-4-
จูบ
ซูซือเหยียนหน้าแดงก่ำ “งั้น...ช่างมันเถอะ”
“ฉันไม่เคยจูบกับผู้หญิงเวลามีเซ็กส์” เขาพูดเสียงต่ำอย่างไร้อารมณ์ นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาโกหก เพราะเขาไม่เคยจูบผู้หญิงคนอื่น ทุกครั้งที่มีอะไรกันล้วนแต่เป็นคนเหล่านั้นปรนเปรอเขา “และสิ่งที่เธอทำนั้นไม่เรียกว่าจูบ” เขายื่นหน้าเข้าใกล้เธออย่างรวดเร็วจนเธอหงายหลังลงบนที่นั่ง
“อ๊ะ!”
กลิ่นกายของผู้ชายเข้มข้นกำลังครอบงำซูซือเหยียน เธอตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเมื่อเขาคร่อมอยู่เหนือร่างเธอด้วยท่าทีหมิ่นเหม่ อีกทั้งรถที่นั่งอยู่นั้นมีความเป็นส่วนตัวสูง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ลมหายใจของซูซือเหยียนถี่กระชั้น รู้สึกถึงอันตรายที่กำลังใกล้เข้ามา
ลมหายใจของเขาเย็นเล็กน้อย ใบหน้าที่ขยับใกล้เข้ามาทำให้เธอประหม่าแหละจำต้องหลับตาด้วยความขลาดอาย ริมฝีปากถูกสัมผัสเย็นสบายกดทับแล้วเหมือนถูกถ่ายทอดประจุไฟฟ้าเข้ามา ร่างกายของซูซือเหยียนสั่นเทาราวกับกระต่ายตัวน้อย มือทั้งสองข้างถูกเขาตรึงแนบลำตัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าโลกกำลังหมุนเมื่อสัมผัสที่ริมฝีปากไม่ได้หยุดแค่นั้นอีกต่อไป
เป็นเพราะเธอเผลอเลียริมฝีปากที่แห้งผากจึงทำให้หลี่เฉิงหลินชะงักและไม่สามารถห้ามตัวเองได้อีกต่อไป
เขาแทรกเรียวลิ้นเข้าไปในโพรงปากเล็กที่เต็มไปด้วยกลิ่นแอลกอฮอล์ที่ชวนมึนเมา ขณะเดียวกันเมื่อได้สัมผัสถึงความตื่นตัวของอีกฝ่าย หลี่เฉิงหลินก็ได้กลายร่างเป็นหมาป่าในทันใด สัมผัสไร้เดียงสากระตุ้นสัญชาตญาณของชายหนุ่ม ในใจเกิดความปรารถนาจะครอบครองเธอและพาเธอไปยังความหฤหรรษ์ของชายหญิง เมื่อตกอยู่ในการพัวพันระหว่างกันหลี่เฉิงหลินก็ไม่สามารถห้ามตัวเองได้อีกต่อไป
เขาตักตวง ดูดกลืน ราวกับโหยหารสชาตินี้มาชั่วชีวิต ผู้หญิงที่ครั้งหนึ่งเคยตัดเยื่อใยกับเขากำลังถูกเขาตรึงไว้ใต้ร่างอย่างไร้เดียงสา ความปีติยินดีในส่วนลึกกำลังโห่ร้อง ต้องการจะสอนให้เธอว่าเส้นทางระหว่างเขาและเธอไม่ได้จบเพียงแค่นี้
ซูซือเหยียนถูกเขาสูบเอาลมหายใจทั้งหมดไปจนสมองมึนงง ร่างกายอ่อนระทวยราวกับนกป่วย ร่างกายส่วนล่างเครียดเกร็งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อเธอลืมตาขึ้นจึงได้เห็นประกายลึกลับในดวงตาของเขา ปลายจมูกโด่ง กลีบปากแดงเรื่อราวกับดอกซากุระ เซ็กซี่ยิ่งกว่าพระเอกหนังที่เธอเคยพบ
เธอรู้สึกว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือความหลงใหลที่เธอเคยมีต่อเขาเมื่อนานมาแล้ว วันนี้เข้าอยู่ใกล้แค่เอื้อม แม้ว่าจะไม่ใช่คนที่เธอรักจนแค้น แต่เธอไม่เคยรังเกียจเขา
