เหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งเดือนก็จะถึงวันทดสอบกำจัดปีศาจ ในช่วงเวลานี้ไป๋โม่อาศัยความทรงจำของดั้งเดิม ในการฟื้นฟูพลังและฝึกควบคุมกระบี่ให้เหาะอยู่บนท้องฟ้าได้เป็นเวลามากกว่าครึ่งชั่วยาม
โชคดีที่ในโลกก่อนนางเป็นคนฉลาดและเรียนรู้อะไรได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมาก็สามารถใช้พลังในร่างกายได้คล่องมือมากขึ้น อีกทั้งการไปทดสอบกำจัดปีศาจในครั้งนี้นางได้ขอยันต์วิเศษจากท่านอาจารย์มาหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นยันต์ระเบิด ยันต์ฟ้าผ่า หรือยันต์ไฟ นางก็ขอมาทั้งหมด
หญิงสาวจึงมีความมั่นใจได้เกินแปดส่วนว่าการไปทดสอบกำจัดปีศาจในครั้งนี้จะต้องผ่านไปด้วยดีอย่างแน่นอน
เวลาผ่านไปรวดเร็วในที่สุดวันแห่งการทดสอบก็มาถึง ด้านล่างตีนเขามีกลุ่มของลูกศิษย์ในสำนักรวมตัวกันอยู่ ไป๋โม่เห็นซูเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ ฉางคุน สายตาที่จ้องมองมาราวกับแม่ไก่ที่กำลังหวงไข่ ดูท่าว่าซูเหมยจะได้ยินข่าวลือระหว่างนางกับฉางคุนแล้วกระมัง
ไป๋โม่ถอนหายใจออกมา เรื่องนี้ซูเหมยจะมาโทษนางไม่ได้ วันนั้นนางตั้งใจที่จะออกไปอธิบายให้กับศิษย์น้องคนอื่นๆ ฟัง แต่เป็นฉางคุนต่างหากที่ไม่ยอมให้นางออกไปอธิบาย
หญิงสายหันไปมองฉางคุน สายตาของทั้งคู่สบกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นทั้งเขาและนางก็หันหน้าไปมองทางอื่น ไป๋โม่สั่งให้ทุกคนควบคุมกระบี่ไปที่สนามทดสอบ เมื่อบรรดาศิษย์น้องเห็นสถานการณ์ระหว่างคนทั้งคู่ พวกเขาก็แอบกระซิบกระซาบกันอีกครั้ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพูดกันเสียงเบาเท่าไหร่ แต่ว่าคนที่มีระดับพลังการฝึกบำเพ็ญ ก็ยังได้ยินอย่างชัดเจน
“มีข่าวลือว่าศิษย์พี่หญิงไป๋กับศิษย์พี่ฉางชอบพอกันมิใช่หรือ...ทำไมวันนี้ไม่เห็นจะเป็นแบบที่คนอื่นลือกันเลย” ศิษย์น้องคนหนึ่งถามออกมาด้วยความสงสัย
ศิษย์น้องอีกคนโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ และกระซิบอยู่ข้างใบหูของศิษย์น้องคนนั้น "เจ้ายังไม่เข้าใจว่านี่คือเหตุการณ์ของคู่รักที่กำลังทะเลาะกัน เจ้าไม่เห็นหรือ…ว่าสายตาของพวกเขาทั้งคู่แอบมองกัน ข้าว่าที่พวกเขาพาศิษย์พี่หญิงซูกับศิษย์พี่เสิ่นมายืนอยู่ใกล้ๆ คงเป็นเพราะต้องการทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกหึงหวงอย่างไรเล่า” หลังจากได้ยินการวิเคราะห์ของอีกฝ่ายคนข้างๆ ศิษย์น้องคนข้างๆ ที่ได้ยินก็มีดวงตาเป็นประกายรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาที่ได้ยินเรื่องเช่นนี้
ไป๋โม่ฟังการคาดเดาที่เลอะเทอะของศิษย์น้องทั้งหลาย แล้วก็มองไปที่เสิ่นอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลังนาง หญิงสาวก็เดินก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวโดยไม่รู้ตัว พยายามทำตัวห่างเหินจากเขา เสิ่นอี้เป็นคนที่ไร้เดียงสามาก เขาคือคนที่เคารพนางเป็นศิษย์พี่อย่างจริงใจจะให้เขามาแปดเปื้อนข่าวลือไร้สาระนี้ได้อย่างไร
