ประตูโอกาสเปิดแล้ว
“นังเด็กอวดดี! มันคงอยากได้เงินจนตัวสั่นเหมือนแม่ร่านๆ ของมันนั่นล่ะ คุณพี่นะคุณพี่ ไม่รู้คิดยังไงถึงได้เขียนพินัยกรรมออกมาอย่างนี้ ถ้าไม่ป่วยใกล้ตายนะ แม่จะเล่นงานให้น่วมเลย”
สะใภ้แทบยังไม่ทันได้หย่อนตัวลงนั่งกับชุดรับแขก คุนอัญชลีรออยู่อย่างอารมณ์เสียก็โพล่งออกมาทันที เพราะโกรธจัดตั้งแต่รู้ ว่าจะต้องเสียเงินสิบล้านไปให้หลานนอกทำเนียบเปล่าๆ แล้ว
แต่ก็เข้าใจแม่สามีดีว่ารู้สึกยังไง จากการที่คิดวาดหวังไว้แต่แรก ว่าลูกของอิงอรคงจะเป็นคนหัวอ่อนว่านอนสอนง่ายเหมือนผู้แม่ แต่กลับกลายเป็นคนละเรื่อง มิหนำซ้ำดูจะร้ายเอาการทีเดียว
“คุณแม่อย่าว่าคุณพ่อเลยค่ะ ท่านทำไปก็คงจะมีเหตุผลส่วนตัวมั้งคะ แต่สาไม่เข้าใจและงงเอามากๆ ก็คือ ไม่รู้เด็กคนนี้เอาความคิดแผลงๆ มาจากไหน ถึงได้กล้าต่อรองกับเราขนาดนี้”
“ก็จากแม่ร่านสวาทของมันไงล่ะ นี่ดีแค่ไหนแล้วที่ฟ้าดินทำให้เราเห็นพฤติกรรมชั่วๆ ของมันตั้งแต่วันนั้น ไม่งั้นนะป่านนี้บ้านฉันคงไม่เหลือแม้กระทั่งเสาให้นังนั่นมันผลาญหรอก จะเจ็บใจก็ตรงคนทำพินัยกรรมนี่ล่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเอ่ยถึงพวกมันเลย แต่พอตาสงครามตายไม่เท่าไหร ก็ดันร้องเรียกหามันขึ้นมาได้ แม่ล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเค้าคิดยังไงของเค้าถึงอยากให้มันกลับมาหา แถมยังจะให้มาทำงานด้วยอีก โง่ๆ ต่ำๆ ความรู้เท่าหางอึ่งอย่างพวกมันจะทำอะไรได้นอกจากเป็นยามยืนเฝ้าหน้าประตู”
คุณอัญชลียิ่งอารมณ์เสียหนักขึ้นอีก จนยั้งปากไม่อยู่ ยิ่งคิดถึงเรื่องงามหน้าเมื่อยี่สิบปีมาแล้ว ยิ่งเกลียดหนักเข้าไปอีกจนไม่ยอมให้ใครเอ่ยถึงอิงอรอีกเลย
กระทั่งคุณสมควรเรียกทนายมาบ้าน แล้วเปลี่ยนพินัยกรรมใหม่ และสั่งอย่างเด็ดขาดว่าให้จ้างนักสืบตามหาหลานสาวคนโตมารับช่วงงานต่อโดยด่วน แม้คุนอัญชลีจะพยายามแย้งยังไง คุนสมควรก็ไม่ฟังท่าเดียว
พอเผาศพสงครามเสร็จ การตามหาสองแม่ลูกจึงได้เริ่มขึ้น อันที่จริงคุณอัญชลีภาวนาให้นักสืบทำงานไม่สำเร็จ เรื่องจะได้ไม่ต้องยุ่งยากอีก แต่ก็เหมือนฟ้ากลั่นแกล้ง
เพียงแค่นักสืบค้นหาชื่อกับนามสกุลของหทัยชนกในอินเตอร์เน็ทเท่านั้น ทุกอย่างก็ง่ายดายจนเกินความคาดหมาย พอเจอตัวแล้วดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มยุ่งยากขึ้น
“แล้วนี่มันจะเสด็จมาหาฉันเมื่อไหร่ล่ะ หรือได้เงินแล้วจะไม่ทำตามคำพูด”
สาลินีเกิดอาการอ้ำอึ้ง เพราะไม่รู้จะเอ่ยปากบอกแม่สามีที่กำลังอารมณ์บูดอารมณ์เสียยังไง ครั้นจะไม่บอกก็ทำไม่ได้อีก เกรงจะเป็นความผิดหรือความบกพร่องของตัวเอง ที่อาสาไปเจรจาสองแม่ลูกกับทนาย
“อะไรนะแม่สา!!! นี่มันกล้าถึงขนาดนี้เลยเหรอ บ้านมันอยู่ไหนพาฉันไปเดี๋ยวนี้ จะไปด่ามันสองแม่ลูกให้หนำใจ เงินตั้งสิบล้านมันกลับบอกออกกมาได้ว่าเป็นแค่ค่าเสียเวลาคิด แล้วถ้าเกิดมันไม่ตกลงมาทำงานให้เราล่ะ คุณพี่ไม่ต้องยกสมบัติให้มูลนิธิหรอกเหรอ โอย! ฉันจะเป็นลม”