พลันรู้สึกว่าการสร้างประสบการณ์กับเขาก็ไม่เลวนัก
“ลุกขึ้น” เขาพูดเสียงพร่า
“หือ...” ซูซือเหยียนงุนงง
“ถึงแล้ว” เขาว่า
หญิงสาวหน้าแดงก่ำ รู้สึกว่าตัวเองชักจะไร้ยางอายเข้าทุกที
ฤทธิ์แอลกอฮอล์ทำให้ซูซือเหยียนไม่สามารถทรงตัวได้ดีนัก แต่ว่าหลี่เฉิงหลินกำลังโอบเอวเธอหลวมๆ ตอนอยู่ในลิฟต์จึงทำให้เธอประหม่าเป็นอย่างมาก ท่าทางของเธอและเขาเหมือนคู่รักทั่วไปที่สามารถดึงดูดความอิจฉาจากคนอื่นได้ แต่ว่าซูซือเหยียนรู้ดี นี่เป็นแค่ข้อแลกเปลี่ยนระหว่างกัน
กลิ่นตัวของเขาโอบล้อมตัวเธอ ทำให้จิตใจสั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้
นี่สินะที่เรียกว่าเสน่ห์ของผู้ชาย
เทียบกับเว่ยเสวี่ยหลินแล้วฝ่ายนั้นเป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่ซ่อนหางของตัวเองไว้
ห้องชุดของหลี่เฉิงหลินกว้างขวางมาก ภายในตกแต่งอย่างหรูหราด้วยโทนสีดำ มีสีขาวและแดงบ้างประปราย แต่ด้วยรสนิยมของเขาทำให้ทุกอย่างดูลงตัว ตรงผนังเบื้องหลังโซฟาเป็นรูปวาดสีน้ำรูปหนึ่ง
มันเป็นรูปของผีเสื้อที่มีสีสันสดใส แต่ว่าโคนปีกของมันมีสีที่ค่อนข้างดำ ภาพผีเสื้อกระพือปีกดูน่าหลงใหล ดูเหมือนเป็นรูปภาพธรรมดา แต่ว่าสิ่งนี้ทำให้หัวใจของซูซือเหยียนเต้นรัว
มันเป็นภาพแรกที่เธอมอบให้เขาในวันเกิด
เขายื่นแก้วน้ำให้เธอ ซูซือเหยียนรับมาแล้วพูดอะไรไม่ออก แต่ดูเหมือนว่าเขาจะสังเกตเห็นสีหน้าของเธอได้อย่างรวดเร็ว
“เป็นอะไร”
ซูซือเหยียนนั่งลงที่โซฟา รู้สึกร้อนที่หน้าเล็กน้อย “ฉันไม่คิดว่ารุ่นพี่จะเก็บภาพนี้ไว้”
“ทำไมถึงไม่เก็บล่ะ” เขาจ้องหน้าเธอ
หลี่เฉิงหลินสวมเชิ้ตสีดำเข้ม แผงอกที่เผยให้เห็นรำไรนั้นเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสวยงาม ผิวของเขาค่อนข้างขาวจัด ท่าทางของเขาราวกับราชา มีเสน่ห์น่าหลงใหลจนไม่อาจละสายตาได้
ซูซือเหยียนลำคอแห้งผาก ดื่มน้ำรวดเดียวจนหมดแก้ว เธอไม่รู้จะพูดว่าอะไรดี การตัดช่องทางการติดต่อกับเขาในตอนนั้นทำให้เธอละอายใจ
“มานี่” เขาเรียกเธอ “ทำไม กลัวหรือไง”
ซูซือเหยียนรีบส่ายหน้า เดินไปที่โซฟาของเขา เอวถูกเขาโอบไว้ ทันใดนั้นเธอก็นั่งอยู่บนตักของเขาแล้ว
ซูซือเหยียนหลุบตามองเขา เห็นแพขนตาหนาเหยียดตรงราวกับพัดเล็กๆ แล้วรู้สึกว่าเขาได้รับความรักจากพระเจ้ามากเกินไป นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยแรงดึงดูด เธอรู้สึกเหมือนวิญญาณกำลังถูกดูดกลืนและค่อยๆ หมดแรง
“รุ่นพี่ไม่อาบน้ำก่อนหรือคะ ตัวฉันสกปรก” เธอพยายามประวิงเวลา