แต่ซูเหมยเมื่อได้ยินที่พวกเขาแอบกระซิบกันนางก็รู้สึกไม่พอใจมาก หญิงสาวเคยได้ยินข่าวลือเรื่องของศิษย์พี่หญิงไป๋และศิษย์พี่ฉาง ด้วยความกังวลใจนางเคยไปสอบถามกับเขาด้วยตัวเอง แต่ศิษย์พี่ฉางกลับพูดว่า "เจ้าตั้งใจฝึกบำเพ็ญให้ดี พลังตบะจะได้เพิ่มมากขึ้นอย่าได้สนใจข่าวลือไร้สาระพวกนั้น”
แม้จะไม่ได้รับคำตอบปฏิเสธอย่างจริงจัง แต่ก็เห็นได้ว่าศิษย์พี่ฉางไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับข่าวลือเรื่องรักใคร่ของเขากับศิษย์พี่หญิงไป๋ ดังนั้นนางจึงสรุปเอาเองว่าเขาไม่ได้มีความรู้สึกใดๆ ให้กับอีกฝ่าย แต่เมื่อเรื่องนี้ถูกพูดถึงอีกครั้ง มันจึงทำให้นางสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
ซูเหมยยิ่งฟังการสนทนาของคนเหล่านั้น นางก็รู้สึกว่าภายในใจไม่มีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวนานจึงอยากตะโกนให้คนเหล่านั้นหุบปาก หญิงสาวไม่ได้สนใจชื่อเสียงของตนที่แต่เดิมเป็นคนอัธยาศัยดีมีแต่รอยยิ้มให้กับสหายร่วมสํานัก
ฉางคุนเห็นท่าทางของนางก็รีบส่งสายตาห้ามปราม ซูเหมยยิ่งเห็นศิษย์พี่ฉางคุนเป็นเช่นนี้นางก็ยิ่งไม่สบายใจ แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมา
เมื่อเห็นว่าซูเหมยสงบลง ฉางคุนก็พูดกับศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ "พวกเราไปเจอกันที่หน้าหุบเขาจางจื่อ เมื่อถึงที่นั่นแล้วทุกคนอย่าส่งเสียงดัง...คอยสังเกตและระวังอันตรายให้ดี" พูดจบเขาก็ควบคุมกระบี่เหาะขึ้นไปบนอากาศนำหน้าไปก่อน
ไป๋โม่เองก็ควบคุมกระบี่ตามไปเช่นกัน เมื่อมาถึงหุบเขาจางจื่อ นางก็บอกให้ทุกคนเดินกันเป็นกลุ่มอย่าแยกตัวออกไปเพราะไม่รู้ว่าในหุบเขานี้จะมีปีศาจอันตรายระดับสูงอยู่หรือไม่
แต่เดินกันไปสักพักเหล่าศิษย์ร่วมสำนักคนอื่นๆ ต่างก็ผ่อนคลายความตึงเครียดลงชั่วขณะเมื่อพบว่ายังไม่พบเจอปีศาจใดๆ พวกเขาจึงเริ่มพูดคุยและหัวเราะกันขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยและหัวเราะอยู่นั้น จู่ๆ พวกเขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างมาแทะที่รองเท้า แม้ว่าพวกเขาจะสวมรองเท้าแต่ความรู้สึกที่ถูกแทะก็ทำให้หนังศีรษะของพวกเขาชาวาบ
เมื่อมองลงไปเบื้องล่างก็เห็นหนูตัวอ้วนซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของหนูปกติ
บรรดาศิษย์ในสำนักทุกคนมักจะฝึกกระบี่บนภูเขาแต่พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์การต่อสู้จริง ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นสัตว์ประหลาดเช่นนี้และพวกมันก็กำลังแทะเท้าของตัวเอง บรรดาศิษย์เหล่านี้ต่างพากันกรีดร้องและกระโดดไปมาด้วยความตกใจจนลืมชักกระบี่ออกมาสังหารปีศาจหนู
