
“อะไรนะฮะ”
“ไม่ได้นะครับ ไหนคุณท่านบอกเองว่ายัยนั่นน่ะเหมือนน้องสาวพวกเรา แล้วจู่ๆจะมาจับน้องแต่งงานกับพี่แบบนี้มันได้ยังไง” เบลคค้านจนเหงื่อท่วม ปากบอกว่าเป็นน้องสาว แต่เจ้าตัวก็จัดการน้องสาวเสียจนกลายเป็นพี่น้องท้องติดกันไปเสียแล้ว อีกทั้งคนถูกจับแต่งเองยังตกใจจนเถียงไม่ออก ได้แต่เป็นลูกคู่รับ “ใช่ฮะปู่”
“แล้วอีกอย่าง คนไทยเขาถือกันไม่ใช่เหรอครับ ว่าน้องแต่งก่อนพี่มันไม่ดี”
“ก็แล้วใครว่าจะให้เอ็ดมันแต่งก่อนกันเล่า”
สมิธกอดอกบอกสองหลานด้วยสีหน้าชื่นมื่น
“แกน่ะ ฉันหาไว้ให้แล้ว แกแต่งก่อนน้องเบลค ส่วนเอ็ดเวิร์ด อีกปีค่อยลงเสาเอก”
“ไม่นะปู่”
สองพี่น้องครางพร้อมกัน สายตาของคนพี่มองหน้าน้องชายนิ่ง ใจเต้นรัวแรงเมื่อได้ฟังคำประกาศิตนั้น ทั้งคู่รู้ดีว่าปู่ของเขาเด็ดขาดและเผด็จการแค่ไหน หากลองว่าได้คิดและตัดสินใจเรื่องใดแล้ว ไม่มีคำว่าผ่อนปรนหรือปรับเปลี่ยนใดๆทั้งสิ้น
อาลียาเองก็ช็อคไม่ต่างจากเอ็ดเวิร์ด เมื่อทราบข่าว เพราะรู้ว่าลลิลกับเอ็ดเวิร์ดคบกัน แต่จะให้ปฏิเสธปู่ก็คงไม่ได้ ถึงแม้สมิธจะเป็นผู้ใหญ่ใจดี แต่ท่านคือคนที่ถือเอาตนเองเป็นใจกลางจักรวาล คำไหนคำนั้น เธอไม่เคยเห็นมาก่อนที่สมิธตัดสินใจอะไรแล้วจะมาเปลี่ยนใจภายหลัง
“แล้วเราจะทำยังไงดี ลียา” เอ็ดเวิร์ดถามเสียงร้อนรน แทนที่จะเป็นเธอ
“ใจเย็นก่อนนะคะพี่เอ็ดเวิร์ด ก็ไหนปู่ว่าจะให้เบลคแต่งไปก่อนไม่ใช่เหรอ ลียาว่าเรายังมีเวลาอีกนานที่พอจะแก้ไขเรื่องนี้ได้”
หญิงสาวเรียกคนตรงหน้าด้วยพี่นำหน้า เพราะเคารพและรักอย่างที่ปากเรียก ต่างจากพี่ชายของเขาที่เธอแทบจะไม่อยากเอ่ยถึงอีกฝ่ายเลย จะเรียกก็เรียกชื่อไปเลย ไม่มีคำว่าพี่น้องกันอีกต่อไปแล้ว
“พี่ควรบอกปู่ว่ามีคนที่ต้องการแต่งงานแล้ว ดีไหม ลียา”
“ก็ดีนะคะ ลองเลียบๆเคียงๆดูก่อนก็ดี” อาลียาสนับสนุนตาม แม้ในหัวจะมั่นใจกว่าครึ่งว่าวิธีนี้อาจจะไม่ได้ผลเท่าไรนัก แต่ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไร เธอเองก็ไม่สามารถแต่งงานกับเอ็ดเวิร์ดได้เท่าๆที่เขาไม่สามารถแต่งงานกับเธอได้เช่นกัน
“ลิลล่ะคะ ลิลรู้เรื่องนี้หรือยัง”
