อี้หลันลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองไม่ได้อยู่ในห้องเช่าเล็กแคบเท่ารูหนูเหมือนเดิมอีกแล้ว เวลานี้เธอกำลังล่องลอยอยู่บนพื้นที่ว่างเปล่าสีขาวที่นอกจากตัวเองก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีก อย่าบอกนะว่าหลับไปแค่เพียงครู่เดียว เธอก็ตายไปแล้ว!
โอ้….ไม่นะ!
เธอวางแผนชีวิตหลังจากลาออกจากงานเอาไว้พันแปดร้อยอย่าง แต่ความตั้งใจหลักๆ คือจะหาแฟนสักคน สร้างครอบครัวอันอบอุ่นและใช้ชีวิตร่วมกันกับเขาทั้งวันทั้งคืนอย่างมีความสุข แต่ตอนนี้กลับต้องมาตายง่ายๆ แบบนี้อย่างนั้นหรือ!
ตั้งแต่เกิดมาเธอยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะจับมือกับเพศตรงข้าม ยังไม่มีโอกาสได้เสียพรหมจรรย์เลยนะ!
อี้หลันมองไปรอบๆ แล้วก็รู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง “นี่คือนรกอย่างที่คนอื่นๆ เขาพูดถึงกันอย่างนั้นเหรอ" เธอพึมพำกับตัวเอง
"ไม่ใช่…นี่คือห้วงดินแดนอันว่างเปล่า"
จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น อี้หลันมองไปรอบๆ เพื่อพยายามมองหาแหล่งที่มาของเสียงด้วยความตกใจ “คุณเป็นใครคะ"
"ไม่ต้องมองหาหรอก เจ้าไม่มีทางมองเห็นข้า"
"คุณเป็นใคร ตายแล้วเหมือนกันหรอ" อี้หลันแม้จะกลัวแต่ก็ถามออกไปเพราะหวังว่าจะมีเพื่อนคนอื่นนอกจากตัวเธออยู่ในนี้
"ข้าคือคนที่กำหนดชะตาชีวิตของผู้คน" อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยเสียงเนิบนาบ
เมื่อได้ยินดังนั้นหญิงสาวก็ขมวดคิ้ว"หมายความว่าคุณเป็นคนทำให้ฉันตายอย่างนั้นเหรอ"
"ใช่และไม่ใช่"
"ช่วยกรุณาพูดอะไรที่มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยได้ไหมคะ" อี้หลันเริ่มจะไม่สบอารมณ์
"เอาเป็นว่าร่างกายในโลกนั้นของเจ้ายังไม่ดับสูญ แต่เจ้ายังกลับไปไม่ได้"
"แล้วฉันต้องทำยังไง ต้องลอยอยู่ในอวกาศอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เหรอคะ!"
"ข้าจะส่งเจ้าไปยังโลกอื่นเพื่อทำตามความปรารถนาของเจ้า"
สิ้นเสียงของอีกฝ่าย อี้หลันยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ วิญญาณของเธอก็เหมือนถูกดูดออกไปในอีกมิติหนึ่ง แต่ร่างกายยังคงลอยอยู่ในห้วงอากาศนั้น เพียงไม่นานโลกเบื้องหน้าก็พลันมืดดับไป…
เฮือก!!!
อี้หลันสูดลมหายใจเข้าปอดไปเฮือกใหญ่ เธอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าตอนนี้กำลังนอนอยู่ในห้องที่ตกแต่งด้วยผ้าม่านสีขาวระยิบระยับ มองไม่ออกว่าทำมาจากวัสดุใด อีกทั้งหน้าต่างมีม่านประดับด้วยไข่มุกสีขาว ฟูกบนเตียงก็อ่อนนุ่มราวกับนอนอยู่บนก้อนเมฆ เตียงก็เป็นหยกแกะสลักช่างงดงามหรูหราเป็นอย่างมาก…
ในตอนแรกหญิงสาวก็คิดว่าเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นตนเองกำลังฝันอยู่ เธอจึงใช้นิ้วบีบแก้มอย่างแรง
"อ๊ะ อ่า เจ็บชิบ! นี่ไม่ใช่ความฝันอย่างนั้นรึ!"
คราวนี้อี้หลันก็รู้สึกตื่นตระหนกยิ่งนัก หากว่านี่ไม่ใช่ความฝันแล้วตอนนี้เธออยู่ที่ไหนกัน!
เมื่อพยายามสงบใจและสังเกตบรรยากาศโดยรอบอีกครั้งเธอก็พบว่าสถานที่และการตกแต่งเหมือนกับคำบรรยายที่พูดถึงห้องนอนของนางเอกในนิยายเลยนี่นา…
อย่าบอกนะว่าคนผู้นั้นส่งเธอเข้ามาในนิยายที่เธอเพิ่งอ่านและแสดงความคิดเห็นไปเมื่อคืน!
เมื่อลองเปิดหน้าต่างออกไปก็พบว่าด้านล่างมีเมฆหมอกเหมือนอยู่ท่ามกลางภูเขาสูง บนท้องฟ้ามีคนขี่กระบี่สัญจรไปมา คงจะคล้ายกับสำนักฝึกบำเพ็ญอะไรประมาณนั้น
ยิ่งเห็นเช่นนี้ก็เป็นอันแน่นอนแล้วว่าเธอทะลุมิติเข้ามาในนิยายจริงๆ!
