3

1490 Words
‘จะสู้ก็ไม่สู้จะถอยก็ไม่ถอยจะเอายังไงแน่เนี่ย’ ณิชาคิดอย่างหัวเสียในใจ ไม่ใช่เธอคนเดียวที่คิดแบบนั้น น้องชายและลูกน้องของเขาก็คิดเช่นเดียวกับณิชาไม่มีผิดเพี้ยน การต่อสู้ครั้งนี้ไม่เหมือนการต่อสู้เอาเสียเลยคล้ายเด็กวิ่งเล่นไล่จับ “พี่ใหญ่เขาทำอะไรของเขาพี่แดน จะสู้ก็ไม่สู้วิ่งเล่นเป็นเด็กไปได้” รัฐศาสตร์พูดกับดินแดนที่ยืนมองทั้งคู่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม ดินแดนอยู่กับรัฐกฤตญ์มานานย่อมรู้ดีว่าเจ้านายกำลังทำอะไรอยู่ รัฐกฤตญ์กำลังหลอกล่อให้ณิชาหลงกลต่างหาก “ทำไมไม่สู้ซักทีล่ะ เอาแต่วิ่งไปวิ่งมาอยู่ได้” ณิชาพูดอย่างหัวเสีย “ก็สู้อยู่นี่ไง” รัฐกฤตญ์ตอบหน้าตาย ก่อนจะวิ่งไปรอบๆ ตัวของเธอ “สู้บ้าสู้บออะไรแบบนี้” ณิชาพูดพร้อมกับหมุนตัวตามร่างของเขา ที่วิ่งวนรอบตัวเธอ จนณิชาเริ่มรู้สึกเวียนหัวและตาลาย “ก็สู้แบบนี้ไง” ไม่ทันที่ณิชาตั้งตัวร่างของรัฐกฤตญ์เข้ามาทางด้านหลังร่างสาว ลำแขนหนากำยำโอบรัดร่างของณิชาทางด้านหลัง ออกแรงรั้งร่างบางให้แนบชิดกับเขา จนแผ่นหลังของสตรีร่างสวยแนบสนิทกับอกแกร่งแข็งแรงด้วยมัดกล้ามของฝ่ายชาย ณิชาพยายามดิ้นรนออกจากลำแขนอันทรงพลังนี้ แต่ก็ไม่สำเร็จและยิ่งสิ่งที่เขาทำต่อไปนี้ มันยิ่งทำให้คนในอ้อมแขนถึงกับตกใจมากขึ้นไปอีก รัฐกฤตญ์ก้มใบหน้าฝังจมูกลงที่แก้มนวลของณิชาทั้งซ้ายขวาข้างละสองครั้ง “ปล่อยนะไอ้บ้า ขี้โกงนี่หว่า ปล่อยสิวะ” ณิชาร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธระคนเขินอายที่โดนผู้ชายแปลกหน้าสวมกอดและหอมแก้ม “ไม่ปล่อย มีอะไรไหม” รัฐกฤตญ์ตอบกระซิบที่ข้างหูของณิชา มองดูใบหน้าที่เนียนใสกลับแดงระเรื่อไม่รู้ว่าเป็นเพราะความโกรธหรือว่าความเขินอาย แต่นั่นมันยิ่งทำให้เขารู้สึกใจเต้น พอใจกับภาพที่เห็น “มีแน่...นี่ไง” ณิชาเอนศีรษะไปข้างหน้าแล้วโยกกลับไปทางด้านหลังทำให้ศีรษะทางด้านหลังของเธอกระแทกโดนกึ่งจมูกกึ่งปากของเขาเต็มแรง “โอ๊ย!!!” เสียงร้องเจ็บของรัฐกฤตญ์ดังพอที่จะให้ทุกคนในที่นั้นได้ยินต่างจะวิ่งเข้ามาช่วยเจ้านายของตน ทว่าดินแดนห้ามไว้เสียก่อน เพราะการต่อสู้ในครั้งนี้รัฐกฤตญ์ไม่ประสงค์ให้ใครมาเกี่ยวข้อง รัฐกฤตญ์คลายลำแขนข้างหนึ่งออกจากเอวบาง แต่อีกข้างหนึ่งยังทำหน้าที่ของมันอย่างดี ดีจนณิชาไม่สามารถขยับหนีออกจากพันธนาการที่รัดแน่น นี้ได้ มือหนาข้างที่คลายจากเอวเล็กยกขึ้นสูงมาลูบคลำปลายจมูกของตน แล้วดันร่างสาวไปที่ฝาผนังห้องจัดเลี้ยง