“ยัง” เอ็ดเวิร์ดส่ายหน้า ส่งเสียงจิ๊กจั๊กในปากคล้ายคนถูกขัดใจ หงุดหงิดแล้วใช้ความคิดอย่างหนักว่าจะเอาอย่างไรต่อดี
“พี่จะบอกลิลไหมคะ”
“ไม่รู้สิลียา ตอนนี้พี่คิดอะไรไม่ออกแล้ว”
อาลียาเอนตัวพิงผนักเก้าอี้ ถอนหายใจยาวอย่างคนคิดไม่ตกเช่นกัน เธอกับเอ็ดเวิร์ดโตมาด้วยกัน แม้จะไม่ใช่พี่น้องกันแท้ๆ แต่ก็รักเขาแบบพี่ชายจริงๆ เอ็ดเวิร์ดห่วงใยและเอาใจใส่เธอมากกว่าพี่ชายของเขาเสียด้วยซ้ำ พอมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมาทั้งสองคนก็ได้แต่คิดไม่ตก ให้แต่งงานกันจริงๆคงเป็นไปไม่ได้แน่ เพราะเธอไม่ได้รักเอ็ดเวิร์ดแบบคนรักเลยแม้แต่น้อย
“พี่ว่าเรื่องของเรายังอีกนาน พี่จะลองเข้าไปคุยกับปู่ดูอีกที เผื่ออะไรอะไรมันอาจจะไม่ได้ยุ่งยากแบบที่เรากังวลก็ได้นะ”
“ดีค่ะ” อาลียาพยักหน้า ภาวนาขอให้เป็นแบบที่เอ็ดเวิร์ดปลอบใจเถอะ
เย็นนั้นเอ็ดเวิร์ดจึงกลับไวกว่าทุกวัน เมื่อมาถึงชายหนุ่มคลานเข่าเข้าไปหาสมิธที่นั่งก้มหน้ากับจอสี่เหลี่ยมในมืออยู่คนเดียวในห้องโถง
“ปู่ทำไรอยู่ฮะ”
“เล่นแคนดี้คัชฝึกสมองหน่อย มีอะไรล่ะเราน่ะ อย่าบอกนะว่าจะมาขอยกเลิกงานแต่ง เพราะตัวเองมีคนที่คิดจะแต่งอยู่แล้ว” สมิธตอบทั้งๆที่สายตายังคงจดจ้องที่หน้าจออย่างมีสมาธิ
เอ็ดเวิร์ดหน้าซีด กลืนน้ำลายลงคอเมื่อเสียงของปู่ไม่ได้บอกเลยว่าพูดเล่น
“มุกนี้พี่แกเค้าใช้ไปแล้วเมื่อเช้า และถ้าแกใช้ซ้ำกับพี่แก เราจะได้เห็นดีกัน” สมิธกดพอสที่หน้าจอ แล้ววางลง ก่อนจะหันมาฉะกับหลานชายตัวดี “ฉันเลี้ยงพวกแกมากับมือ เบลคนั่นโตแล้ว ตอนพ่อแกเสีย แต่แกนะเอ็ดเวิร์ด แกยังแบเบาะอยู่มาก แกรู้หรือเปล่าว่าการเลี้ยงเด็กเล็กสักคนมันยุ่งยากและลำบากแค่ไหน ฉันต้องอดตาหลับ ขับตานอน ป้อนนม กล่อมแกนอน เช็ดขี้เช็ดเหยี่ยว ล้างก้น เลี้ยงแกมายิ่งกว่าพ่อแกที่ตายไปแล้วเสียอีก แล้วแกยังจะกล้าขัดใจฉันอีกก็ลองดู”
เอ็ดเวิร์ดกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่ แย้งเสียงอ่อย “แล้วทำไมผมต้องแต่งกับลียาด้วยล่ะฮะปู่”
“ลียาเป็นเด็กดี น่ารัก เรียบร้อย...” ยังไม่ทันที่ท่านจะเอ่ยปากจนจบ เอ็ดเวิร์ดก็ท้วงขึ้น