หลี่เฉิงหลินแตะริมฝีปากเธอ หญิงสาวตัวสั่นเทาด้วยความประหม่า แต่ก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรต่อไป
“เอาใจฉัน” เขาสั่ง
ซูซือเหยียนหน้าแดงก่ำ “ยังไงคะ” สารภาพว่าเธอทำไม่เป็น
“เธอเตรียมตัวเอาใจเว่ยเสวี่ยหลินยังไงล่ะ” เขาขึ้นเสียงเล็กน้อย จับปลายคางเรียวอย่างถือสิทธิ์ “ฉันจะดูความสามารถของเธอ”
สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าซูซือเหยียนไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย เธอคิดจะมอบกายให้กับเว่ยเสวี่ยหลิน แต่เธอไม่คิดว่าตัวเองต้องเริ่ม
ตอนนี้รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังไร้ยางอาย
“ฉัน...ฉันไม่อยากแก้แค้นแล้ว” ซูซือเหยียนรู้สึกเสียใจที่ส่งตัวเองเข้าปากเสือ แต่ว่าแขนที่โอบรอบเอวของเธอราวกับคีมเหล็ก ไม่อนุญาตให้เธอลุกหนี
“อะไรกัน สายเกินไปแล้วคุณผู้หญิง”
เสียงของเขาเต็มไปด้วยแรงดึงดูด ซูซือเหยียนรู้สึกมึนเมา ใบหน้าของเธอร้อนขึ้น ขณะเดียวกันก็เหมือนว่าแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดกำลังเดือด
หลี่เฉิงหลินตรึงคอเธอแล้วโน้มลง ริมฝีปากของเขาเย็นและมีกลิ่นหอมเหมือนเยลลี่ แต่เมื่อเรียวลิ้นบุกรุกเข้ามาในโพรงปาก ซูซือเหยียนรู้สึกราวกับกำลังเล่นกับไฟ เธอหายใจติดขัด ลมหายใจของเขาทำให้เธอรู้สึกมึนเมาเหมือนกำลังดื่มเหล้าโบราณ ฝ่ามือของเขาเลื่อนขึ้นมายังแผ่นหลัง กดร่างของเธอจนแทบติดกับตัวเขา
จูบของเขาเหมือนกับเปลวไฟที่กำลังมอดไหม้ สติสัมปชัญญะของซูซือเหยียนค่อยๆ ถูกเผาไปทีละน้อย เธอไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ที่ไหน แต่กลับรู้สึกว่าวิญญาณของเธอกำลังคร่ำครวญและโหยหา
กลิ่นจากร่างกายของเธอทำให้หลี่เฉิงหลินตื่นตัว ความต้องการอย่างบ้าคลั่งกำลังเรียกร้องให้เขารีบทำลายเธออย่างรวดเร็ว ชีพจรที่เต้นระริกบนลำคอขาวเนียนของเธอช่างยั่วยวนเหลือเกิน
ริมฝีปากของหลี่เฉิงหลินเลื่อนลงมายังซอกคอหอมกรุ่น เหมือนครั้งแรกที่เขาพบเธอ ผู้หญิงคนนี้มีกลิ่นกายที่หอมหวานยั่วยวนใจ กลิ่นกายของเธอบริสุทธิ์และไร้เดียงสา ไม่เกี่ยวว่าเธอจะใช้น้ำหอมกลิ่นอะไร จมูกของเขาสามารถแยกแยะได้อย่างรวดเร็ว ความจริงแล้วเธอไม่จำเป็นต้องใช้น้ำหอมใดๆ
น่าเจ็บใจที่ผู้หญิงโง่คนนี้ตาบอด! เลือกผู้ชายคนนั้นอย่างโง่งม
เขากัดคอเธอเบาๆ จนได้ยินเสียงอุทาน มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ลงโทษเธอ