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงแค่เธอแสดงความคิดเห็นในนิยายไปครึ่งหน้ากระดาษ จะเกิดโชคร้ายได้พบกับเรื่องมหัศจรรย์พันธุ์ลึกเช่นนี้
หญิงสาวพยายามตั้งสติ ก่อนจะเดินไปส่องกระจกบานใหญ่และพบว่าใบหน้าที่สะท้อนออกมานั้นเหมือนกับเธอในโลกปัจจุบันทุกอย่าง แตกต่างแค่ว่าใบหน้านี้ขาวกระจ่างใสมากกว่าปกติราวกับมีรัศมีบางอย่างแผ่ออกมา ริมฝีปากก็ดูอวบอิ่มเป็นสีแดงก่ำชวนให้คนอยากเข้ามากัดสักคำ เวลายิ้มดวงตาก็จะหรี่ลงเหมือนรูปพระจันทร์เสี้ยว ซึ่งดูน่ารักเป็นอย่างมาก
หากเป็นเมื่อก่อนเธอคงต้องแต่งรูปอยู่หลายครั้งกว่าจะได้ใบหน้าออกมาแบบนี้ เอาเป็นว่าเมื่อเข้ามาอยู่ในโลกนิยายเธอสวยขึ้นได้แบบไม่ต้องทำศัลยกรรม
“นี่!...ปล่อยฉันออกไปนะโว้ยยย" เธอพยายามคิดหาวิธีที่จะกลับไป ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์อ้อนวอนภาวนาหรือแม้กระทั่งตะโกนด่า ก็ไม่มีสิ่งใดตอบกลับมา ภายในห้องมีเพียงแค่เธอคนเดียว
หลังจากตะโกนจนคอแหบ เธอก็ไม่สามารถออกไปจากสถานที่ ผีสิงแห่งนี้ได้ และเสียเวลาไปเปล่าๆ คงเหลือแค่วิธีที่จะเชือดตัวเองเท่านั้น แต่ว่าอี้หลันเป็นคนที่กลัวเจ็บเป็นที่สุด ดังนั้นวิธีนี้ก็ลืมมันไปได้เลย
“เฮ้อ….อยู่ที่นี่อย่างไรก็ไม่ต้องไปทำงานตั้งแต่เช้าเหมือนทุกวันล่ะว่ะ!”
โชคดีที่อี้หลันเป็นคนปรับตัวได้ง่าย หลังจากทำใจได้แล้วว่าไม่สามารถกลับไปยังโลกปัจจุบันได้ หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาและคิดอย่างปลงๆ
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเธอยอมรับที่จะอยู่บนโลกใบนี้หรือไม่ ความทรงจำที่ไม่คุ้นชินก็ค่อยๆ หลั่งไหลเข้ามาในสมอง เนื้อเรื่องเดิมตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงต้นของนิยาย หลังจากที่ได้รับรู้ว่าตนเองมีคู่หมั้นที่เป็นศิษย์พี่คนดังของสำนัก นางเอกคนเดิมก็รู้สึกดีใจยิ่งนักเพราะว่านางก็แอบชอบเขาอยู่แล้ว เมื่อวานนี้นางได้พบเจออีกฝ่าย และแสดงท่าทางเขินอายออกไป
“ท่าทางแสดงออกอย่างไม่สำรวมเช่นนี้ เจ้าคงเป็นคุณหนูตระกูลอี้สินะ”
“พี่จ้าวหมิง” อี้หลันเรียกอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะมีสัญญาหมั้นหมายกัน แต่ตอนที่อยู่ในสำนัก เจ้าจงจำเอาไว้ว่าอย่าได้แสดงออกว่ารู้จักข้าเป็นอันขาด!” พูดจบเขาก็เดินหนีไป
อี้หลันเสียใจมากที่เขากล่าวกลับมาเช่นนั้น นางกลับมาร้องไห้เสียใจและขังตัวเองอยู่ในห้องคนเดียว
“ไอ้พระเอกสารเลว กล้าพูดจากับสาวน้อยน่ารักแบบนี้ได้ยังไง” อี้หลันส่องกระจกมองใบหน้าไร้เดียงสาที่สะท้อนกลับมา “คุณนางเอก ในอนาคตฉันจะไม่ยอมตกเป็นทาสรักให้พระเอกแบบเธอหรอกนะ”
หลังจากนี้อีกไม่กี่วันคนทั้งสองก็จะได้กลับไปเจอกันอีก เพราะทั้งคู่เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักบำเพ็ญ และเนื้อเรื่องก็จะดำเนินเหตุการณ์ต่อไปเพื่อให้พระเอกนางเอกของเรื่องตกหลุมรักกัน ซึ่งแน่นอนว่าอี้หลันไม่มีทางยอมเป็นนางเอกบทโศกที่จะต้องประสบกับเหตุการณ์รันทดเหมือนในนิยายแน่ ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องการถอนหมั้นเพื่อตัดไฟตั้งแต่ต้นลม!
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
เสียงเคาะประตูดังขึ้นที่ด้านนอกทำให้อี้หลันสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
“หลันหลัน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ เย็นนี้มีน้ำแกงรากบัวที่เจ้าชอบ ลองออกมากินให้มีแรงสักหน่อยเถิด"
ฟังจากน้ำเสียงของสตรีผู้นี้แล้ว หญิงสาวคาดเดาว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นพี่สะใภ้ของร่างเดิม “อีกสักครู่ข้าจะตามลงไปเจ้าค่ะ"
ลู่เจียวได้ยินเสียงน้องสามีตอบกลับมา น้ำเสียงดูไม่เศร้าเสียใจเหมือนเมื่อวาน นางก็คลายความกังวลลงและไม่ได้เซ้าซี้ต่อ "ได้…ถ้าเช่นนั้นข้ากับพี่ชายของเจ้าจะรออยู่ที่ด้านล่างนะ"
"เจ้าค่ะ" อี้หลันตอบกลับ เวลานี้นางหิวมาก เติมข้าวใส่ท้องให้อิ่มก่อนแล้วค่อยคิดหาวิธีต่อไปแล้วกัน