“ปู่ไม่ถามความสมัครใจของลียาก่อนเหรอฮะ”
“ลียาน่ะบอบบาง ขี้เกรงใจ ปู่เชื่อว่าปู่สรรหาสิ่งที่ดีที่สุดแล้วให้พวกแก รวมถึงลียาด้วย ปู่เลือกแล้วก็เป็นอันเด็ดขาด ไม่ต้องถามให้มากเรื่องมากความอีก”
เอ็ดเวิร์ดเบี่ยงสายตาหลบผู้เป็นปู่ ลอบระบายลมหายใจด้วยความหนักหน่วงในอก อย่างนี้แล้วเขาจะทำอย่างไรได้อีก พอคล้อยหลังปู่เจ้าตัวก็นึกขึ้นได้
เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อนปู่ไม่ได้ให้พี่เลี้ยงหรอกหรือทำหน้าที่บลา บลา บลา พวกนั้นที่ปู่พล่ามมา นี่เขาเสียรู้ปู่เข้าให้แล้วละมัง
เอ็ดเวิร์ดออกมาข้างนอกหลังจากนั้น แล้วโทรหาลลิลให้ออกมานั่งเล่นในห้องชุดที่เขาซื้อไว้ด้วยกัน สองจิตสองใจว่าจะบอกเธอดีหรือไม่ว่าโดนจับคลุมถุงชนกับลียา แต่แล้วก็คิดหนักกลัวสาวคนรักจะคิดมาก เขาควรแก้ปัญหานี้คนเดียวดีกว่า จนกว่าจะเรียบร้อยแล้วค่อยเล่าให้ฟังแบบขำๆ ด้วยนิสัยไม่เห็นอะไรเป็นอุปสรรคหรือเรื่องใหญ่ในชีวิต เขาคิดว่าทุกอย่างมีทางแก้ของมันเอง เมื่อเห็นว่าชายคนรักนั่งเหม่ออยู่หลายอึดใจแล้ว ลลิลก็เอ่ยปากถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรคะเอ็ด ลิลเห็นคุณทำหน้าตาเครียดๆมาตั้งหลายวันแล้ว เอ...จะว่าไปพี่ลียานี่ก็นั่งเหม่อลอยแบบนี้เหมือนกันนะคะ นี่ถ้าไม่รู้ ต้องคิดว่าคุณกับพี่ลียา...” เสียงหวานยังพูดไม่จบ เอ็ดเวิร์ดก็แทรกขึ้น
“ลิลลี่ฮะ คุณรักผมบ้างไหม”
“ถามอะไรแบบนั้นเล่าคะ ลิลไม่ใช่ผู้หญิงที่จะรักใครง่ายๆนะคะ คุณก็รู้นี่คะเอ็ด” ลลิลตอบพร้อมรอยยิ้มจางๆแต่แสนจริงใจ “แล้วลิลก็บอกคุณแล้วว่าถ้าลิลตกลงรักใคร ลิลก็จะรักไปตลอดไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ”
นายแบบหนุ่มกุมมือคนรัก ถามสีหน้าที่ดูจริงจังขึ้น “แล้ว...ลิลเคยได้ยินไหม ว่าคนรักกันไม่จำเป็นต้องแต่งงานกันเสมอไปน่ะ”
“คุณพูดเรื่องอะไรคะเอ็ด จะบอกอะไรลิลกันแน่คะ”
เอ็ดเวิร์ดสูดลมหายใจเข้าล้ำลึกแล้วตัดสินใจเล่าในที่สุด เมื่อพริตตี้สาวสวยนั่งฟังแต่ต้นจนจบเรื่องแล้วจึงแย้งขึ้นว่า “ทำไมคุณไม่บอกคุณปู่คุณไปละคะว่าเรารักกัน หรือคุณไม่ได้จริงจังกับลิลตั้งแต่แรก”
