“ว้าย! ตายแล้ว...แหะ ๆ ขอโทษค่ะพี่สีดา เดี๋ยวช่อจะรีบเก็บและนำไปทิ้งให้เรียบร้อยค่ะ” ราชาวดีหัวเราะแห้ง ๆ เมื่อความซุ่มซ่ามของตัวเองทำให้ข้าวของที่เก็บแล้วกระจัดกระจายไปคนละทิศคนละทาง
“ไม่ต้องรีบก็ได้ช่อ ถ้ากลัวไม่ทัน เดี๋ยวพี่ไปส่งให้ก็ได้” เห็นราชาวดียิ้มแย้มอย่างมีความสุข ทำให้เธอมีความสุขไปด้วย รอยยิ้มที่เป็นเสมือนแสงสว่างให้กับคนที่ใจเหนื่อยล้าได้อย่างดี ดวงตากลมโตใสแจ๋วเป็นประกายสดชื่นแจ่มใสจนอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
“ขอโทษค่ะพี่สีดา ช่อรีบไปหน่อย” เหมือนเสียงนุ่มอ่อนโยนจะดึงสติราชาวดีกลับมาได้ แต่ก็ทำให้เธอนึกถึงหน้าที่ของตนเองที่จะต้องกระทำ
“ไม่เป็นไรค่ะพี่สีดา ช่อไปเองดีกว่า แค่นี้ก็รบกวนพี่สีดามากแล้ว อีกอย่าง พี่สีดาก็ต้องไปทำผมและทำเล็บให้กับคุณหญิงอรุณวดีด้วยนี่นา” หญิงสาวโต้กลับด้วยไม่อยากรบกวน ผู้เป็นนายจ้างที่รักและเห็นเธอเป็นเสมือนคนในครอบครัวมากไปกว่านี้แล้ว
ตั้งแต่พี่สาวหายตัวไป ก็ได้สีดานี่แหละที่เป็นคนคอยดูแลมาตลอด จนไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะชดใช้หนี้บุญคุณหมดหรือเปล่า เลยได้แต่ทำตัวให้ดี ไม่เป็นปัญหาให้อีกฝ่ายต้องเหนื่อยทั้งกายและใจ
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ยังไงก็ทัน” ราชาวดียกมือชูสองนิ้วพร้อมรอยยิ้ม รีบคว้าด้ามที่ตักผงและไม้กวาดมาจัดการกับข้าวของ พยายามข่มใจที่มันตื่นต้นยินดีให้มันเย็นลง แต่ถึงจะอย่างนั้นก็ยังก็ยังมีเสียงงำเพลงในลำคอให้อีกฝ่ายได้ยินอยู่ดี
สีดาอดที่จะอมยิ้มไม่ได้ ราชาวดีอยู่กับเธอมาตั้งแต่เป็นเด็กอายุได้ห้าหกขวบ หลังจากเลิกเรียนก็ตามติดพี่สาวคือยุพาพรมานั่งเล่นจนดึกจนดื่น บางครั้งเมื่อมีงาน ก็กินนอนที่บ้านนี้จนแทบจะกลายเป็นบ้านของตัวเอง เรียนรู้ที่จะช่วยเหลืองาน ปากสีชมพูสดขยับเอื้อนเอ่ยซักถามอยู่ตลอดเวลา จดจำทุกอย่างราวกับมีแมมโมรี่ช่วยบันทึกข้อมูลเอาไว้
แต่เมื่อผู้เป็นพี่สาวหายตัวไป แม่หนูน้อยราชาวดีที่น่ารักน่าเอ็นดู มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีก็เปลี่ยนไป จากเด็กหญิงช่างพูดเป็นเก็บตัว เหงาเศร้า ดวงตากลมโตแดงแดงก่ำฉ่ำน้ำและไหลอาบแก้มไม่ขาดสายอยู่บ่อยครั้ง แม้จะพยายามสักเท่าไหร่ก็ยังทำให้เด็กหญิงที่แสนจะน่ารักกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ จนเธอแทบจะกินไม่ได้นอนไม่หลับเมื่อราชาวดียังจมอยู่ในกองทุกข์