ไป๋โม่ก็กลัวเช่นกัน แต่ยังไงซะนางก็เป็นศิษย์พี่หญิงที่อายุมากที่สุดในกลุ่ม ถ้านางแสดงความหวาดกลัวเหมือนพวกเขา บรรดาศิษย์น้องก็จะตั้งสติไม่ได้ สถานการณ์ก็จะยิ่งแย่มากกว่าเดิม
เฉินคุนและเสิ่นอี้ พวกเขาเป็นคนที่ตอบสนองได้เร็วที่สุด เป็นฝ่ายชักกระบี่ออกมาเพื่อกำจัดปีศาจหนู
ไป๋โม่เองก็เริ่มลงมือแล้วเช่นกัน ในการทดสอบปราบปีศาจครั้งนี้ขอเพียงแค่มีสัตว์ปีศาจออกไปให้นับคะแนนมากกว่าห้าสิบตัว ก็จะผ่านการทดสอบ แม้ปีศาจหนูจะเป็นสัตว์ระดับต่ำแต่ก็ถือว่าเป็นคะแนนได้เหมือนกัน
เสิ่นอี้คอยช่วยนางกำจัดปีศาจหนูอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่หญิงเป็นฝ่ายลงมือเอง เขาจึงหันไปช่วยศิษย์น้องคนอื่นๆ ในสำนัก
ไป๋โม่มองกลุ่มศิษย์น้องที่กำลังตกใจ นางแกว่งดาบจนหอบเหนื่อยแต่ก็พยายามตะโกนบอกพวกเขาว่าให้ชักกระบี่ขึ้นมาสู้ "พวกเจ้าคือผู้ฝึกบำเพ็ญ หากว่าพบเจอปีศาจเช่นนี้เพียงแค่ชักกระบี่ออกมาสู้ สัตว์ปีศาจเหล่านี้พวกมันอยู่ในระดับต่ำ พวกเจ้าสามารถจัดการมันได้!"
หลังจากได้ยินคำพูดของนาง ทุกคนก็ก้มหน้าด้วยความละอายใจ พื้นฐานการบ่มเพาะของพวกเขาสูงกว่าพี่น้องในสำนักคนอื่นๆ มาก ดังนั้นพวกเขาจึงมีโอกาสที่จะได้ออกมาทดสอบ แต่พวกเขากลับหวาดกลัวและตื่นตระหนกจากการพบเจอปีศาจระดับต่ำ นี่มันช่างเป็นเรื่องน่าละอายยิ่งนัก
สิ่งที่ไป๋โม่พูดช่วยกระตุ้นให้พวกเขากลับมามีสติ สถานที่ทดสอบแห่งนี้ค่อนข้างปลอดภัยเพราะในการทดสอบแต่ละครั้งทางสำนักจะส่งปรมาจารย์ระดับสูงมาตรวจสอบภายในหุบเขาเพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์วิญญาณในบริเวณนี้ไม่เป็นอันตรายต่อลูกศิษย์ในสำนัก หลายปีมานี้ไม่เคยเกิดเหตุผิดพลาดอะไรและลูกศิษย์ในสำนักทุกคนก็กลับออกไปอย่างปลอดภัย
หลังจากสงบสติอารมณ์อยู่พักหนึ่ง ทุกคนก็เดินทางกันเข้าไปในส่วนลึกของภูเขา ด้านในหุบเขานั้นมียันต์เคลื่อนย้ายอยู่ เมื่อพวกเขาไปถึงยันต์เคลื่อนย้ายและถูกส่งกลับไปที่ทางเข้าได้ พวกเขาก็จะผ่านการทดสอบในครั้งนี้
หลังจากได้ยินคำพูดของศิษย์พี่หญิงไป๋โม่ บรรดาศิษย์ร่วมสำนักทั้งหลายก็กลับมามีสติ และเมื่อเจอกับปีศาจระดับต่ำชนิดอื่น แม้ว่าพวกเขาจะยังประหม่าเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ชักกระบี่ออกมาต่อสู้ด้วยความกระตือรือร้น
ระดับการบ่มเพาะของสำนักกลุ่มนี้ค่อนข้างสูง พวกเขาร่วมมือกัน สัตว์ปีศาจระดับต่ำเหล่านี้จึงไม่ใช่ปัญหา
ในขณะที่นางกำลังฆ่าปีศาจหนู จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฉางคุนพูดว่า "ศิษย์พี่หญิง…ท่านปล่อยให้ศิษย์น้องคนอื่นๆ ฆ่าปีศาจหนูเถอะ"
ไป๋โม่หันไปมองตามเสียงและพบว่าคนอื่นๆ ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใด ดังนั้นนางจึงรู้ว่าฉางคุนกำลังพูดกับนางโดยใช้ยันต์ถ่ายทอดเสียง ซึ่งมีเพียงนางเท่านั้นที่ได้ยิน