“โอ ไม่ใช่แบบนั้นนะลิล”
ลลิลที่มองลึกเข้าไปในแววตาลังเลของชายคนที่มอบใจให้เขาไปแล้วทั้งดวง ก็รู้สึกใจหายวาบ หรือเขาเองไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเธอเลย เจ้าตัวตัดใจผุดลุกขึ้นคว้ากระเป๋าได้ก็ทำท่าจะออกไปจากที่นี่เสีย
“ลิลครับ อย่าเพิ่งไป”
เอ็ดเวิร์ดตามมารวบเธอจากทางด้านหลังแล้วกอดรัดเสียแนบแน่น ลลิลโกรธปนน้อยใจจนเห็นช้างเป็นมด เธอผิดหวังในตัวเขา ที่เอ็ดเวิร์ดไม่กล้าปฏิเสธปู่ให้เป็นจริงเป็นจัง หรืออีกสาเหตุหนึ่งก็คงเพราะว่า เขาไม่ได้คิดจริงจังอะไรกับเธอเลย อย่างที่วาดฝันเอาไว้แต่แรก
“ปล่อยลิลเถอะค่ะ ลิลรู้ดีว่าคุณปฏิเสธคุณปู่ของคุณไม่ได้”
“ลิล”
“ลิลว่าเราเลิกกันเถอะค่ะเอ็ด ระหว่างเรามันคงเป็นไปไม่ได้ ลิลไม่อยากให้คุณต้องมีเรื่องผิดใจกับผู้ใหญ่”
“ไม่นะลิล ผมไม่ยอม” เอ็ดเวิร์ดส่ายหน้ากับกลุ่มผมลอนใหญ่สีน้ำตาลเข้มของหญิงสาวที่เขาพึงใจ ไม่อาจปล่อยให้เธอจากไปได้อย่างที่อีกฝ่ายบอก
“ปล่อยเถอะค่ะเอ็ด” ลลิลพยายามแกะมือหนาแน่นที่รัดรอบลำตัวบอบบางของตนเองออก แต่เหมือนอีกฝ่ายจะยิ่งรัดแน่นขึ้นไปอีก
“ไม่ลิล”
“ทำไมพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้นะ ฉันผิดหวังในตัวคุณจริงๆเลยนะ ปล่อยฉันได้แล้ว”
สรรพนามที่ลลิลจงใจใช้ก็พลันเปลี่ยนไปด้วย ด้วยความคิดชั่ววูบที่อยากให้เขาตัดใจจากเธอเสีย นั่นทำให้คนฟังรู้สึกเดือดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ไม่เคยเลยสักครั้งที่ลลิลจะแสดงกิริยาแบบนี้กับเขา พอดีกับที่มีสายเรียกเข้า โทรศัพท์ของพริตตี้สาวสวยถูกวางทิ้งไว้บนโซฟาเบดที่ทั้งคู่นั่งคุยกันก่อนหน้าดังขึ้น ซ้ำยังปรากฏชื่อ ‘เฮียเล้ง’ ทั้งคู่มองไปเห็นพร้อมกันพอดี ลลิลได้จังหวะจึงบอกเขาด้วยเสียงที่หมางเมินกว่าเดิม
“ปล่อย! ฉันจะรับสายแฟนฉัน เขาโทรมาตามแล้ว”
เอ็ดเวิร์ดได้ยินดังนั้นปล่อยร่างอรชรแล้วพุ่งไปคว้าโทรศัพท์ของเธอ กระชากเสียงถาม “ใคร ไอ้เล้งนี่มันใคร บอกผมมานะลิล
“จะใครล่ะคะ ก็คนที่ฉันคบอีกคนไง เอามานี่” ลลิลแสร้งตอบหน้าตาย ไม่ได้รู้สักนิดว่าการกระทำแบบนี้กำลังยั่วยุอารมณ์หึงหวงของอีกฝ่าย