และก็เป็นจริงดังที่สาลินีเกรงกลัวเอาไว้ไม่มีผิด เพราะแม่สามีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟหนักกว่าเดิม ลมแทบจับจนต้องรีบเข้าไปประคองเอาไว้ เด็กรับใช้เองก็ต้องวิ่งวุ่นหายาดมเอามาให้เป็นการใหญ่
“คุณย่าเป็นอะไรคะคุณแม่”
สาริยา บวรชัยสกุล เข้าบ้านมาก็เห็นผู้เป็นย่ากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่กับโซฟาตัวยาว ดวงถือยาดมจ่อรูจมูกไว้ให้ ร่างผอมบางสูงโปร่งได้รูปยังอยู่ในชุดนักศึกษา รีบตรงเข้าไปหาด้วยความห่วงใย
สาลินีหันไปมองลูกสาว และชายหนุ่มร่างผอมสูง ใบหน้าคมจมูกโด่งนาม ปวีย์ อัครเสวี ลูกชายคนโตของปฐพีนักธุกิจพันล้าน ที่เอื้อผลประโยชน์กันและกันกับตระกูลบวรชัยสกุลมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้ว
“คุณย่าเป็นลมน่ะลูก ไหว้พระเถอะจ้ะพ่อวี”
สาลินีละมือที่นวดแขนคุนอัญชลี ไปรับไหว้ว่าที่ลูกเขย แล้วกลับมาทำหน้าที่ต่อ ส่วนสาริยาก็ตรงเข้าไปช่วยนวดแขนอีกข้างอย่างเอาอกเอาใจ จนอาการดีขึ้น เพราะมีหลานคนโปรดออกอาการห่วงใยซึ่งเป็นยาขนานดีที่สุด
“ย่าไม่เป็นอะไรมากหรอกยัยยา ว่าแต่พ่อวีพาน้องไปเที่ยวไหนมาเหรอ แล้วกินอะไรกันหรือยังล่ะ”
คุนอัญชลีไม่วายเอ่ยถามว่าที่หลานเขยด้วยความห่วงใย ตามประสาคนเป็นแม่บ้านแม่เรือน แม้สภาพของตัวเองตอนนี้ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ปวีย์ยิ้มรับน้อยๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“ยังเลยครับ เห็นยาบอกว่าคุณย่าบ่นถึงผม เรายกเลิกแผนที่จะไปกินข้าวข้างนอก แต่จะมากินที่นี่แทนครับ จะได้มาเยี่ยมคุณปู่ด้วยเลย ว่าแต่คุณย่าเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับ ให้ผมพาไปหาหมอมั้ยครับ”
“ย่าดีขึ้นแล้วล่ะพ่อวี ขอบใจนะที่ห่วงคนแก่ แม่สาเล่าให้พ่อวีกับยัยยาฟังหน่อยสิ ว่าวันนี้ไปเจออะไรมาบ้าง”
คุณอัญชลีสั่งสะใภ้เสียงอ่อยๆ เพราะรู้ดีว่าทั้งสองอยากรู้ โดยเฉพาะหลานสาว สาลินีมีท่าทีอ้ำอึ้ง แต่สุดท้ายก็ยอมเปิดปากบอกตามความจริง
“อะไรนะแม่! สิบล้านเลยเหรอ ทำไมมันมากมายขนาดนี้ล่ะคะ”
และคนที่อุทานออกมาดังๆ เมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว ก็คือสาริยา เพราะคิดไม่แตกต่างจากผู้แม่และผู้เป็นย่านัก ว่าฝ่ายโน้นคงจะพูดคุยกันได้โดยง่าย แต่ไม่คิดไม่ฝันว่าจะต้องถึงกับควักเงินให้มากขนาดนี้
ปวีย์ที่รู้เห็นความเป็นไปเป็นมาของครอบครัวนี้มาโดยตลอด ก็แทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองเช่นกัน แต่เขาก็เลือกที่จะนั่งฟังเงียบๆ ด้วยตัวเองนั้นยังเป็นเพียงแค่ว่าที่หลานเขย จึงเห็นว่าเป็นเรื่องไม่งามหากจะออกความคิด