จากนั้นก็หมุนร่างของณิชาให้หันมาเผชิญหน้ากับเขา ด้วยความห่างที่ไม่มากนักทำให้คนทั้งสองได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ดวงตาสองคู่สบตากันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ณิชาหัวใจเต้นรัวและเร็วเพราะไม่เคยใกล้ชิดกับชายแปลกหน้าคนไหนระยะใกล้เท่านี้มาก่อน ความรู้สึกตอนนี้แตกต่างกับความรู้สึกยามที่ได้ใกล้ชิดธนาพลคู่รักของเธอ อ้อมแขนของธนาพลอบอุ่น แต่อ้อมกอดของเขาคนนี้มันร้อนเหมือนมีไฟมาแผดเผา ร้อนจนเธออยากจะผลักไสไปให้ไกลๆ รัฐกฤตญ์มีความรู้สึกบางอย่างวิ่งเข้ามาภายในจิตใจเมื่อได้ใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนี้ เหมือนมีพลังดึงดูดให้เขาตกอยู่ในอาการเคลิบเคลิ้ม หลุบสายตามองมาที่จมูกเรียวเล็กเลื่อนต่ำลงไปอีกนิดก็ถึงริมฝีปากบางสีชมพูอวบอิ่ม ดูเย้ายวน และเชิญชวนจนเขาอยากจะสัมผัส “ปล่อยนะ บอกให้ปล่อย” เสียงของณิชาดังขึ้น ทำให้เขาตื่นจากภวังค์ที่จมดิ่งลงไปลึกเพียงแค่ได้ใกล้ชิด ได้มองริมฝีปากน่าจูบของเธอ “เลิกพูดซะที รำคาญ” “จะให้เลิกพูดก็ได้ ปล่อย...” ยังไม่ทันที่ณิชาจะพูดจบประโยค เสียงที่จะถูกเปล่งออกมาก็ถูกปิดกั้นด้วยริมฝีปากหนาของชายร่างโต ที่บดเบียดเรียวปากบางอย่างเร่าร้อนดุดัน ณิชาพยายามส่ายหน้าหนีริมฝีปากร้อนที่กำลังแผดเผาเรียวปากของตนเองอยู่ ทว่ามันก็ไม่ได้เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากมือหนาข้างหนึ่งของเขาละจากเอวบางมาจับที่ท้ายทอยของเธอ เพื่อไม่ให้คนที่ไร้ซึ่งอิสรภาพขยับหรือส่ายหน้าหนีเรียวปากของเขา ณิชาจึงจำยอมรับจูบของคนแปลกหน้าด้วยความไม่เต็มใจ รัฐกฤตญ์ยังคงหาความหวานนุ่มละมุนลิ้นจากเรียวปากสวยของเธอต่อไป โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างว่าในห้องนี้จะมีใครอยู่หรือไม่ ต่างจากณิชาที่บัดนี้ใบหน้าแดงระเรื่อ สมองของเธอทำงานน้อยลงอาการมึนงงเข้ามาแทนที่ จนนึกไม่ออกว่าเธอมาที่นี่ทำไม เขากัดริมฝีปากล่างของสาวร่างสวยค่อนข้างแรง ทำให้เธออ้าปากโดยอัตโนมัติ รัฐกฤตญ์ได้โอกาสพุ่งลิ้นเข้าไปเกี่ยวกระหวัดดูดดึงเรียวลิ้นนุ่ม แลกรัดอย่างเจนจัดจนร่างสาวอ่อนล้า ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงราวกับว่ากำลังจะหยัดยืนอยู่ที่พื้นไม่ได้ เป็นเวลานานหลายนาทีกว่าเขาจะถอนจุมพิตออกอย่างแสนเสียดาย ดวงตาสีน้ำเงินเข้มจ้องมองใบหน้าสวยหวานของณิชา ไล่ตั้งแต่ดวงตาหยาดเยิ้มเหมือนคนเคลิ้มฝัน ใบหน้าแดงระเรื่อจนถึงลำคอ เรียวปากสีชมพู บวมขึ้นเพราะสัมผัสการจูบของเขา