“แฟนงั้นเหรอลิล แล้วผมล่ะ ผมเป็นไอ้งั่งรึไง”
เอ็ดเวิร์ดเขวี้ยงโทรศัพท์ที่ยังแผดเสียงลั่นใส่ฝาผนังด้วยอารมณ์เดือดดาลจนถึงขีดสุด แล้วกระชากแขนกลมกลึงของหญิงสาวที่ทำให้เขาทั้งรักและหลงเข้าไปในห้องพัก เหวี่ยงเธอลงกับเตียงอารมณ์หึงหวงพุ่งขึ้นจนเกินจะดับลงได้ “ปล่อยลิลนะ”
“ปล่อยให้โง่น่ะสิ นี่คุณมีแฟนอีกกี่คนกันแน่ ผมไม่น่าโง่หลงเชื่อเลยว่าคุณยังบริสุทธิ์ผุดผาด พวกโชว์เนื้อ โชว์หนัง ใช้เรือนร่างทำมาหากินแบบนี้ จะไปเหลืออะไร ผมมันโง่ใช่ไหมที่ปล่อยให้คุณไปนอนกับคนอื่น แล้วตัวเองได้แต่นั่งมองเหมือนหมามองปลากระป๋องน่ะลลิล”
เออนะ อีตาฝรั่งนี่ก็ช่างเปรียบ
“คุณมันบ้าไปแล้วนะเอ็ด”
“ผมยอมรับว่าผมบ้า ลลิล”
เสียงของเขาเยียบเย็น ดวงตาที่มองตอบเธอก็ดูเย็นชาจนคนฟังขนลุก ลลิลริมฝีปากสั่นระริก หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวด้วยความหวาดหวั่น เธอกลัวเขาขึ้นมาเสียแล้วตอนนี้
เอ็ดเวิร์ดฉกใบหน้าหล่อเหลาลงมาที่ริมฝีปากแดงสีสดของหญิงสาวที่สร้างความปั่นป่วนในใจ เขาบดจูบอย่างหิวกระหายปนกรุ่นโกรธที่คิดว่าคนที่ตนเองพึงพอใจถึงขั้นว่ารัก ไปมีสัมพันธ์มาแล้วกับคนอื่น มือไม้ของเขากดมือทั้งสองข้างแนบชิดติดที่นอน ลลิลดิ้นร้นเต็มที่ ปากร้องต่อว่าอย่างร้อนรน “เอ็ดเวิร์ดคุณมันบ้าไปแล้ว ฟังฉันอธิบายก่อนได้ไหม”
โกรธจนเลือดขึ้นหน้าไปแล้ว เขาปิดโสตประสาททั้งหมด พร้อมทั้งปิดปากเธอแล้วสอดลิ้นอุ่นลุกไล่ มือข้างหนึ่งของเขารวบมือสองข้างของเธอไปไว้บนศรีษะ ออกแรงกดเสียจนเจ้าตัวปวดระบมแปลบปลาบไปทั่วข้อมือ น้ำตารื้นขึ้นมาทันทีเมื่อคิดว่าชายที่ตนเองรักกำลังกระทำย่ำยีกับตน แต่จะส่งเสียงห้ามออกไปก็ทำไม่ได้คงได้แต่ส่ายหน้าหนีอย่างอดสู ชายหนุ่มซุกไซร้ลงมาที่ใบหู ลิ้นร้อนตวัดลามเลียไปจนทั่วสร้างความปั่นป่วนให้สาวสวยไม่น้อย
“เอ็ดเวิร์ดคะ ได้โปรด อย่าทำแบบนี้กับลิลเลยนะ”