เพราะความเป็นคนไขว่เรียน มีพื้นความรู้ภาษาญี่ปุ่นเลยทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ยุพาพรมีเพื่อนชวนไปทำงานพิเศษเป็นพนักงานต้อนรับนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น ด้วยหน้าตาที่สวยหวาน ดวงตาหวานอมโศกนิด ๆ บวกกับเสียงหวานนุ่มยามจำนรรจา ทำให้เป็นที่ถูกใจของทุกคน ทำให้ทางร้านอาหารเรียกใช้บริการบ่อยครั้ง
แล้ววันหนึ่งยุพาพรก็บอกมาบอกว่าได้งานที่ญี่ปุ่น จะขอฝากฝังราชาวดีไว้กับเธอ แล้วจะส่งเงินมาให้ เก็บเงินได้สักก้อนจะมารับไปอยู่ด้วย ในตอนแรกก็มีข่าวคราวและเงินทองส่งมาอยู่ตลอดไม่ขาดสาย แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ข่าวคราวที่เคยมีขาดหาย เงินทองก็เช่นกัน
จวบจนเวลาผ่านไป พอเริ่มวัยแรกรุ่นราชาวดีก็กลับมาร่าเริงแจ่มใส แต่ก็ยังมีแอบเหงาเศร้าอยู่บ่อยครั้ง มีความรับผิดชอบและขยันการงานเพื่อสะสมเก็บเงินที่ได้ไว้เป็นทุน พอจบมัธยมหกก็เลือกที่จะไม่เรียนต่อแต่เลือกที่จะทำงานเก็บเงินแทน ตลอดเวลาเกือบขวบปีที่ผ่านมา แม้จะมุมานะขยันทำทั้งงานนอกงานในเท่าไหร่ แต่เงินที่เก็บไว้ก็ยังไม่เพียงพอให้เธอเดินทางไปตามหาพี่สาวที่ต่างแดนอยู่ดีนั่นแหละ
“แต่มันจะไปไม่ทันเอานะซิ” สีดาเอ่ยด้วยความเป็นห่วง หนทางมันก็ไกลอยู่ แถมการจราจรยังจะติดขัดอีก
“ช่อสามารถค่ะ ยังไงก็ทัน” ราชาวดีตอบกลับด้วยน้ำเสียงรื่นเริง เพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลใจ สาละวนเก็บข้าวของทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางพร้อมคว้ากระเป๋าที่เมื่อครู่วางไว้บนเก้าอี้สำหรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ และคว้าถุงใส่ขยะติดมือมาด้วย
“ช่อไปก่อนนะคะพี่สีดา ถึงโรงแรมแล้วจะโทรมาบอก”
“จ๊ะ...แล้วอย่าลืมละ”
ต้องเน้นยำอีกครั้งด้วยรู้ว่าราชาวดีนอกจากจะเป็นคนขี้เกรงใจและพักหลังนี่ค่อนข้างเปลี่ยนเป็นคนขี้ลืมไปเสียสนิทใจ แล้วยังจะพกพาซุ่มซ่ามและสะเพร่าเต็มพิกัดไปด้วย แถมท้ายด้วยอาการป้ำ ๆ เป๋อ ๆ เป็นประจำ เลยทำให้เธอเป็นห่วงและกังวลได้เสมอ
ยามที่ราชาวดีจะต้องไปทำงานพิเศษที่โรงแรมของเพื่อน เธอหวั่นใจยิ่งนัก กลัวหญิงสาวจะไปทำให้คนอื่นเดือดร้อนและทำให้ตัวเองนั่นแหละเป็นอันตรายที่สุด แต่เธอก็ห้ามไม่ได้ เพราะราชาวดีเห็นด้านนอกดูใสซื่อไม่มีพิษสง แต่เธอดื้อเงียบ หูฟังแต่จะทำตามหรือไม่ทำตามมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ค่ะ...” หญิงสาวตอบรับพร้อมโบกมือลา ก่อนจะเดินจากไปอย่างสดใสร่าเริง รอยยิ้มไม่ห่างหายจากวงหน้า