ซูซือเหยาเหลือสติเพียงเล็กน้อย ใบหน้าของเธอแดงซ่าน เครื่องสำอางที่ตกแต่งอย่างประณีตทำให้ใบหน้าดูเย้ายวน เธอเอนศีรษะซบบ่าเขาราวกับเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียว น้ำตาไม่รู้มาจากไหนมากมายเปียกชุ่มจนหลี่เฉิงหลินสัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อน
เขาถอนหายใจ “ร้องไห้ทำไม”
“ฉันเจ็บ” เจ็บปวดเมื่อคิดว่าเธอเพิ่งผ่านอะไรมา
หลี่เฉิงหลินกอดเธอ ใจอ่อนอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่สิ...เขาไม่เคยใจแข็งกับเธอได้เลย แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเอาใจเธอจนเคยตัว จนทำให้เธอสามารถตัดเยื่อใยกับเขาได้หลายปี
“ร้องไห้ออกมาให้หมด”
“อืม...” เธอสะอื้น กอดคอเขาเหมือนเด็กเล็กๆ กลิ่นผมของเธอมีกลิ่นของเหงื่อชื้น เขามองผมยาวสลวยที่ดัดลอนเป็นลูกคลื่น คิดถึงเส้นผมที่ตรงยาวของเธออย่างช่วยไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนแปลงมากมายเพื่อผู้ชายคนหนึ่ง
น่าเสียดายที่ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เขา
“ซูซือเหยียน เธอยังไม่ลืมคำสัญญาใช่ไหม”
“อะไรกัน รุ่นพี่จะทำกับฉันได้ลงคอเหรอ” เธอถามเสียงขึ้นจมูก ใบหน้ายังซุกบนบ่าเขาราวกับเด็กน้อย ท่าทางแง่งอนนี้กลับมาให้เห็นอีกครั้ง
เขาตบหลังเธอเบาๆ “ฉันไม่ใช่หลี่เฉิงหลินที่เคยตามจีบเธออีกต่อไปแล้ว” เสียงของเขาเต็มไปด้วยความเหนื่อยใจและซ่อนเร้นความรู้สึก
“ฉันรู้” เธอว่า “ไม่มีใครเป็นเหมือนเดิมตลอดไปหรอก”
หลี่เฉิงหลินอยากตะโกนใส่หน้าเธอว่าเขาไม่เคยเปลี่ยนไป แต่เขาหยุดตัวเองได้ทัน ปลายนิ้วเกลี่ยเส้นผมของเธอจนเผยให้เห็นซอกคอขาวเนียน อดจูบเบาๆ ลงไปไม่ได้
ซูซือเหยียนตัวสั่นระริก เธอกัดริมฝีปากอย่างยอมจำนน
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเครียดเกร็งของร่างกายเธอ เขายิ้มมุมปาก “เส้นทางนี้มีแต่ต้องก้าวต่อไป ฉันไม่อนุญาตให้เธอถอยหลัง” เขาพูดอย่างเผด็จการ คลึงลำคอของเธอเบาๆ
ซูซือเหยียนอยากถอนคำพูด แต่ทำได้เพียงแค่เปล่งเสียงอุทานแผ่วเบาเพราะความเจ็บปวดที่คอ
ความรู้สึกเหมือนมีอะไรทิ่มแทงที่คอทำให้ซูซือเหยียนหมดเรี่ยวแรง เธอขยุ้มเสื้อเชิ้ตของเขาเพื่อระบายความเจ็บปวด “รุ่นพี่...ทำอะไร” เสียงของเธอดังแผ่วหวิวราวกับคนไร้วิญญาณ
ไร้ซึ่งคำตอบ เธอเหมือนคนเป็นอัมพาต...
ความเจ็บปวดค่อยๆ แผ่ลามจากลำคอไปยังหัวใจ ซูซือเหยียนพยายามหายใจเข้า แต่เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมน้ำตาย หัวใจของเธอบีบรัด หูเหมือนได้ยินเสียงกระซิบที่ฟังไม่เข้าใจ หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าโลกทั้งใบดับมืดลง