เอ็ดเวิร์ดครางงึมงำไปบนเนื้อตัวนุ่มลื่นหอมละมุนของคนรัก จัดแจงดันเสื้อยืดพอดีตัวจนพ้นศรีษะทุยสวยได้รูปออกอย่างง่ายดาย ตามติดด้วยบราเนื้อนุ่มสีขาวที่ถูกดันออกจากถันสองข้าง ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะตามลงมาคลุกเคล้าไปทั่วอีกครั้ง ลิ้นร้อนร้ายป่ายปัดปลุกกำหนัดให้หญิงสาวกระเจิดกระเจิง หลุดเสียงครางออกมาในที่สุด มือหนาอุ่นร้อนขยับลงมาดันขอบกางเกงขาสั้นของคนใต้ร่างให้หลุดออกจากสะโพกงอนงาม แล้วไล้นิ้วลงไปตามช่องหลืบนั้นทันที
“โอ๊ะ! ไม่นะเอ็ดเวิร์ด อย่าทำกับลิลแบบนี้”
เมื่อพบกับความชื้นฉ่ำ เอ็ดเวิร์ดเกี่ยวขอบปราการสุดท้ายตามลงมาในที่สุด แล้วจัดการกับเสื้อผ้าของตนเองแบบไม่รีบร้อน ตามคมคร้ามจ้องมองร่างงดงามบนเตียงด้วยความเสน่หาเกินทานทน
“ลิล ผมรักคุณ”
แล้วลงมาคลุกเคล้า พร้อมแยกขาของตนเองลงหว่างขาของคนที่ตนบอกรัก แทรกตัวตนเข้าไปทันที ใบหน้างามสะบัดส่าย พร้อมน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม หน้าสวยสะบัดส่ายไปมาเพราะตนเองหมดหนทางเอาตัวรอด เอ็ดเวิร์ดตกใจจนต้องกัดฟันถอนตัวตนของเขาออกมาก่อน
“ลิล ผมขอโทษ”
เสียงสะอึกสะอื้นฮึกฮักดังขึ้นอีกครั้ง เจ้าของร่างบึกบึนบรรจงจูบปลอบทั่วใบหน้างาม ก่อนจะโลมเร้าให้คนใต้ร่างผ่อนเกร็งกาย มือหนาปลุกปลอบพร้อมรุกรานไปตามลำดับความต้องการของอารมณ์ ปลดปล่อยความต้องการให้หญิงที่ตนพึงใจ ก่อนแทรกกายลงลึก ขยับตามจังหวะจ้วงลึกหนักเบาจวบจนถึงฟากฝั่งแห่งความสุขสมไปพร้อมๆกันในที่สุด
ร่างงามที่ตะแคงหลังให้นอนเบิกตาโพลง เมื่อรับรู้ถึงความเงียบได้ครู่ใหญ่ เธอออกแรงขยับตัวออกจากการกอดก่ายทีละเล็กทีละน้อย แล้วพลิกตัวลงเตียงได้ในที่สุด ก่อนตัดสินใจหยิบเสื้อผ้าที่หล่นเกลื่อนกลาดเต็มพื้นพรมสีเทาหรูหราที่ปูอยู่ทั่วห้องชุดของเขาขึ้นมาสวมใส่มือไม้สั่นจนน่าโมโหที่ไม่สามารถควบคุมมันได้
เมื่อเรียบร้อยเธอออกจากห้องอย่างเงียบกริบ แวะกดเงินที่ตู้ออกมาจนหมดบัญชีแล้วตัดสินใจโบกแท็กซี่เพื่อให้ไปยังสถานีขนส่ง ส่งข้อความหาอาลียา บอกว่าเธอรับงานไว้ที่ต่างจังหวัดคงไม่อยู่ห้องอีกหลายวัน แล้วโทรหาญาติคนสนิทก่อนตัดสินใจเดินทาง ตั้งใจตัดขาดจากทุกคนที่นี่ พร้อมบอกตัวเองให้ตัดขาดจากเขาด้วย...เขา คนที่เธอรักสุดหัวใจคนนั้น