“เดี๋ยวไปถึงจะรีบโทรมารายงานตัวเลยค่ะ ไปแล้วนะคะ”
ราชาวดีก้าวลงจากรถแท็กซี่อย่างรวดเร็ว จนถลาไปด้านหน้า ใบหน้าเกือบจะชนกับกระถางต้นไม้ใหญ่ แต่ดีว่าเอามือยันไวได้ทันเลยไม่เจ็บตัวอย่างเช่นเคย หญิงสาวรีบลุกยืนตัวตรงก้าวเดินอย่างเร็วรี่ไปตามทางเดินที่มีเส้นทางสายเล็กตรงเข้าไปยังห้องแต่งตัว แต่ก่อนจะถึงก็อดไม่ได้ที่จะหยุดยืนและหันหน้ามองดูโรงแรมใหญ่ขนาด 80 ห้อง
หญิงสาวแหงนหน้าขึ้น ไล่ไปตามความสูงของอาคาร พลางสูดลมหายใจอัดเข้าไปจนเต็มปอด ปกติการมาเยือนโรงแรมแห่งนี้ เธอจะมีทั้งความตื่นเต้นระคนเป็นสุขเสมอ แต่คราวนี้ความรู้สึกกลับผิดแปลกไป มีทั้งตื่นตระหนกและเป็นกังวลแปลก ๆ ผุดขึ้นมา
หรือจะเป็นเพราะว่าคำพูดพี่สีดากับความอาวรณ์ที่มี เมื่อรับงานครั้งนี้แล้วเธอก็จะเงินเพียงพอที่จะทำอย่างใจต้องการ แม้จะมาทำงานที่นี่ได้เพียงไม่กี่ครั้ง แต่ก็รู้สึกดีกับเพื่อนร่วมงาน ที่ก็มีดีบ้างไม่ดีบ้าง ที่ทำให้เธอรู้สึกผูกพันจนไม่อยากจะจากไปเลย หรือจะเป็นเพราะจะต้องจากพี่สีดาที่รักและหวังดีไม่เคยเปลี่ยน และไปจากยังที่ซึ่งเธอไม่มีใครกับความหวังเพียงแค่อย่างเดียว
...หาพี่สาวให้เจอ...
‘ไม่เอาน่าช่อม่วง อย่าคิดมากซิ’ คนตัวเล็กปลุกพลังปลอบใจตัวเอง ขณะมองไปรอบ ๆ บริเวณที่ตนเองยืนอยู่ ความโออ่าหรูหราของสถานที่ข่มให้เธอตัวเล็กจิ๋วเหมือนมด จนต้องอัดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรง เพื่อผ่อนคลายความรู้สึกในหัวใจ แต่ทำอย่างไรก็สลัดความกังวลที่มันเกาะกุมใจออกไปไม่ได้
‘คิดมากอีกแล้วช่อม่วง ไม่มีอะไรหรอกน่า...’
ราชาวดีรีบสลัดความคิดเรื่อยเปื่อยที่แวะเวียนเข้ามาวนเวียนในหัวทิ้งไป ทุ่มความสนใจในเรื่องที่จะต้องทำ แต่เมื่อก้าวเท้าไปด้านหลัง ก็เหมือนกับว่าเธอได้เหยียบไปบนอะไรสักอย่าง ที่มาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ มันเป็น...อาฟเตอร์เชฟที่ผู้ชายใช้ อะไรบางอย่างบอกเธอแบบนั้น กลิ่นหอมแตะนาสิกจนต้องสูดรับเอาความหอมเข้าปอด
กลิ่นหอมอ่อน ๆ จากผิวกายสาวผสมกับกลิ่นแป้งทำเอาชายหนุ่มที่เจ็บจากการถูกเหยียบถึงกับผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว แต่เพราะมิชอบอยู่ใกล้ชิดกับสตรีที่มักเป็นตัววุ่นวาย เขาเลยเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นไร้อารมณ์