รัฐกฤตญ์อาศัยจังหวะที่เธอไม่ทันตั้งตัว จับร่างสาวให้นอนราบไปที่พื้นพรมของโรงแรม แล้วเอาตัวเขาเกยทับ โดยหันหลังให้น้องชายและลูกน้องของเขา “เธอแพ้แล้ว” รัฐกฤตญ์พูดกระซิบอยู่ที่ริมหูของณิชา ก่อนจะไล้ปากหนาไปตามผิวแก้มนวลระเรื่อ ฝังจมูกสูดดมความหอมเข้าไปเต็มปอดหนึ่งครั้งเหมือนณิชาจะตั้งสติได้ สะบัดศีรษะเพื่อไล่ความงุนงง มองใบหน้าคมหล่อด้วยสายตาที่ไม่พอใจและแค้นเคือง “ขี้โกง...คุณขี้โกงอย่างนี้เขาไม่เรียกว่าสู้ เขาเรียกว่าฉวยโอกาส” คนเสียเปรียบพูดพร้อมกับจ้องหน้า ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ นึกขำกับคำพูดของเธอ “ใครขี้โกง ฉันบอกกับเธอว่าถ้าใครคนใดคนหนึ่งล้มลงไปนอนอยู่ที่พื้นก่อนถือว่าแพ้ แต่ฉันไม่ได้บอกนี่นาว่าด้วยวิธีไหนนี่” รัฐกฤตญ์ตอบอย่างคนเจ้าเล่ห์ ณิชามองหน้าชายหนุ่มอย่างนึกโมโหตัวเองที่หลงกลเขาอย่างไม่น่าให้อภัย “ไม่...ฉันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ครั้งนี้” ณิชาพูดพร้อมกับสบตารัฐกฤตญ์อย่างไม่เกรงกลัว “แต่ฉันว่าเธอต้องยอม เพราะอะไรรู้ไหม” รัฐกฤตญ์ยิ้มที่มุมปากเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่า ณิชาเกลียดเวลาที่เขายิ้มแบบนี้ที่สุด แล้วก็เกลียดผู้ชายตรงหน้านี้ที่สุดเช่นกัน “บอกแล้วไงว่าไม่ยอม...ปล่อยนะปล่อย” ณิชาพูดพร้อมกับดิ้นรนหนีอ้อมแขนที่รัดเธอแน่น และยิ่งร่างกายที่ ใหญ่โตของเขาทาบทับร่างของเธอครึ่งหนึ่ง ทำให้เธอไม่สามารถหลุดพ้นจากอ้อมแขนของเขาได้ “อ้อ...ฉันลืมบอกเธอไป ตอนนี้พ่อและน้องสาวรวมทั้งลูกน้องของเธออยู่ในกำมือของฉันเรียบร้อยแล้ว” ณิชามองหน้าผู้พูดอย่างตกใจ เป็นไปไม่ได้มันไม่จริง ป่านนี้เรียวคงพาน้องสาวของเธอไปอยู่ที่ปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว “โกหก...คุณโกหก” “ฉันจะโกหกเธอไปทำไม เธอคิดเหรอว่าฉันจะยอมให้คนที่เข้ามาหยามฉันถึงที่เดินออกไปจากโรงแรมของฉันได้อย่างสบายใจ” ใช่...ณิชาลืมคิดถึงข้อนี้ไป เพราะเธอมากับเรียวเพียงแค่สองคนเท่านั้นเพราะไม่อยากให้บิดาเลี้ยงและมารดารู้เรื่อง และยิ่งโรงแรมนี้เป็นของเขาด้วยแล้ว ความปลอดภัยต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ทำไมเธอลืมคิดไป เธอไม่เคยหละหลวมเลยแม้สักครั้งเดียวครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่คิดไม่รอบคอบ อาจเป็นเพราะเธอพะวงเรื่องที่จะมาช่วยน้องสาว จึงลืมคิดบางเรื่องบางอย่างไป
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD